วันเอดส์โลก56…ญาติเป็นเอดส์ตาย คนพิการไม่มีคนดูแล
โครงการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ หรือ UNAIDS ระบุปัจจุบันทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อเอชไอวี รวมทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่า 35.3 ล้านรายเฉพาะปีที่แล้ว ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อฯรายใหม่ 2.3 ล้านราย และมีผู้ป่วยเอดส์ที่เสียชีวิตจำนวน 1.6 ล้านราย เฉพาะเมืองไทย ปีที่แล้วมีผู้ติดเชื้อเอชไอวี และผู้ป่วยเอดส์ สะสมทั่วประเทศจำนวน 1,157,589 ราย ในจำนวนนี้ยังมีชีวิตอยู่ 464,414 ราย เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ 9,437 ราย เฉลี่ยมีผู้ติดเชื้อฯ ชั่วโมงละ 1 ราย
ปีนี้คาดว่า ทั่วประเทศมีผู้ติดเชื้อเอชไอวี และผู้ป่วยเอดส์สะสม รวมไม่ต่ำกว่า 1,166,543 ราย ในจำนวนนี้ยังมีชีวิตอยู่ 447,640 ราย เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่จำนวน 8,959 ราย โดยร้อยละ 62 เป็นผู้ติดเชื้อในกลุ่มชายรักชาย ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 30-34 ปี และขณะนี้พบว่าผู้หญิงติดเชื้อสูงกว่าชายในสัดส่วน 2 ต่อ 1 นอกจากนี้ ยังพบว่า สาเหตุการติดเชื้อฯ ร้อยละ 84.26 ยังคงติดเชื้อมาจากการมีเพศสัมพันธ์ โดยมิได้ป้องกัน ร้อยละ 4.36 ติดเชื้อจากการใช้ยาเสพติดชนิดฉีด และร้อยละ 3.53 เป็นกลุ่มที่ติดเชื้อจากแม่ไปสู่ลูก
ตั้งแต่มีการพบผู้ติดเชื้อเอชไอ วีรายแรกในไทย เมื่อปี 2527 พูดได้ว่า เกือบ 3 ทศวรรษที่ผ่านมา บ้านเรามีผู้ติดเชื้อเอชไอวี รวมแล้วทั้งสิ้นกว่า 1.1 ล้านราย ในจำนวนนี้ ตายไปแล้ว 600,000 กว่าราย อีกประมาณ 370,000 รายเป็นผู้ที่กำลังรับการรักษา และอีกประมาณ 250,000 ราย เป็นผู้ที่ได้รับยาต้านไวรัสฯ
ประเด็นหนึ่งที่น่าเป็นห่วง ก็คือ ปัจจุบันคาดว่ายังมีผู้ที่ไม่ทราบว่าตัวเองติดเชื้อฯ จึงยังไม่ได้เข้าสู่กระบวนการรักษา ซึ่งเป็นกลุ่มแอบแฝงในสังคม ที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดใหม่ อีกไม่ต่ำกว่า 700,000 รายแม้ทุก วันนี้ประเด็นเรื่องเอดส์ในสังคมไทย ไม่ค่อยได้รับการพูดถึง หรือสร่างซาลงไปมาก แต่จากข้อมูลตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อฯรายใหม่ เฉลี่ยชั่วโมงละเกือบ 2 ราย ชี้ชัดว่า “เอดส์” ยังคงเป็นภัยเงียบที่ไม่น่าวางใจ
กระทรวงสาธารณสุขวางนโยบายป้องกัน และแก้ไขปัญหาเอดส์ระดับชาติไว้หลายประเด็น บางประเด็น นับว่าท้าทาย เช่น ตั้งเป้าว่า ภายในปี 2559 จะต้องไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ ไม่มีการตายจากโรคเอดส์ ไม่มีการตีตรา และเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อฯ และผู้ป่วยเอดส์
