ความเชื่อ'ต้านวัคซีน' สังคมตะวันตกหลงผิด
ขณะที่การแพทย์และวิทยาศาสตร์ในโลกพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ช่วยให้โรคภัยต่างๆ เลือนหายไปจากสังคม ไม่ว่าจะเป็นโรคโปลิโอโรคหัดโรคไข้ทรพิษฯลฯ ดังนั้นการกลับมาระบาดของโรคหัดในอังกฤษจึงเป็นเรื่องช็อกโลกอย่างมาก เมื่อปีที่แล้วมีผู้ป่วยโรคหัดกว่า 2,000 ราย และในปีนี้ก็มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นถึง 1,200 รายแล้ว ทั้งที่อังกฤษเป็นประเทศตะวันตกที่การแพทย์พัฒนามากกว่าหลายประเทศที่น่าสังเกตคือผู้ป่วยจำนวนมากเป็นเด็กโตและวัยรุ่นก็มี ปรากฏว่าการระบาดของโรคหัดในประเทศอังกฤษแท้จริงแล้วเกิดจากการที่พ่อแม่ชาว อังกฤษเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วไม่ยอมพาลูกหลานไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดเพราะกลัวว่าผลข้างเคียงของวัคซีนจะทำให้เด็กเป็น โรคออทิสติกอันเป็นโฆษณาชวนเชื่อของขบวนการต่อต้านวัคซีน(Anti-VaccineMovement)ในประเทศตะวันตก
ขบวนการดังกล่าวไม่ได้มีเฉพาะในอังกฤษ ที่สหรัฐกลุ่มต่อต้านวัคซีนมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างมากเพราะมีดาราฮอลลีวู้ด จำนวนหนึ่งเข้าร่วมด้วย โดยเฉพาะ เจนนี่ แม็กคาร์ธีย์ ผู้นำขบวนการนี้คนสำคัญ ระบุว่าลูกชายของตนเป็นออทิสติกเพราะรับวัคซีน
ส่วน ที่ออสเตรเลีย กลุ่มต่อต้านวัคซีนถึงกับก่อตั้งเป็นศาสนา ซึ่งเป็นการอาศัยช่องโหว่ทางกฎหมายของออสเตรเลีย ที่อนุญาตให้พ่อแม่ปฏิเสธการรับวัคซีนของลูกได้ หากมีเหตุผลทางศาสนามีข้อมูลว่าบางพื้นที่ในอังกฤษมีเด็กได้รับวัคซีนเพียงร้อยละ 50 เท่านั้น อันเป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จของกลุ่มต้านวัคซีนจุด เริ่มต้นของขบวนการต่อต้านวัคซีน หรือที่เรียกกันว่า "แอนตี้แว็กซ์เซอร์" (Anti-Vaxxer) มาจากแพทย์ชาวอังกฤษชื่อ แอนดรูว์ เวกฟีลด์ ซึ่งตีพิมพ์บทความในวารสารการแพทย์เมื่อปี 2541 อ้างว่าสารในวัคซีนทำให้เกิดโรคออทิสติก ต่อมามีสื่อมวลชนนำเรื่องนี้ไปกระพือกันอย่างใหญ่โต โดยไม่ตรวจสอบให้แน่ชัด ซึ่งก็เป็นบทเรียนด้านจริยธรรมสื่อด้วย
ขณะเดียวกัน วงการวิทยาศาสตร์ตรวจสอบบทความของนายเวกฟีลด์และพบว่ามีความคลาดเคลื่อนหลายแห่ง ทั้งการใช้ตัวอย่างทดลองเพียงแค่ 12 คน และปั้นข้อมูลจำนวนหนึ่งขึ้นมาเอง ทั้งยังพบว่านายเวกฟีลด์มีสายสัมพันธ์กับกลุ่มต่อต้านวัคซีนอีกด้วยในที่สุดสมาคมแพทย์อังกฤษถอนใบวิชาชีพจากนายเวกฟีลด์ เนื่องจากกระทำผิดจริยธรรมร้ายแรง
ถึงทุกวันนี้ไม่มีหลักฐานใดๆ ชี้ว่าวัคซีนทำให้เกิดออทิสติกได้เลย ขณะที่เด็กหลายหมื่นคนในตะวันตกไม่เคยได้รับวัคซีน เพราะพ่อแม่ถูกปลุกปั่นโดยขบวนการต้านวัคซีน มีข้อมูลว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีเด็ก 1,700 รายต้องเสียชีวิตจากโรคที่ป้องกันได้หากได้รับวัคซีน เด็กอีกหลายแสนคนต้องทนทุกข์กับอาการป่วยจากโรคเหล่านี้ เข้าข่ายสำนวนไทยที่ว่า "พ่อแม่รังแกฉัน" อย่างตรงตัวต้นตอของปัญหานี้มีคำถามว่า ทำไมกลุ่ม "แอนตี้แว็กซ์เซอร์" จึงมีคนเชื่อจำนวนมาก เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะในปัจจุบันยังไม่มีการวิจัยที่ชี้ชัดแน่นอนว่าโรคออทิสติกเกิดจากปัจจัยใดกันแน่พ่อแม่จำนวนมากจึงได้แต่คาดเดาและพร้อมที่จะโทษวัคซีนเป็นแพะรับบาป
