สมาคมคนพิการฯหนุนร่าง พ.ร.บ.สลากฯ แต่ขอส่วนลดเพิ่ม แข่งขันหวยใต้ดิน
เมื่อวันที่ 9 กันยายน ในงานสัมมนา เรื่อง ความเห็นของคนพิการผู้ค้าสลากต่อ พ.ร.บ.สลากฉบับใหม่ ที่โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค กรุงเทพฯ นายอำนวย กลิ่นอยู่ นายกสมาคมคนพิการผู้ค้าสลากประเทศไทย กล่าวว่า สมาคมฯเห็นด้วยกับการแก้ไข พ.ร.บ.สลากกินแบ่งรัฐบาลฉบับใหม่ ที่ปรับให้มีความทันสมัย และคล่องตัวยิ่งขึ้น แต่ก็อยากให้แก้ไขในประเด็นการเพิ่มจำนวนคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลให้มีตัวแทนจากผู้ค้าสลากเข้าร่วมด้วย และเรื่องจัดสรรเงินรายได้จากการจำหน่ายสลาก ที่ระบุว่าเข้ารัฐ 22% ควรเหลือ 20% เพิ่มเป็นเงินเพื่อพัฒนาสังคม และต้องการให้มีส่วนลดขายสลากจากสำนักงานสลากให้แก่ผู้พิการเพิ่มขึ้น เพื่อให้สามารถแข่งขันได้กับหวยใต้ดิน นอกจากนี้อยากให้ภาครัฐใช้กฎหมายฉบับนี้เป็นการดูแลสังคม มีการรณรงค์ไม่ให้ประชาชนลุ่มหลงในการพนัน เพราะการมีผลิตภัณฑ์สลากใหม่ๆ ไม่ได้แสดงถึงความเจริญของประเทศ แต่จำเป็นต้องบริหารจัดการสิ่งเก่าให้ดีเสียก่อน นอกจากนี้ ไทยไม่ควรเพิ่มรูปแบบการพนันซึ่งอาจเป็นการมอมเมาผู้บริโภคได้ เช่น สลากออนไลน์ และล็อตโต้
นายอำนวย กล่าวว่า ขณะนี้ผู้พิการที่ค้าสลากเข้าไม่ถึงการจองและการซื้อสลากมาขายนัก เพราะเข้าถึงการกดจองผ่านตู้เอทีเอ็มลำบาก เห็นว่าปัญหานี้รัฐบาลควรเพิ่มตู้กดและเพิ่มธนาคารให้มากขึ้น ขณะเดียวกันมองว่าการออกรางวัลสลาก 2 ครั้งต่อเดือน ดีอยู่แล้ว ส่วนการจัดสรรและจำนวนสลากที่พิมพ์สู่ตลาด ควรให้เป็นไปตามกลไกตลาดของซัพพลายและดีมานด์
นายธนวรรธน์ พลวิชัย กรรมการและโฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่า ร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (ฉบับที่…) พ.ศ. … ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนประชาพิจารณ์ เปิดรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นี้ โดยขณะนี้ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผ่านเว็บไซต์ของสำนักงานสลากฯ ที่ http://www.glo.or.th/main.php?filename=index รอบแรก ตั้งแต่วันที่ 1-15 กันยายน 2560 เปิดมาได้ 10 วันมีคนมาร่วมแสดงความคิดแล้วประมาณ 500 ราย ซึ่งถือว่าน้อย แต่มีการแสดงความคิดผ่านโซเชียลมีเดียกันมากเป็นแสนคน ก็ขอความร่วมมือให้เข้ามาแสดงความเห็นในเว็บไซต์ จากนั้นจะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเสนอที่ประชุมคณะกรรมการ(บอร์ด)สลากฯ ในวันที่ 27 กันยายนนี้ หลังจากนั้นจะรวบรวมข้อมูลร่างกฎหมายและข้อเสนอแนะขึ้นเว็บไซต์ให้คนได้ดู และจะเปิดรับฟังความเห็นผ่านเว็บไซต์รอบที่ 2 วันที่ 1-15 ตุลาคม 2560 แล้วถึงรวบรวมร่างกฎหมายและความเห็นเสนอต่อกระทรวงการคลังภายในเดือนตุลาคมนี้ต่อไป ก่อนจะเข้าคณะรัฐมนตรี(ครม.) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ตามขั้นตอน คาดว่าภายในปีหน้าก่อนการเลือกตั้ง กฎหมายนี้จะสามารถประกาศบังคับใช้ได้
