"นุจรีย์"มิสวีลแชร์ 2013 อนาคตยังมีด้วย 1 สมอง 2 มือ

แสดงความคิดเห็น

3 สาวผู้ชนะการประกวดมิสวีลแชร์ 2013

"เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ที่เราต้องมาประสบอุบัติเหตุ แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วเราก็ต้องมั่นใจในตัวเอง เห็นค่าในตัวเองและคิดว่าเราเองก็มี 1 สมอง และ 2 มือ ในการจะก้าวเดินต่อไปอย่างประสบความสำเร็จ อย่าคิดว่าชีวิตไม่มีอนาคตแล้วเราก็จะกลับมาเป็นคนเดิมที่ทำอะไรเพื่อสังคมได้เอง" เสียงจาก จอย-นางสาวนุจรีย์ จันทร์ทอง มิสวีลแชร์ ไทยแลนด์ คนล่าสุด สาว กทม.คนนี้ หากมองเผินๆ แล้วคงจะไม่มีอะไรเป็นอุปสรรคมาปฏิเสธว่าสาวตาคม ผมยาว ผิวแทน รูปร่างดีคนนี้ แตกต่างจากผู้หญิงคนอื่นจนกระทั่งได้รู้ว่าเธอคือมิสวีลแชร์ที่ไม่สามารถเดินได้ตลอดชีวิต

เธอคนนี้ คือสาวผู้ไม่ยอมแพ้ที่เอาชนะใจกรรมการและกองเชียร์ด้วยความสดใส มั่นใจ และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังความคิดบวก ทำให้เฉือนชนะ ธันย์-นางสาวณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์ สาวน้อยวัยมัธยมชั้นปีที่ 4 จากโรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย สาวคิดบวกที่ชีวิตพลิกผันเพราะประสบอุบัติเหตุรถไฟฟ้าชนที่ประเทศสิงคโปร์ รองชนะเลิศอันดับ 1 และ ปุ๊-นางสาวสุจิรัตน์ ปุกคำ นักกีฬาพาราลิมปิกแบดมินตันทีมชาติไทย รองชนะเลิศอันดับ 2 คว้าตำแหน่งผู้หญิงที่สวยทั้งภายนอกและภายในไปได้ ณ ห้างสรรพสินค้า พาราไดซ์ พาร์ค

ชีวิตของจอย เริ่มต้นไม่ต่างจากคนอื่น หลังจากจบการศึกษาคณะบริหารธุรกิจ สาขาอังกฤษธุรกิจ ม.เทคโนโลยีราชมงคลแล้ว เธอก็สานต่ออาชีพด้วยการเป็นพนักงานต้อนรับในโรงแรมเลอบัว แอท สเตท ทาวเวอร์ ทำให้ได้ติดต่อประสานงานกับผู้คนมากมาย และเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ไม่ยาก ก่อนที่เมื่อ 3 ปีที่แล้วชีวิตของเธอจะต้องพลิกผันที่เกาะพะงัน

"3 ปีที่แล้ว จอยอยากพาน้องสาวที่เพิ่งเรียนจบไปฉลองกัน เลยไปเช่ารถมอเตอร์ไซค์ขี่ แต่ช่วงที่กำลังขี่รถลงเขาด้วยความเร็ว เบรกของมอเตอร์ไซค์กลับใช้ไม่ได้ เราทั้งคู่เสียหลักพุ่งเข้าข้างทาง กระดูกสันหลังหัก ทับเส้นประสาทเส้นไขสันหลัง ทำให้จอยรู้ตัวว่าจะเดินไม่ได้ตลอดชีวิต ชีวิตเปลี่ยนไปทันที" เมื่อรู้ตัวว่าขาทั้งสองเป็นอัมพาต หลายคนคงจะมีอาการช็อก และเสียใจ แต่ไม่ใช่กับจอยเพราะเธอเลือกใช้ประสบการณ์และทัศนคติดีๆที่ได้รับจากคนอื่นมาปรับใช้กับตัวเอง

