พา "เด็กออทิสติก" รับสมุดคนพิการกันเถอะ
ผู้ปกครองที่มีลูกอยู่ในกลุ่มเด็กพิเศษ คือเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือ ดูแลเป็นพิเศษ เช่น เด็กที่มีปัญหาทางร่างกาย สมาธิสั้น ดาวน์ซินโดรม เด็กออทิสติก เด็กพิการทางสมอง เด็กพิการซ้ำซ้อน และเด็กปัญญาเลิศ ซึ่งเป็นกลุ่มนี้จะต้องได้รับการดูแล เอาใจใส่ แก้ไขข้อบกพร่องตามวิถีทางที่ถูกต้องเด็กก็จะมีโอกาสเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีมากขึ้น
พ่อแม่บางคนที่มีลูกเป็นเด็กพิเศษจะทำใจยอมรับไม่ได้ เพราะเด็กกลุ่มนี้แทบมองไม่ออกว่ามีความผิดปกติอย่างไรบ้าง ในบางคนมีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงดี แต่หากพิจารณาในบุคลิกภาพและการแสดงออกถึงจะรู้ว่าเป็นเด็กพิเศษ โดยเฉพาะเด็กออทิสติกซึ่งคนทั่วไปอาจจะมองไม่ออกด้วยซ้ำว่าเด็กกลุ่มนี้มี ความบกพร่องบางอย่างในพฤติกรรม พ่อแม่ควรรีบพาลูกไปทำสมุดคนพิการ เพราะระหว่างทางการแก้ไขข้อบกพร่องนั้น ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด
บางคนต่อสู้พาลูกตระเวนหาหมอ ฝึกกิจกรรมบำบัด ทำแบบนี้อยู่นานถึง 18 ปี และก็ยังคงทำอยู่อย่างนั้น แต่อยู่มาวันหนึ่งลูกชายของเขาวิ่งเข้าไปกอดเด็กหญิงอายุ 12 ปีคนหนึ่ง พร้อมกับจับปลายผมมาดม รูปร่างหน้าตาท่าทางของหนุ่มน้อยคนนั้นไม่ได้ต่างจากคนปกติทั่วไป เพียงแต่ว่าไม่มีคนปกติที่ไหนกล้าทำต่อหน้าพ่อของสาวน้อยคนนั้นแน่ ๆ แต่ภาพที่พ่อของหนูน้อยคนนั้นเห็นคือมีชายหนุ่มโผเข้าไปกอดลูกสาวเขาแบบตั้งใจลวนลามเธอ
ผู้ที่มีลูกอยู่ในกลุ่มพิเศษคงจะรู้ดีว่าบางครั้งมีมากกว่านี้อีก เช่น จู่ ๆ ลูกเดินไปดึงเสื้อ ดึงกระเป๋าหรือจับมือใครต่อใครที่เดินสวนทางมาหรือเดินอยู่นำหน้า หากพวกเขายังเป็นเด็กอยู่หลายคนก็คงไม่ถือสา แต่หากเขาโตเป็นชายหนุ่มร่างกำยำหรือโตเป็นสาวเต็มตัว พฤติกรรมเหล่านี้อาจจะทำให้คนที่ประสบพบเจอมึนงงได้
ถ้าอธิบายแล้วพวกเขาเข้าใจก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเจอคนไม่เข้าใจยังไงเขาก็ไม่มีทางให้อภัย เช่นเดียวกับกรณีของเด็กอายุ 18 ปี วิ่งไปกอดสาวน้อยอายุ 12 ปี พ่อของเธอไม่มีทางอภัยให้ชายหนุ่มที่เติบโตจากเด็กพิเศษได้ แม้ผู้ปกครองของเขาจะพยายามอธิบายถึงความบกพร่องของลูกว่าเป็นเด็กออทิสติก แต่ดูเหมือนว่าพ่อของเด็กหญิงคนนั้นจะไม่ได้ฟังเหตุผล มองว่าเป็นแค่การ...แก้ตัว พ่อสาวน้อยพาลูกขึ้นโรงพักไปแจ้งความเอาผิดกับเด็กพิเศษถึงจะตัวโตแล้วก็ตาม แม้ทางเจ้าหน้าที่จะเกลี้ยกล่อมอธิบายยังไง เขาก็คงจะดำเนินคดีกับหนุ่มพิเศษคนนี้ให้ได้โดยไม่สนใจทำความเข้าใจคำว่า"เด็กออทิสติก"