คณะรัฐมนตรีได้กำหนดให้วันที่ 1 ก.ค.ของทุกปี เป็นวันรณรงค์ตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวีแห่งชาติ โดยเริ่มตั้งแต่ ปี 2556 เป็นต้นไป ประชาชนทุกคนสามารถเข้ารับการตรวจเลือดฟรี ได้ปีละ 2 ครั้ง โดยสามารถใช้บริการได้ทุกสิทธิประกันสุขภาพ จากโรงพยาบาลของรัฐทุกแห่ง นอกจากนั้น ในปีนี้ประเทศไทยยังเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสมัชชานานาชาติ เรื่องโรคเอดส์ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (ICAAP) ครั้งที่ 11 ซึ่งมีวาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตของผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยเอดส์และผู้ที่ต้องทำงานรับผิดชอบกับบุคคลเหล่านั้น
เฉลิมพล พลมุข แห่งวัดพระบาทน้ำพุ ลพบุรี ผู้คลุกคลีอยู่กับปัญหาเอดส์มายาวนาน บอกว่าล่าสุด องค์การอาหารและยา ของสหรัฐอเมริกา ได้อนุมัติยาต้านไวรัสชื่อ “ทรูวาดา” ซึ่งมีผลการวิจัยรับรองว่า หากกินยานี้ต่อเนื่องทุกวัน สามารถป้องกันเอดส์ได้ผลถึง 85% แต่ก็มีข้อถกเถียงกันในวงกว้างว่า ใครบ้างที่สมควรได้รับยาตัวนี้ เช่น คนที่มีคู่นอนซึ่งติดเชื้อฯ กลุ่มเกย์ต่างๆ ผู้ที่ใช้ยาเสพติดชนิดฉีด หญิงขายบริการทางเพศ หรือกลุ่มอื่นที่มีพฤติกรรมเสี่ยง
“เดี๋ยวนี้มีเกย์ส่วนหนึ่ง ไปขอซื้อยาต้านไวรัสตัวนี้จากแพทย์ ถ้าแพทย์ไม่สั่งยาให้ก็จะไปหาซื้อกันเอาเองตามตลาดมืด ซึ่งมีโฆษณาทั้งในเฟซบุ๊ก และตามเว็บไซต์ต่างๆ พูดง่ายๆยาตัวนี้หาได้ไม่ยากนัก แต่ก็มีคำถามน่าคิดตามมาว่า เป็นเรื่องที่ควรหรือไม่ ถูกหรือผิด”
เขาบอกว่า ถ้ายังจำได้ เมื่อเกือบ 20 ปีก่อน มีเด็กกลุ่มหนึ่งในสังคมไทย เกิดมาพร้อมกับความเป็นเอดส์ ติดตัวมาแต่กำเนิด โดยติดเอดส์จากแม่ไปสู่ลูก ปัจจุบันเด็กเหล่านั้นเติบโตกลายเป็นเยาวชนผู้ติดเชื้อเอชไอวี ที่ได้รับยาต้านไวรัสสูตรต่างๆ จากโรงพยาบาลทั่วประเทศ
“เวลานี้เด็ก เหล่านั้น กำลังเป็นวัยรุ่นในสังคมไทย พวกเขาคือกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงในการแพร่เชื้อเอชไอวีไปยังคนปกติ ซึ่งตนอาจไปมีเพศสัมพันธ์ด้วย แบบไม่ระมัดระวังหรือไม่สวมถุงยางอนามัย พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศของวัยรุ่นกลุ่มนี้และวัยรุ่นทั่วไป ถูกตั้งเป็นคำถามว่า รัฐและผู้ที่เกี่ยวข้องควรจะมีท่าทีอย่างไร”
