ผ่าทางตันวิกฤติการเมือง
กองพิสูจน์หลักฐาน ได้ทำการตรวจสอบวิถีกระสุนระหว่างเกิดเหตุความรุนแรง บริเวณสนามกีฬาไทย–ญี่ปุ่น ดินแดง เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2556 ที่ผ่านมา โดยระบุว่าแนวกระสุนทั้งหมด มีการยิงจากถนนมิตรไมตรี เข้ามาภายในสนามกีฬาฯ จากทั้งบริเวณประตู 1 ที่วิถีกระสุนมีลักษณะเฉียงลง ถูกเจ้าหน้าที่บริเวณต้นแขนขวา เป็นมุมกดลงมาประมาณ 80 องศา ขณะทำหน้าที่สกัดม็อบที่จะบุกเข้ามาในหอพักศูนย์เยาวชน ซึ่งเป็นอาคาร 5 ชั้น และพบว่ามีกลุ่มคนร้ายขึ้นไปบนอาคารเพื่อปาก้อนหินใส่ตำรวจ จากนั้นกลุ่มคนดังกล่าว ได้หลบขึ้นไปบนกองอำนวยการ กองช่างกล กทม.และยิงปืนใส่เจ้าหน้าที่ พบรอยกระสุนในบริเวณดังกล่าวเป็นจำนวนมาก เป็นวิถีกระสุนที่ยิงมาจากถนนมิตรไมตรีเช่นกัน
บริเวณประตู 3 ที่มีเจ้าหน้าที่ถูกยิงเสียชีวิต ซึ่งเป็นผลมาจากถูกยิงด้วยกระสุนปืนขนาด.32 วิถีกระสุนมาจากด้านรั้วประตู 3 ด้วยมุมกดลงมาประมาณ 15 องศา บริเวณอาคารกีฬาเวสน์ 2 พบรอยกระสุนเป็นจำนวนมากเช่นกัน ขณะเดียวกัน บริเวณอาคารสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน จุดที่ผู้ชุมนุมเสียชีวิต แนวกระสุนมาจากประตู 6 ด้านกระทรวงแรงงาน หรือจากแฟลตด้านหลังถนนมิตรไมตรี
สรุปแล้ว ในที่เกิดเหตุพบหัวกระสุนปืน 31 หัว ปลอกกระสุนปืน 6 ปลอก โดยยิงมาจากอาวุธปืน 16 กระบอก ซึ่งเป็นการยืนยันในเบื้องต้นได้ว่า มีการยิงอาวุธปืนมาจากบริเวณที่มีผู้ชุมนุมและ สถานการณ์ไม่ใช่การชุมนุมโดยสันติวิธี สงบและปราศจากอาวุธแต่เป็นการชุมนุมที่มีความรุนแรงเกิดขึ้น ไม่ว่าจะมาจากฝ่ายใดก็ตาม
นี่คือสัญญาณว่า หากมีการชุมนุมประท้วง ต่อไป โดยเฉพาะการปิด กทม.ในวันที่ 13 ม.ค.ไป 7 วัน 7 คืน ไม่มีใครรับประกันได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นอีก จะเสียเลือดเสียเนื้ออีกเท่าไหร่ ประเด็นวิกฤติประเทศเฉพาะหน้าไม่ ใช่อยู่ที่จะมีการเลือกตั้งหรือไม่ หรือไม่ใช่จะปฏิรูปประเทศไทย กันอย่างไร แต่ จะรักษาเลือดเนื้อและชีวิตของประชาชน เอาไว้อย่างไรมากกว่า
การ ชุมนุมทางการเมือง ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในประเทศไหน มีเหตุการณ์ความรุนแรงและนองเลือดทุกประเทศ ขึ้นอยู่ว่าจะมากจะน้อยเท่านั้น เพราะ การไม่ยอมรับฟังความเห็นของอีกฝ่าย มุ่งหน้าจะเอาชนะกันด้วยกำลัง ไม่ใช้การเจรจา หาทางออกร่วมกัน เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้น มีทางออกอยู่แค่ 2 วิธีเท่านั้น คือเจรจาหาทางพบกันครึ่งทาง ยอมเคารพความเห็นของคู่กรณี และแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี หรือ ใช้กำลังเข้ายึดอำนาจอีกฝ่ายหนึ่ง โค่นล้มฝ่ายตรงกันข้าม
ความแตกต่างของทั้ง 2 วิธีดังกล่าวอยู่ที่ผลลัพธ์การเจรจาด้วยสันติวิธีจะนำมาซึ่งผลประโยชน์ของ ส่วนรวมและการอยู่ร่วมกันต่อไปโดยปราศจากข้อขัดแย้ง แต่ถ้าเลือกการใช้กำลังก็จะเกิดความรุนแรงหาความสงบไม่ได้….เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามกลางเมือง…โดย: หมัดเหล็ก
ขอบคุณ... http://www.thairath.co.th/column/pol/kaablook/394524 (ขนาดไฟล์: 167)
(ไทยรัฐออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 8 ม.ค.57)
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