จนกระทั่งผู้ปกครองของเด็กพิเศษต้องไปค้นหาเอกสารคนพิการมาแสดงต่อหน้า พร้อมกับมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยอธิบายถึงกระบวนการต่อสู้ในชั้นศาลว่า นี่เป็นหลักฐานที่จะพิสูจน์เจตนาอันบริสุทธิ์ของหนุ่มคนนี้ได้ ทำให้พ่อของสาวน้อยยอมล่าถอยและไม่ดำเนินคดีความด้วยหากเด็กคนนี้ไม่มีเอกสารคนพิการมายืนยัน ลองคิดดูว่าเรื่องจะจบอย่างไร
นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่ง จากการที่ได้นั่งฟังผู้ปกครองกลุ่มนี้ปรับทุกข์ถึงพฤติกรรมของลูกน้อยที่โต แต่ตัวแต่พัฒนาการทางสมองยังคงที่หากจะให้ลูกอยู่บ้านเพียงอย่างเดียวก็ไม่ต่างกับจับลูกขังไว้ในกรง การออกนอกบ้านจึงเป็นสิ่งที่พวกเขาหวังว่าลูกจะได้ออกมาเจอสังคมที่วันหนึ่งพวก เขาอาจจะต้องออกมาใช้ชีวิตได้ แม้จะดูแลระมัดระวังเพียงใดติดตามทุกฝีก้าวหากพลาดแค่ก้าวเดียวก็อาจจะทำให้ทั้งเขาและลูกเดือดร้อนได้
แม่เด็กพิเศษคนหนึ่งเล่าว่า ลูกชายของเขาเดินชนคนอย่างแรงในร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง แล้วบังเอิญไปชนกับคนที่ถือถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปซึ่งบรรจุน้ำร้อนไว้ในนั้น แล้วอะไรเกิดขึ้น !!น้ำร้อนลวกมือชายคนนั้น แต่นับว่าโชคดีชายคนนั้นเข้าใจพร้อมกับยิ้มและบอกว่า "ไม่เป็นไร ผมก็มีหลานเป็นเด็กพิเศษเหมือนกัน" เรื่องจึงจบเพียงเท่านั้น
ดังนั้นผู้ปกครองที่มีลูกเป็นเด็กพิเศษควรทำใจให้ได้ แต่พาลูกไปขึ้นทะเบียนคนพิการไม่ใช่หวังเงินจากรัฐเดือนละ 500 บาท เพราะมันคงเทียบไม่ได้กับที่พวกเขาต้องเสียค่าใช้จ่ายบำบัดชั่วโมงละ 500-1,200 บาท เพื่อฝึกพัฒนาการลูก แต่สมุดรับรองความพิการจะเป็นเกราะป้องกันลูก ๆ ของคุณได้ระดับหนึ่ง เอกสาร รับรองความพิการแบบใหม่ได้เพิ่มออทิสติกทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นระดับดีมาก (high function) หรือกลุ่มแอสเปอร์เกอร์ (Asperger) ที่มีการสื่อสารปกติ แต่มีความผิดปกติในด้านสัมพันธภาพ และมีพฤติกรรมซ้ำ ๆ ก็มีสิทธิ์ที่จะได้สมุดผู้พิการเช่นเดียวกัน
ขอบคุณ... http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1350452027
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