“ร่างกฎหมาย และความคิดเห็นจากการประชาพิจารณ์ จะเผยแพร่ข้อมูลทุกอย่าง และโปร่งใส นอกจากนี้ประชาชนสามารถส่งความคิดเห็นต่อร่างกฎหมายมาที่สำนักงานสลากฯ ที่สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี ได้ แต่ควรจะระบุชื่อ นามสกุล เลขประจำตัวประชาชนด้วย เพื่อความชัดเจนและจะได้ไม่ถูกนับจำนวนซ้ำ ยังยืนยันว่าขณะนี้บอร์ดสลากฯ ยังไม่มีนโยบายใดๆ ในการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือทำสลากรวมชุดเอง มีเพียงความคิดเห็นจากประชาชนบางส่วนที่ต้องการให้สำนักงานสลากฯรวมชุดสลากเอง ขณะนี้กำลังศึกษาว่าหากออกสลากรวมชุดเองจะเป็นประโยชน์จริงหรือไม่อย่างไร จะสามารถสรุปได้ภายใน 1 เดือน เพื่อให้ทันกับการทำสัญญากับผู้ค้าสลากรอบใหม่ในอีก 6 เดือนข้างหน้า”
นายธนวรรธน์ กล่าวอีกว่า สำหรับการดูแลสลากในตลาดนั้น มีหลายมิติต้องพิจารณา กล่าวคือขณะนี้พิมพ์สลากต่องวดที่เพดาน 71 ล้านใบ ผู้ค้าบางคนบอกว่าไม่เพียงพอ ควรจะพิมพ์เพิ่มราคาก็จะลดลง ผู้ค้าบอกว่าอาจจะต้องพิมพ์สลากเพิ่มเป็น 100 ล้านใบได้หรือไม่ แต่อีกกลุ่มที่ไม่ได้ซื้อสลากจะบอกว่าพิมพ์มากไปมอมเมาประชาชน ซึ่งนโยบายขณะนี้ยังไม่เพิ่มแต่อย่างใด ขณะที่การตัดโควตาผู้ค้าสลากเมื่อตรวจพบและพิสูจน์ได้ว่าค้าสลากเกินราคา 80 บาทต่อใบ มีการตัดโควตาแล้ว 3,000 ราย ซึ่งเป็นทั้งรายย่อยและสมาชิกของสมาคมผู้ค้าสลากต่างๆ ขณะนี้กำลังพิจารณาและพิสูจน์ข้อเท็จจริงผู้ค้าสลากเกินราคาอีก 3,000 รายว่าจะถูกตัดโควตาหรือไม่ คาดว่าใน 1-2 ปีจากนี้ จะมีความชัดเจนขึ้นว่าควรพิมพ์สลากสู่ตลาดจำนวนเท่าไหร่ และจะเหลือแต่ผู้ค้าที่แท้จริงเท่านั้น
นายธนากร คมกฤส ผู้อำนวยการเครือข่ายรณรงค์หยุดพนัน กล่าวว่า การตั้งกองทุนสลาก 1 พันล้านบาท กรอบการใช้ประโยชน์กว้างเกินไป ควรมีการกำหนดสัดส่วนให้ชัดเจนว่าจะใช้เงินกองทุนกับอะไรบ้าง ขณะเดียวกันควรเน้นสัดส่วนไปที่การแก้ปัญหาการพนันให้มากกว่าการจัดสรรให้เป็นรายได้ของรัฐ หากไม่กำหนดกรอบสัดส่วนการใช้เงินกองทุนให้ชัดเจน ในอนาคตรัฐบาลที่เข้ามาอาจนำไปใช้เป็นงบประมาณของภาครัฐเป็นส่วนใหญ่ จึงไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย และควรมีคณะกรรมการเข้ามาดูแลกองทุนนี้ด้วย ส่วนตัวแทนในคณะกรรมการสลากควรจะมาจากตัวแทนของหลากหลายภาคส่วน