"จอยโชคดีที่ทำงานโรงแรม และเคยต้อนรับแขกนั่งวีลแชร์คนหนึ่ง ที่พูดกับจอยว่าเขาใช้ชีวิตอยู่ได้ ไม่เป็นภาระของใคร และมีความสุข ซึ่งจอยก็เคยช่วยเหลือเขา เมื่อประสบอุบัติเหตุวูบแรก ก็คิดถึงเขา ไม่ทันได้เสียใจ ก็บอกกับเพื่อนๆ ว่าเดินไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะยังมี 1 สมอง 2 มือ ฉันจะทำให้ได้" หลังจากนั้น จอยก็พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นจริงๆ ว่าเธอทำได้ สาววัย 32 ปี เผยว่า เธอแค่เปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิตเล็กๆ น้อยๆ อย่างงดดำน้ำ ว่ายน้ำ ท่องเที่ยว กิจกรรมโปรดเท่านั้น แต่นอกนั้นเธอก็พยายามใช้ชีวิตเหมือนเดิม รวมทั้งที่ทำงานก็ยังให้โอกาสเธอทำงานต่อโดยเปลี่ยนมาทำในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ติดต่อประสานงาน

ที่สำคัญคือ อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นทำให้รู้ว่าเธอเองมีครอบครัวที่รักเธอมากที่สุด รวมถึงดีใจที่ได้กลับมาใกล้ชิดครอบครัวมากขึ้น และที่ก้าวออกมายืนหยัดบนเวทีนี้ ก็เพื่อให้สังคมเข้าใจคนพิการมากขึ้น "ตอนแรกอาย ไม่กล้าเข้ามาประกวด แต่เจ้านายแนะว่า เป็นคนมีประสบการณ์ มีดี และสามารถนำศักยภาพคนพิการไปบอกโลกได้เลยตัดสินใจว่าจะชนะหรือไม่ไม่สำคัญขอแค่โอกาสให้ได้พูดสื่อสารออกไปได้เท่านั้นก็พอ"

เมื่อเธอก้าวขึ้นมาอยู่ในจุดๆ นี้แล้ว สิ่งที่เธออยากจะเรียกร้องเพื่อเพื่อนคนพิการ ก็คือ โอกาส "สิ่งหนึ่งที่อยากจะเรียกร้องคือโอกาส ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นการสมัครงานคนพิการที่จอยเคยเห็นเปิดโอกาสน้อยมาก บริษัททั้งหลายคิดว่าถ้ารับคนนั่งวีลแชร์มา อาจต้องสร้างห้องน้ำใหม่ สร้างทางเดินใหม่ มันไม่ค่อยเท่าเทียม อยากให้องค์กรต่างๆ เปิดโอกาสมากขึ้นสักนิด เพราะจอยเชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นคนพิการประเภทใด ทุกคนมีความสามารถในแต่ละแบบของตัวเอง และเชื่อว่าความพิการเหล่านั้นไม่ได้มาเป็นอุปสรรคในชีวิตเขาที่จะให้เขา ดำเนินต่อไปได้ เพียงแต่ขอให้สังคมเปิดโอกาสเท่านั้นเอง" เธอ...ผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต และวันนี้ เธอ...ทำให้ทุกคนรู้ว่า ชัยชนะเกิดจาก 1 สมอง 2 มืออย่างแท้จริง

ขอบคุณ... http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1374640883&grpid=03&catid=&subcatid= (ขนาดไฟล์: 167)

มติชนออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 24 ก.ค.56

ที่มา: มติชนออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 24 ก.ค.56
วันที่โพสต์: 25/07/2556 เวลา 03:26:37 ดูภาพสไลด์โชว์ "นุจรีย์"มิสวีลแชร์ 2013 อนาคตยังมีด้วย 1 สมอง 2 มือ