เด็กชายถือไม้เท้าจูงมือเด็กหญิงเดินตามถนน ผู้ปกครองที่มีลูกอยู่ในกลุ่มเด็กพิเศษ คือเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือ ดูแลเป็นพิเศษ เช่น เด็กที่มีปัญหาทางร่างกาย สมาธิสั้น ดาวน์ซินโดรม เด็กออทิสติก เด็กพิการทางสมอง เด็กพิการซ้ำซ้อน และเด็กปัญญาเลิศ ซึ่งเป็นกลุ่มนี้จะต้องได้รับการดูแล เอาใจใส่ แก้ไขข้อบกพร่องตามวิถีทางที่ถูกต้องเด็กก็จะมีโอกาสเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีมากขึ้น พ่อแม่บางคนที่มีลูกเป็นเด็กพิเศษจะทำใจยอมรับไม่ได้ เพราะเด็กกลุ่มนี้แทบมองไม่ออกว่ามีความผิดปกติอย่างไรบ้าง ในบางคนมีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงดี แต่หากพิจารณาในบุคลิกภาพและการแสดงออกถึงจะรู้ว่าเป็นเด็กพิเศษ โดยเฉพาะเด็กออทิสติกซึ่งคนทั่วไปอาจจะมองไม่ออกด้วยซ้ำว่าเด็กกลุ่มนี้มี ความบกพร่องบางอย่างในพฤติกรรม พ่อแม่ควรรีบพาลูกไปทำสมุดคนพิการ เพราะระหว่างทางการแก้ไขข้อบกพร่องนั้น ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด บางคนต่อสู้พาลูกตระเวนหาหมอ ฝึกกิจกรรมบำบัด ทำแบบนี้อยู่นานถึง 18 ปี และก็ยังคงทำอยู่อย่างนั้น แต่อยู่มาวันหนึ่งลูกชายของเขาวิ่งเข้าไปกอดเด็กหญิงอายุ 12 ปีคนหนึ่ง พร้อมกับจับปลายผมมาดม รูปร่างหน้าตาท่าทางของหนุ่มน้อยคนนั้นไม่ได้ต่างจากคนปกติทั่วไป เพียงแต่ว่าไม่มีคนปกติที่ไหนกล้าทำต่อหน้าพ่อของสาวน้อยคนนั้นแน่ ๆ แต่ภาพที่พ่อของหนูน้อยคนนั้นเห็นคือมีชายหนุ่มโผเข้าไปกอดลูกสาวเขาแบบตั้งใจลวนลามเธอ ผู้ที่มีลูกอยู่ในกลุ่มพิเศษคงจะรู้ดีว่าบางครั้งมีมากกว่านี้อีก เช่น จู่ ๆ ลูกเดินไปดึงเสื้อ ดึงกระเป๋าหรือจับมือใครต่อใครที่เดินสวนทางมาหรือเดินอยู่นำหน้า หากพวกเขายังเป็นเด็กอยู่หลายคนก็คงไม่ถือสา แต่หากเขาโตเป็นชายหนุ่มร่างกำยำหรือโตเป็นสาวเต็มตัว พฤติกรรมเหล่านี้อาจจะทำให้คนที่ประสบพบเจอมึนงงได้ ถ้าอธิบายแล้วพวกเขาเข้าใจก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเจอคนไม่เข้าใจยังไงเขาก็ไม่มีทางให้อภัย เช่นเดียวกับกรณีของเด็กอายุ 18 ปี วิ่งไปกอดสาวน้อยอายุ 12 ปี พ่อของเธอไม่มีทางอภัยให้ชายหนุ่มที่เติบโตจากเด็กพิเศษได้ แม้ผู้ปกครองของเขาจะพยายามอธิบายถึงความบกพร่องของลูกว่าเป็นเด็กออทิสติก แต่ดูเหมือนว่าพ่อของเด็กหญิงคนนั้นจะไม่ได้ฟังเหตุผล มองว่าเป็นแค่การ...