เฉลิมพลบอกว่า ปัจจุบันวัยรุ่นหญิงชายหลายคู่ มีเพศสัมพันธ์กันในวัยเรียน บางคนตั้งท้องมีลูกมารู้ภายหลังก็กลายเป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ไปเสียแล้ว ทารกที่เกิดมาก็เป็นสมาชิกของผู้ติดเชื้อฯ พ่อแม่วัยใสเหล่านี้หลายคู่เลิกรากันไป ต่างฝ่ายต่างไปมีคู่ชีวิตใหม่ และก็รับยาต้านไวรัสไปด้วย พฤติกรรมที่เกิดขึ้น คนทั่วไปไม่ได้รับทราบ หากไปมีพฤติกรรมเสี่ยงด้วย น่าคิดว่าอะไรจะตามมา
อีกประเด็นที่เฉลิมพลบอกให้จับตาดูให้ดี ก็คือ บรรดาผู้ที่ขายบริการทางเพศทั่วเมืองไทยเวลานี้ ไม่ได้มีเฉพาะคนไทยเท่านั้น ยังมีชาวลาว เขมร พม่า ชาวยุโรปตะวันออกบางชาติ ที่เข้ามาประกอบอาชีพขายบริการ มีทั้งชายจริงหญิงแท้ เกย์ กะเทย รวมไปถึงผู้ติดเชื้อเอชไอวี ในกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ทั้งม้ง แม้ว เย้า อีก้อ กะเหรี่ยงและผู้อพยพชาติต่างๆ ตามชายแดน น่าขบคิดว่า ปรากฏการณ์เหล่านี้ รัฐควรยื่นมือเข้าไปสอดส่องดูแลด้วยหรือไม่
“ทุกวันนี้ผู้ป่วยเอดส์ส่วนหนึ่ง ตายเพราะขาดการรับยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง อีกส่วนตายเพราะถูกโรคอื่นแทรก จนร่างกายไม่สามารถทนต่อโรคได้ เช่น มะเร็ง วัณโรคปอด รวมถึงเชื้อราขึ้นสู่สมอง”
หลวงพ่อเจ้าคุณอลงกต วัดพระบาทน้ำพุ ยังคงต้องเดินหน้าทำงานด้านเอดส์อยู่ทุกวัน เพราะในความเป็นจริง ไม่ได้มีเฉพาะแค่ปัญหาคนเป็นเอดส์ แต่ยังมีปัญหาที่พ่วงมากับเอดส์อีกสารพัด ที่ยังหาใครดูแลไม่ได้
“ไม่ว่าคนชรา ที่ลูกหลานซึ่งเป็นเอดส์ตายแล้ว ไม่มีใครดูแล ต้องมาอยู่ที่บ้านพักคนชราของทางวัด ญาติพี่น้องของคนเป็นเอดส์ ที่พิการ ตาบอด หูหนวก หรือแม้กระทั่งหมา แมว กระต่าย และสัตว์เลี้ยงต่างๆของคนเป็นเอดส์ เมื่อพวกเขาจากไปแล้ว ไม่มีใครรับช่วงดูแลต่อ สุดท้ายก็ล้วนทิ้งไว้เป็นภาระให้หลวงพ่อท่านต้องดูแลต่อ”
สัญญาณหนึ่ง ที่น่าเป็นห่วงมาก ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ผู้ที่จะอาสามาทำงานด้านเอดส์ เริ่มลดน้อยลงไปมาก ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะภาวะเศรษฐกิจที่ทุกคนต่างต้องเอาตัวรอดและครอบครัวให้รอด ด้วยการไปหางานอื่นทำที่ไม่ต้องสุ่มเสี่ยง มีรายได้ดีกว่า รวมทั้งบางคนอาจมองว่าการทำงานด้านนี้ไม่ค่อยมีความก้าวหน้าในชีวิต
ในแง่คุณภาพชีวิตของผู้ติดเชื้อเอชไอวี เฉลิมพลมองว่า ในภาพรวมแม้ว่าผู้ติดเชื้อฯทุกวันนี้ จะมีคุณภาพชีวิตดีกว่า เมื่อ 10- 20 ปีที่แล้ว เพราะส่วนใหญ่ได้รับยาต้านไวรัส ทำให้ร่างกายแข็งแรง หลายคนสามารถ ทำงานในองค์กรหรือบริษัทต่างๆได้เป็นอย่างดี แต่เอดส์ก็ยังเป็นโรคที่ยังรักษาไม่หายขาดอยู่ดี