แสดงความคิดเห็น

รอตรวจสอบ
จัดฟอร์แม็ต ดูการแสดงผล

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

ยกเลิก

รายละเอียดกระทู้

3 สาวผู้ชนะการประกวดมิสวีลแชร์ 2013 "เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ที่เราต้องมาประสบอุบัติเหตุ แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วเราก็ต้องมั่นใจในตัวเอง เห็นค่าในตัวเองและคิดว่าเราเองก็มี 1 สมอง และ 2 มือ ในการจะก้าวเดินต่อไปอย่างประสบความสำเร็จ อย่าคิดว่าชีวิตไม่มีอนาคตแล้วเราก็จะกลับมาเป็นคนเดิมที่ทำอะไรเพื่อสังคมได้เอง" เสียงจาก จอย-นางสาวนุจรีย์ จันทร์ทอง มิสวีลแชร์ ไทยแลนด์ คนล่าสุด สาว กทม.คนนี้ หากมองเผินๆ แล้วคงจะไม่มีอะไรเป็นอุปสรรคมาปฏิเสธว่าสาวตาคม ผมยาว ผิวแทน รูปร่างดีคนนี้ แตกต่างจากผู้หญิงคนอื่นจนกระทั่งได้รู้ว่าเธอคือมิสวีลแชร์ที่ไม่สามารถเดินได้ตลอดชีวิต เธอคนนี้ คือสาวผู้ไม่ยอมแพ้ที่เอาชนะใจกรรมการและกองเชียร์ด้วยความสดใส มั่นใจ และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังความคิดบวก ทำให้เฉือนชนะ ธันย์-นางสาวณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์ สาวน้อยวัยมัธยมชั้นปีที่ 4 จากโรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย สาวคิดบวกที่ชีวิตพลิกผันเพราะประสบอุบัติเหตุรถไฟฟ้าชนที่ประเทศสิงคโปร์ รองชนะเลิศอันดับ 1 และ ปุ๊-นางสาวสุจิรัตน์ ปุกคำ นักกีฬาพาราลิมปิกแบดมินตันทีมชาติไทย รองชนะเลิศอันดับ 2 คว้าตำแหน่งผู้หญิงที่สวยทั้งภายนอกและภายในไปได้ ณ ห้างสรรพสินค้า พาราไดซ์ พาร์ค ชีวิตของจอย เริ่มต้นไม่ต่างจากคนอื่น หลังจากจบการศึกษาคณะบริหารธุรกิจ สาขาอังกฤษธุรกิจ ม.เทคโนโลยีราชมงคลแล้ว เธอก็สานต่ออาชีพด้วยการเป็นพนักงานต้อนรับในโรงแรมเลอบัว แอท สเตท ทาวเวอร์ ทำให้ได้ติดต่อประสานงานกับผู้คนมากมาย และเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ไม่ยาก ก่อนที่เมื่อ 3 ปีที่แล้วชีวิตของเธอจะต้องพลิกผันที่เกาะพะงัน "3 ปีที่แล้ว จอยอยากพาน้องสาวที่เพิ่งเรียนจบไปฉลองกัน เลยไปเช่ารถมอเตอร์ไซค์ขี่ แต่ช่วงที่กำลังขี่รถลงเขาด้วยความเร็ว เบรกของมอเตอร์ไซค์กลับใช้ไม่ได้ เราทั้งคู่เสียหลักพุ่งเข้าข้างทาง กระดูกสันหลังหัก ทับเส้นประสาทเส้นไขสันหลัง ทำให้จอยรู้ตัวว่าจะเดินไม่ได้ตลอดชีวิต ชีวิตเปลี่ยนไปทันที" เมื่อรู้ตัวว่าขาทั้งสองเป็นอัมพาต หลายคนคงจะมีอาการช็อก และเสียใจ แต่ไม่ใช่กับจอยเพราะเธอเลือกใช้ประสบการณ์และทัศนคติดีๆที่ได้รับจากคนอื่นมาปรับใช้กับตัวเอง "จอยโชคดีที่ทำงานโรงแรม และเคยต้อนรับแขกนั่งวีลแชร์คนหนึ่ง ที่พูดกับจอยว่าเขาใช้ชีวิตอยู่ได้ ไม่เป็นภาระของใคร และมีความสุข