นอกจากนี้ ยังเป็นเพราะสังคมตะวันตกมักมีความหวาดระแวงต่อเหล่าบริษัทยาและผลิตภัณฑ์ เคมีต่างๆ ที่เคยมีประวัติปิดบังผลข้างเคียงของยา หรือใช้อิทธิพลและเงินทุนในการขยายธุรกิจในสังคมอเมริกัน เช่น สร้างกระแสกลัวโรคสมาธิสั้น เพื่อขายยาแก้สมาธิสั้น จนมีเด็กหลายคนถูก "มอมยา" โดยพ่อแม่ตั้งแต่ยังเล็ก กล่าวกันว่าชาวอเมริกันมัก มีทัศนคติไม่ดีต่อ 3 กลุ่ม คือ รัฐบาลขนาดใหญ่ (Big Government) กลุ่มทุนใหญ่ (Big Capital) และเหล่าบริษัทยายักษ์ใหญ่ (Big Pharma) อีกประเด็นคือทัศนคติไม่ไว้วางใจวงการวิทยาศาสตร์ ซึ่งมักถูกวาดภาพว่าเป็นผู้ร้ายอยู่บ่อยๆแม้แต่เรื่องโลกร้อนก็มีคนเชื่อว่าเป็นแผนหลอกลวงของนักวิทย์
การเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้านวัคซีนจึงสอดคล้องพอดีกับความกลัวและความหวาด ระแวงที่มีอยู่แล้วของชาวตะวันตกจำนวนหนึ่ง จนกลายเป็นภยันตรายต่อเด็กผู้บริสุทธิ์นับไม่ถ้วนที่ตกเป็นเหยื่อโฆษณาชวน เชื่อของกลุ่มคนเหล่านี้
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
ผู้ปกครองอุ้มลูกน้อยขณะที่การแพทย์และวิทยาศาสตร์ในโลกพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ช่วยให้โรคภัยต่างๆ เลือนหายไปจากสังคม ไม่ว่าจะเป็นโรคโปลิโอโรคหัดโรคไข้ทรพิษฯลฯ ดังนั้นการกลับมาระบาดของโรคหัดในอังกฤษจึงเป็นเรื่องช็อกโลกอย่างมาก เมื่อปีที่แล้วมีผู้ป่วยโรคหัดกว่า 2,000 ราย และในปีนี้ก็มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นถึง 1,200 รายแล้ว ทั้งที่อังกฤษเป็นประเทศตะวันตกที่การแพทย์พัฒนามากกว่าหลายประเทศที่น่าสังเกตคือผู้ป่วยจำนวนมากเป็นเด็กโตและวัยรุ่นก็มี ปรากฏว่าการระบาดของโรคหัดในประเทศอังกฤษแท้จริงแล้วเกิดจากการที่พ่อแม่ชาว อังกฤษเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วไม่ยอมพาลูกหลานไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดเพราะกลัวว่าผลข้างเคียงของวัคซีนจะทำให้เด็กเป็น โรคออทิสติกอันเป็นโฆษณาชวนเชื่อของขบวนการต่อต้านวัคซีน(Anti-VaccineMovement)ในประเทศตะวันตก ขบวนการดังกล่าวไม่ได้มีเฉพาะในอังกฤษ ที่สหรัฐกลุ่มต่อต้านวัคซีนมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างมากเพราะมีดาราฮอลลีวู้ด จำนวนหนึ่งเข้าร่วมด้วย โดยเฉพาะ เจนนี่ แม็กคาร์ธีย์ ผู้นำขบวนการนี้คนสำคัญ ระบุว่าลูกชายของตนเป็นออทิสติกเพราะรับวัคซีน ส่วน ที่ออสเตรเลีย กลุ่มต่อต้านวัคซีนถึงกับก่อตั้งเป็นศาสนา ซึ่งเป็นการอาศัยช่องโหว่ทางกฎหมายของออสเตรเลีย ที่อนุญาตให้พ่อแม่ปฏิเสธการรับวัคซีนของลูกได้ หากมีเหตุผลทางศาสนามีข้อมูลว่าบางพื้นที่ในอังกฤษมีเด็กได้รับวัคซีนเพียงร้อยละ 50 