“คนเป็นเอดส์หลายคน ต่างหวังว่า สักวันหนึ่งจะมียารักษาเอดส์เป็นการเฉพาะ ไม่ใช่ยาต้านไวรัสอย่างที่คนเป็นเอดส์กินกันทั่วโลกในขณะนี้ ยาต้านเองก็มีทั้งข้อดีและผลข้างเคียงอยู่มาก ไม่ว่าการแพ้ยา แต่ละสูตร หรือแม้แต่บางราย ที่ตายก็เพราะระบบยาต้านไวรัส”
ปีนี้เมืองไทยรับ เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนานาชาติเอดส์ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ 11 โดยมีเป้าหมาย อยู่ที่ “สาม 0” คือ ไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ ไม่มีผู้เสียชีวิตจากเอดส์ และไม่มีการตีตราและเลือกปฏิบัติ เฉลิมพลว่า ตามหลักการแล้ว น่าจะเป็นเรื่องดี แต่ในความเป็นจริง ยังพบปัญหาที่ซ่อนอยู่ในสังคมไทยอีกมาก ไม่ว่าการตั้งข้อรังเกียจ กลัว หรือปฏิเสธคนเป็นเอดส์ ที่ยังมีให้เห็นอยู่ทั่วไป….สิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นความท้าทายอันยิ่งใหญ่ ที่รอการพิสูจน์
ขอบคุณ… http://www.thairath.co.th/column/pol/page1scoop/386444 (ขนาดไฟล์: 167)
(ไทยรัฐออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 1 ธ.ค.56)
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
เฉลิมพล พลมุข แห่งวัดพระบาทน้ำพุ ลพบุรี ผู้คลุกคลีอยู่กับปัญหาเอดส์มายาวนาน โครงการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ หรือ UNAIDS ระบุปัจจุบันทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อเอชไอวี รวมทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่า 35.3 ล้านรายเฉพาะปีที่แล้ว ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อฯรายใหม่ 2.3 ล้านราย และมีผู้ป่วยเอดส์ที่เสียชีวิตจำนวน 1.6 ล้านราย เฉพาะเมืองไทย ปีที่แล้วมีผู้ติดเชื้อเอชไอวี และผู้ป่วยเอดส์ สะสมทั่วประเทศจำนวน 1,157,589 ราย ในจำนวนนี้ยังมีชีวิตอยู่ 464,414 ราย เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ 9,437 ราย เฉลี่ยมีผู้ติดเชื้อฯ ชั่วโมงละ 1 ราย ปีนี้คาดว่า ทั่วประเทศมีผู้ติดเชื้อเอชไอวี และผู้ป่วยเอดส์สะสม รวมไม่ต่ำกว่า 1,166,543 ราย ในจำนวนนี้ยังมีชีวิตอยู่ 447,640 ราย เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่จำนวน 8,959 ราย โดยร้อยละ 62 เป็นผู้ติดเชื้อในกลุ่มชายรักชาย ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 30-34 ปี และขณะนี้พบว่าผู้หญิงติดเชื้อสูงกว่าชายในสัดส่วน 2 ต่อ 1 นอกจากนี้ ยังพบว่า สาเหตุการติดเชื้อฯ ร้อยละ 84.26 ยังคงติดเชื้อมาจากการมีเพศสัมพันธ์ โดยมิได้ป้องกัน ร้อยละ 4.36 ติดเชื้อจากการใช้ยาเสพติดชนิดฉีด และร้อยละ 3.53 