ซึ่งจอยก็เคยช่วยเหลือเขา เมื่อประสบอุบัติเหตุวูบแรก ก็คิดถึงเขา ไม่ทันได้เสียใจ ก็บอกกับเพื่อนๆ ว่าเดินไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะยังมี 1 สมอง 2 มือ ฉันจะทำให้ได้" หลังจากนั้น จอยก็พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นจริงๆ ว่าเธอทำได้ สาววัย 32 ปี เผยว่า เธอแค่เปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิตเล็กๆ น้อยๆ อย่างงดดำน้ำ ว่ายน้ำ ท่องเที่ยว กิจกรรมโปรดเท่านั้น แต่นอกนั้นเธอก็พยายามใช้ชีวิตเหมือนเดิม รวมทั้งที่ทำงานก็ยังให้โอกาสเธอทำงานต่อโดยเปลี่ยนมาทำในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ติดต่อประสานงาน ที่สำคัญคือ อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นทำให้รู้ว่าเธอเองมีครอบครัวที่รักเธอมากที่สุด รวมถึงดีใจที่ได้กลับมาใกล้ชิดครอบครัวมากขึ้น และที่ก้าวออกมายืนหยัดบนเวทีนี้ ก็เพื่อให้สังคมเข้าใจคนพิการมากขึ้น "ตอนแรกอาย ไม่กล้าเข้ามาประกวด แต่เจ้านายแนะว่า เป็นคนมีประสบการณ์ มีดี และสามารถนำศักยภาพคนพิการไปบอกโลกได้เลยตัดสินใจว่าจะชนะหรือไม่ไม่สำคัญขอแค่โอกาสให้ได้พูดสื่อสารออกไปได้เท่านั้นก็พอ" เมื่อเธอก้าวขึ้นมาอยู่ในจุดๆ นี้แล้ว สิ่งที่เธออยากจะเรียกร้องเพื่อเพื่อนคนพิการ ก็คือ โอกาส "สิ่งหนึ่งที่อยากจะเรียกร้องคือโอกาส ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นการสมัครงานคนพิการที่จอยเคยเห็นเปิดโอกาสน้อยมาก บริษัททั้งหลายคิดว่าถ้ารับคนนั่งวีลแชร์มา อาจต้องสร้างห้องน้ำใหม่ สร้างทางเดินใหม่ มันไม่ค่อยเท่าเทียม อยากให้องค์กรต่างๆ เปิดโอกาสมากขึ้นสักนิด เพราะจอยเชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นคนพิการประเภทใด ทุกคนมีความสามารถในแต่ละแบบของตัวเอง และเชื่อว่าความพิการเหล่านั้นไม่ได้มาเป็นอุปสรรคในชีวิตเขาที่จะให้เขา ดำเนินต่อไปได้ เพียงแต่ขอให้สังคมเปิดโอกาสเท่านั้นเอง" เธอ...ผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต และวันนี้ เธอ...ทำให้ทุกคนรู้ว่า ชัยชนะเกิดจาก 1 สมอง 2 มืออย่างแท้จริง ขอบคุณ... http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1374640883&grpid=03&catid=&subcatid= มติชนออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 24 ก.ค.56

จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย

  1. เพิ่ม
  2. เพิ่ม ลบ
  3. เพิ่ม ลบ
  4. เพิ่ม ลบ
  5. เพิ่ม ลบ
  6. เพิ่ม ลบ
  7. เพิ่ม ลบ
  8. เพิ่ม ลบ
  9. เพิ่ม ลบ
  10. ลบ
เลือกการตกแต่งที่ต้องการ

ตกลง ยกเลิก

รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)

Waiting...