เท่านั้น อันเป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จของกลุ่มต้านวัคซีนจุด เริ่มต้นของขบวนการต่อต้านวัคซีน หรือที่เรียกกันว่า "แอนตี้แว็กซ์เซอร์" (Anti-Vaxxer) มาจากแพทย์ชาวอังกฤษชื่อ แอนดรูว์ เวกฟีลด์ ซึ่งตีพิมพ์บทความในวารสารการแพทย์เมื่อปี 2541 อ้างว่าสารในวัคซีนทำให้เกิดโรคออทิสติก ต่อมามีสื่อมวลชนนำเรื่องนี้ไปกระพือกันอย่างใหญ่โต โดยไม่ตรวจสอบให้แน่ชัด ซึ่งก็เป็นบทเรียนด้านจริยธรรมสื่อด้วย ขณะเดียวกัน วงการวิทยาศาสตร์ตรวจสอบบทความของนายเวกฟีลด์และพบว่ามีความคลาดเคลื่อนหลายแห่ง ทั้งการใช้ตัวอย่างทดลองเพียงแค่ 12 คน และปั้นข้อมูลจำนวนหนึ่งขึ้นมาเอง ทั้งยังพบว่านายเวกฟีลด์มีสายสัมพันธ์กับกลุ่มต่อต้านวัคซีนอีกด้วยในที่สุดสมาคมแพทย์อังกฤษถอนใบวิชาชีพจากนายเวกฟีลด์ เนื่องจากกระทำผิดจริยธรรมร้ายแรง สื่อโฆษณาชวนเชื่อของขบวนการต่อต้านวัคซีน(Anti-VaccineMovement)ในประเทศตะวันตกถึงทุกวันนี้ไม่มีหลักฐานใดๆ ชี้ว่าวัคซีนทำให้เกิดออทิสติกได้เลย ขณะที่เด็กหลายหมื่นคนในตะวันตกไม่เคยได้รับวัคซีน เพราะพ่อแม่ถูกปลุกปั่นโดยขบวนการต้านวัคซีน มีข้อมูลว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีเด็ก 1,700 รายต้องเสียชีวิตจากโรคที่ป้องกันได้หากได้รับวัคซีน เด็กอีกหลายแสนคนต้องทนทุกข์กับอาการป่วยจากโรคเหล่านี้ เข้าข่ายสำนวนไทยที่ว่า "พ่อแม่รังแกฉัน" อย่างตรงตัวต้นตอของปัญหานี้มีคำถามว่า ทำไมกลุ่ม "แอนตี้แว็กซ์เซอร์" จึงมีคนเชื่อจำนวนมาก เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะในปัจจุบันยังไม่มีการวิจัยที่ชี้ชัดแน่นอนว่าโรคออทิสติกเกิดจากปัจจัยใดกันแน่พ่อแม่จำนวนมากจึงได้แต่คาดเดาและพร้อมที่จะโทษวัคซีนเป็นแพะรับบาป นอกจากนี้ ยังเป็นเพราะสังคมตะวันตกมักมีความหวาดระแวงต่อเหล่าบริษัทยาและผลิตภัณฑ์ เคมีต่างๆ ที่เคยมีประวัติปิดบังผลข้างเคียงของยา หรือใช้อิทธิพลและเงินทุนในการขยายธุรกิจในสังคมอเมริกัน เช่น สร้างกระแสกลัวโรคสมาธิสั้น เพื่อขายยาแก้สมาธิสั้น จนมีเด็กหลายคนถูก "มอมยา" โดยพ่อแม่ตั้งแต่ยังเล็ก กล่าวกันว่าชาวอเมริกันมัก มีทัศนคติไม่ดีต่อ 3 กลุ่ม คือ รัฐบาลขนาดใหญ่ (Big Government) กลุ่มทุนใหญ่ (Big Capital) และเหล่าบริษัทยายักษ์ใหญ่ (Big Pharma) อีกประเด็นคือทัศนคติไม่ไว้วางใจวงการวิทยาศาสตร์ ซึ่งมักถูกวาดภาพว่าเป็นผู้ร้ายอยู่บ่อยๆแม้แต่เรื่องโลกร้อนก็มีคนเชื่อว่าเป็นแผนหลอกลวงของนักวิทย์ การเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้านวัคซีนจึงสอดคล้องพอดีกับความกลัวและความหวาด ระแวงที่มีอยู่แล้วของชาวตะวันตกจำนวนหนึ่ง จนกลายเป็นภยันตรายต่อเด็กผู้บริสุทธิ์นับไม่ถ้วนที่ตกเป็นเหยื่อโฆษณาชวน เชื่อของกลุ่มคนเหล่านี้ ขอบคุณ... http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURObWIzSXlPVEExTURZMU5nPT0=§ionid=TURNd05nPT0=&day=TWpBeE15MHdOaTB3TlE9PQ==
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)