จ้างงานคนพิการแล้วกว่า 400 ชีวิต ตอกย้ำเมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน
กทม. จ้างงานคนพิการแล้วกว่า 400 ชีวิต ตอกย้ำเมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน ผู้บริหารย้ำ ไม่ใช่ความสงสาร แต่เพราะมีฝีมือและความสามารถเหมาะสม
เมื่อวันที่ 6 มี.ค. ที่ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกทม. เสาชิงช้า เขตพระนคร นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯกทม. ประชุมหัวหน้าหน่วยงานของกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 3/2568 โดยที่ประชุมได้รายงานเรื่อง การจ้างงานคนพิการในหน่วยงานกรุงเทพมหานคร ดังนี้
กรุงเทพมหานครมีข้าราชการและลูกจ้างประจำ จำนวน 63,591 คน ต้องจ้างงานคนพิการตามมาตรา 33 ร้อยละ 1 คือจำนวน 636 คน จ้างแล้ว 414 คน คิดเป็น 65% ประกอบด้วย ข้าราชการ 57 คน ลูกจ้าง 49 คน และอาสาสมัคร 308 คน ยังขาดอีก 222 คน คิดเป็น 35% (ข้อมูลข้าราชการและลูกจ้างประจำ จากสำนักงาน ก.ก. ประจำปี67) ทั้งนี้ ในปี 65 กทม.มีการจ้างงานคนพิการ 132 คน ส่วนปี66 มีการจ้างงานคนพิการ 370 คน
อย่างไรก็ตาม ได้มีการประสานความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย ได้แก่ องค์กรคนพิการทั้ง 7 ประเภท มูลนิธิออทิสติกไทย มูลนิธินวัตกรรมทางสังคม บริษัท STEPS สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) บริษัท Vulcan Coalition สถาบันราชสุดา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ฯลฯ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำคู่มือปฏิบัติงานของคนพิการและเจ้าหน้าที่สำนักงานเขต (Work Guide)
ทั้งนี้ มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 66 ให้หน่วยงานของรัฐซึ่งมีผู้ปฏิบัติงานตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป เร่งรัดดำเนินการจ้างงานคนพิการตามที่กฎหมายกำหนดให้ครบถ้วนภายในปี 66 และรายงานผลการจ้างงานคนพิการประจำปีต่อกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
สำหรับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจ้างงานคนพิการ ได้แก่ พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556 โดยมาตรา 33 กำหนดให้หน่วยงานของรัฐรับคนพิการเข้าทำงานตามลักษณะของงานในอัตราส่วนที่เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงาน (ข้าราชการและลูกจ้างประจำ ยกเว้นลูกจ้างชั่วคราวและลูกจ้างโครงการ) ซึ่งมีสัดส่วนของการจ้างลูกจ้างที่มิใช่คนพิการทุก 100 คน ต่อคนพิการ 1 คน เศษของ 100 คน ถ้าเกิน 50 คน ต้องรับคนพิการเพิ่มอีก 1 คน
และมาตรา 35 ระบุว่า กรณีหน่วยงานของรัฐไม่ประสงค์จะรับคนพิการเข้าทำงานตามมาตรา33 อาจให้สัมปทาน, จัดสถานที่จำหน่ายสินค้าหรือบริการ, จัดจ้างเหมาช่วงงานหรือจ้างเหมาบริการโดยวิธีกรณีพิเศษ, ฝึกงาน, จัดให้มีอุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวก, บริการล่ามภาษามือ หรือให้ความช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการ
“การจ้างงานคนพิการเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ซึ่งไม่ได้มีแค่มิติที่ช่วยคนพิการ แต่ช่วยให้บุคลากรทุกคนมี Empathy ด้วย ทั้งนี้ คนพิการแต่ละคนล้วนมีความแตกต่างกัน เราจึงต้องยิ่งมีความเข้าใจซึ่งกันและกันให้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังมีคนพิการที่เข้ามาและลาออกบ่อย จึงขอให้สำนักพัฒนาสังคมพิจารณาทำ Exit Interview สัมภาษณ์พนักงานที่ลาออกว่าปัญหาคืออะไร เพื่อเก็บข้อมูล ความคิดเห็น และข้อเสนอแนะต่าง ๆ นำมาพัฒนาและป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดอีก โดยให้คำนึงถึงประโยชน์ของทุกฝ่าย” ผู้ว่าฯ กทม.กล่าว
ด้าน นางวันทนีย์ วัฒนะ ปลัดกทม. กล่าวเสริมว่า การจ้างงานคนพิการไม่ได้เกิดขึ้นด้วยความสงสาร แต่เป็นการเอื้อโอกาสให้บุคคลเหล่านี้ได้ใช้ความสามารถในการดูแลตนเอง เพื่อเป็นเกียรติและศักดิ์ศรีของตัวเอง ที่สำคัญคือเป็นไปตามกฎหมาย
นายภาณุมาศ สุขอัมพร ที่ปรึกษาของผู้ว่าฯกทม. กล่าวด้วยว่า อยากให้ทุกคนคำนึงไว้ว่าคนพิการก็เป็นคน ซึ่งหมายความว่า มีทั้งดีและไม่ดี มีทั้งคนมีฝีมือและคนที่ต้องพัฒนา และยังมีหลายประเภทความพิการ ดังนั้นการจ้างงานคนพิการต้องอย่ามองเรื่องความสงสาร แต่ให้พิจารณาว่าเขามีฝีมือจริง ๆ เหมาะสมกับงานของเราจริง ๆ