นายธนากร กล่าวว่า หากจะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ของสำนักงานสลากควรมีการศึกษาและมีระเบียบในการดูแลที่ชัดเจนและรอบคอบ มีผลการศึกษาและงานวิจัยรองรับ ไม่ใช่ให้สิทธิขาดแก่กองสลากออกผลิตภัณฑ์ใหม่แต่เพียงผู้เดียว นอกจากนี้ตามหลักสากลควรมีคณะกรรมการกำกับกิจการสลากด้วยให้เป็นหน่วยงานกำกับดูแล เพราะปัจจุบันมีสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นทั้งหน่วยงานปฏิบัติงาน และควบคุมกำกับดูแลรวมอยู่ในหน่วยงานเดียวกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มีการปรับปรุง 7 ประเด็น จาก พ.ร.บ. สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ. 2517 ได้แก่ 1.สถานที่ตั้ง จากสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ เพิ่มเติมเป็นสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพฯหรือจังหวัดใกล้เคียง 2.เพิ่มคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็น 11 คน จาก 9 คน เพิ่มตัวแทนจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงยุติธรรม 3.เพิ่มอำนาจหน้าที่คณะกรรมการสลากฯ เพื่อกำหนดจำนวน ราคา รูปแบบ วิธีการจำหน่าย และการคัดเลือกตัวแทนจำหน่าย 4.ปรับการจัดสรรเงินจากการจำหน่ายสลาก โดยให้ 60% เป็นเงินรางวัล, ไม่น้อยกว่า 22% เป็นรายได้แผ่นดิน จากเดิมไม่น้อยกว่า 28%, ไม่เกินกว่า 17% เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน ซึ่งรวมค่าใช้จ่ายในการจำหน่ายสลาก จากเดิมไม่เกินกว่า 12% และให้ 1% เป็นเงินกองทุนเพื่อพัฒนาสังคม 5.การจ่ายเงินรางวัลประเภทสมทบเพื่อรองรับผลิตภัณฑ์ใหม่ในอนาคต จากเดิมเงินที่จัดสรรไว้เพื่อจ่ายเป็นเงินรางวัล 6.เพิ่มเนื้อหาเข้ามาใหม่ จากเดิมไม่มี คือ กองทุนสลากกินแบ่งรัฐบาลเพื่อพัฒนาสังคม มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ส่งเสริมการศึกษา การวิจัยปัญหาเกี่ยวกับการพนัน สาเหตุและผลกระทบจากการพนัน รวมทั้งมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการพนัน, เพื่อส่งเสริมการเผยแพร่ความรู้และทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับการพนัน สร้างการรู้เท่าทันเพื่อป้องกันการติดการพนัน รวมทั้งสนับสนุนกิจกรรมป้องกันและลดผลกระทบจากการพนัน, เพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการพนัน, เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล และเพื่อให้ดำเนินโครงการตามนโยบายของรัฐที่จะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคม และ7.ปรับเพิ่มบทกำหนดโทษให้รุนแรงขึ้น กรณีขายสลากเกินราคา ขายสลากในสถานศึกษาและขายสลากให้แก่บุคคลอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จากเดิม ขายสลากเกินราคา ปรับไม่เกิน 2,000 บาท