กองพิสูจน์หลักฐาน ได้ทำการตรวจสอบวิถีกระสุนระหว่างเกิดเหตุความรุนแรง บริเวณสนามกีฬาไทย–ญี่ปุ่น ดินแดง เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2556 ที่ผ่านมา โดยระบุว่าแนวกระสุนทั้งหมด มีการยิงจากถนนมิตรไมตรี เข้ามาภายในสนามกีฬาฯ จากทั้งบริเวณประตู 1 ที่วิถีกระสุนมีลักษณะเฉียงลง ถูกเจ้าหน้าที่บริเวณต้นแขนขวา เป็นมุมกดลงมาประมาณ 80 องศา ขณะทำหน้าที่สกัดม็อบที่จะบุกเข้ามาในหอพักศูนย์เยาวชน ซึ่งเป็นอาคาร 5 ชั้น และพบว่ามีกลุ่มคนร้ายขึ้นไปบนอาคารเพื่อปาก้อนหินใส่ตำรวจ จากนั้นกลุ่มคนดังกล่าว ได้หลบขึ้นไปบนกองอำนวยการ กองช่างกล กทม.และยิงปืนใส่เจ้าหน้าที่ พบรอยกระสุนในบริเวณดังกล่าวเป็นจำนวนมาก เป็นวิถีกระสุนที่ยิงมาจากถนนมิตรไมตรีเช่นกัน บริเวณประตู 3 ที่มีเจ้าหน้าที่ถูกยิงเสียชีวิต ซึ่งเป็นผลมาจากถูกยิงด้วยกระสุนปืนขนาด.32 วิถีกระสุนมาจากด้านรั้วประตู 3 ด้วยมุมกดลงมาประมาณ 15 องศา บริเวณอาคารกีฬาเวสน์ 2 พบรอยกระสุนเป็นจำนวนมากเช่นกัน ขณะเดียวกัน บริเวณอาคารสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน จุดที่ผู้ชุมนุมเสียชีวิต แนวกระสุนมาจากประตู 6 ด้านกระทรวงแรงงาน หรือจากแฟลตด้านหลังถนนมิตรไมตรี สรุปแล้ว ในที่เกิดเหตุพบหัวกระสุนปืน 31 หัว ปลอกกระสุนปืน 6 ปลอก โดยยิงมาจากอาวุธปืน 16 กระบอก ซึ่งเป็นการยืนยันในเบื้องต้นได้ว่า มีการยิงอาวุธปืนมาจากบริเวณที่มีผู้ชุมนุมและ สถานการณ์ไม่ใช่การชุมนุมโดยสันติวิธี สงบและปราศจากอาวุธแต่เป็นการชุมนุมที่มีความรุนแรงเกิดขึ้น ไม่ว่าจะมาจากฝ่ายใดก็ตาม นี่คือสัญญาณว่า หากมีการชุมนุมประท้วง ต่อไป โดยเฉพาะการปิด กทม.ในวันที่ 13 ม.ค.ไป 7 วัน 7 คืน ไม่มีใครรับประกันได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นอีก จะเสียเลือดเสียเนื้ออีกเท่าไหร่ ประเด็นวิกฤติประเทศเฉพาะหน้าไม่ ใช่อยู่ที่จะมีการเลือกตั้งหรือไม่ หรือไม่ใช่จะปฏิรูปประเทศไทย กันอย่างไร แต่ จะรักษาเลือดเนื้อและชีวิตของประชาชน เอาไว้อย่างไรมากกว่า การ ชุมนุมทางการเมือง ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในประเทศไหน มีเหตุการณ์ความรุนแรงและนองเลือดทุกประเทศ ขึ้นอยู่ว่าจะมากจะน้อยเท่านั้น เพราะ การไม่ยอมรับฟังความเห็นของอีกฝ่าย มุ่งหน้าจะเอาชนะกันด้วยกำลัง ไม่ใช้การเจรจา หาทางออกร่วมกัน เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้น มีทางออกอยู่แค่ 2 วิธีเท่านั้น คือเจรจาหาทางพบกันครึ่งทาง ยอมเคารพความเห็นของคู่กรณี และแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี หรือ ใช้กำลังเข้ายึดอำนาจอีกฝ่ายหนึ่ง โค่นล้มฝ่ายตรงกันข้าม ความแตกต่างของทั้ง 2 วิธีดังกล่าวอยู่ที่ผลลัพธ์การเจรจาด้วยสันติวิธีจะนำมาซึ่งผลประโยชน์ของ ส่วนรวมและการอยู่ร่วมกันต่อไปโดยปราศจากข้อขัดแย้ง แต่ถ้าเลือกการใช้กำลังก็จะเกิดความรุนแรงหาความสงบไม่ได้….เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามกลางเมือง…โดย: หมัดเหล็ก ขอบคุณ... http://www.thairath.co.th/column/pol/kaablook/394524 (ไทยรัฐออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 8 ม.ค.57)
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)