แก้ตัว พ่อสาวน้อยพาลูกขึ้นโรงพักไปแจ้งความเอาผิดกับเด็กพิเศษถึงจะตัวโตแล้วก็ตาม แม้ทางเจ้าหน้าที่จะเกลี้ยกล่อมอธิบายยังไง เขาก็คงจะดำเนินคดีกับหนุ่มพิเศษคนนี้ให้ได้โดยไม่สนใจทำความเข้าใจคำว่า"เด็กออทิสติก" จนกระทั่งผู้ปกครองของเด็กพิเศษต้องไปค้นหาเอกสารคนพิการมาแสดงต่อหน้า พร้อมกับมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยอธิบายถึงกระบวนการต่อสู้ในชั้นศาลว่า นี่เป็นหลักฐานที่จะพิสูจน์เจตนาอันบริสุทธิ์ของหนุ่มคนนี้ได้ ทำให้พ่อของสาวน้อยยอมล่าถอยและไม่ดำเนินคดีความด้วยหากเด็กคนนี้ไม่มีเอกสารคนพิการมายืนยัน ลองคิดดูว่าเรื่องจะจบอย่างไร นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่ง จากการที่ได้นั่งฟังผู้ปกครองกลุ่มนี้ปรับทุกข์ถึงพฤติกรรมของลูกน้อยที่โต แต่ตัวแต่พัฒนาการทางสมองยังคงที่หากจะให้ลูกอยู่บ้านเพียงอย่างเดียวก็ไม่ต่างกับจับลูกขังไว้ในกรง การออกนอกบ้านจึงเป็นสิ่งที่พวกเขาหวังว่าลูกจะได้ออกมาเจอสังคมที่วันหนึ่งพวก เขาอาจจะต้องออกมาใช้ชีวิตได้ แม้จะดูแลระมัดระวังเพียงใดติดตามทุกฝีก้าวหากพลาดแค่ก้าวเดียวก็อาจจะทำให้ทั้งเขาและลูกเดือดร้อนได้ แม่เด็กพิเศษคนหนึ่งเล่าว่า ลูกชายของเขาเดินชนคนอย่างแรงในร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง แล้วบังเอิญไปชนกับคนที่ถือถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปซึ่งบรรจุน้ำร้อนไว้ในนั้น แล้วอะไรเกิดขึ้น !!น้ำร้อนลวกมือชายคนนั้น แต่นับว่าโชคดีชายคนนั้นเข้าใจพร้อมกับยิ้มและบอกว่า "ไม่เป็นไร ผมก็มีหลานเป็นเด็กพิเศษเหมือนกัน" เรื่องจึงจบเพียงเท่านั้น ดังนั้นผู้ปกครองที่มีลูกเป็นเด็กพิเศษควรทำใจให้ได้ แต่พาลูกไปขึ้นทะเบียนคนพิการไม่ใช่หวังเงินจากรัฐเดือนละ 500 บาท เพราะมันคงเทียบไม่ได้กับที่พวกเขาต้องเสียค่าใช้จ่ายบำบัดชั่วโมงละ 500-1,200 บาท เพื่อฝึกพัฒนาการลูก แต่สมุดรับรองความพิการจะเป็นเกราะป้องกันลูก ๆ ของคุณได้ระดับหนึ่ง เอกสาร รับรองความพิการแบบใหม่ได้เพิ่มออทิสติกทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นระดับดีมาก (high function) หรือกลุ่มแอสเปอร์เกอร์ (Asperger) ที่มีการสื่อสารปกติ แต่มีความผิดปกติในด้านสัมพันธภาพ และมีพฤติกรรมซ้ำ ๆ ก็มีสิทธิ์ที่จะได้สมุดผู้พิการเช่นเดียวกัน ขอบคุณ... http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1350452027
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)