เป็นกลุ่มที่ติดเชื้อจากแม่ไปสู่ลูก ตั้งแต่มีการพบผู้ติดเชื้อเอชไอ วีรายแรกในไทย เมื่อปี 2527 พูดได้ว่า เกือบ 3 ทศวรรษที่ผ่านมา บ้านเรามีผู้ติดเชื้อเอชไอวี รวมแล้วทั้งสิ้นกว่า 1.1 ล้านราย ในจำนวนนี้ ตายไปแล้ว 600,000 กว่าราย อีกประมาณ 370,000 รายเป็นผู้ที่กำลังรับการรักษา และอีกประมาณ 250,000 ราย เป็นผู้ที่ได้รับยาต้านไวรัสฯ ประเด็นหนึ่งที่น่าเป็นห่วง ก็คือ ปัจจุบันคาดว่ายังมีผู้ที่ไม่ทราบว่าตัวเองติดเชื้อฯ จึงยังไม่ได้เข้าสู่กระบวนการรักษา ซึ่งเป็นกลุ่มแอบแฝงในสังคม ที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดใหม่ อีกไม่ต่ำกว่า 700,000 รายแม้ทุก วันนี้ประเด็นเรื่องเอดส์ในสังคมไทย ไม่ค่อยได้รับการพูดถึง หรือสร่างซาลงไปมาก แต่จากข้อมูลตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อฯรายใหม่ เฉลี่ยชั่วโมงละเกือบ 2 ราย ชี้ชัดว่า “เอดส์” ยังคงเป็นภัยเงียบที่ไม่น่าวางใจ กระทรวงสาธารณสุขวางนโยบายป้องกัน และแก้ไขปัญหาเอดส์ระดับชาติไว้หลายประเด็น บางประเด็น นับว่าท้าทาย เช่น ตั้งเป้าว่า ภายในปี 2559 จะต้องไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ ไม่มีการตายจากโรคเอดส์ ไม่มีการตีตรา และเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อฯ และผู้ป่วยเอดส์ คณะรัฐมนตรีได้กำหนดให้วันที่ 1 ก.ค.ของทุกปี เป็นวันรณรงค์ตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวีแห่งชาติ โดยเริ่มตั้งแต่ ปี 2556 เป็นต้นไป ประชาชนทุกคนสามารถเข้ารับการตรวจเลือดฟรี ได้ปีละ 2 ครั้ง โดยสามารถใช้บริการได้ทุกสิทธิประกันสุขภาพ จากโรงพยาบาลของรัฐทุกแห่ง นอกจากนั้น ในปีนี้ประเทศไทยยังเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสมัชชานานาชาติ เรื่องโรคเอดส์ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (ICAAP) ครั้งที่ 11 ซึ่งมีวาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตของผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยเอดส์และผู้ที่ต้องทำงานรับผิดชอบกับบุคคลเหล่านั้น เฉลิมพล พลมุข แห่งวัดพระบาทน้ำพุ ลพบุรี ผู้คลุกคลีอยู่กับปัญหาเอดส์มายาวนาน บอกว่าล่าสุด องค์การอาหารและยา ของสหรัฐอเมริกา ได้อนุมัติยาต้านไวรัสชื่อ “ทรูวาดา” ซึ่งมีผลการวิจัยรับรองว่า หากกินยานี้ต่อเนื่องทุกวัน สามารถป้องกันเอดส์ได้ผลถึง 85% แต่ก็มีข้อถกเถียงกันในวงกว้างว่า ใครบ้างที่สมควรได้รับยาตัวนี้ เช่น คนที่มีคู่นอนซึ่งติดเชื้อฯ กลุ่มเกย์ต่างๆ ผู้ที่ใช้ยาเสพติดชนิดฉีด หญิงขายบริการทางเพศ หรือกลุ่มอื่นที่มีพฤติกรรมเสี่ยง “เดี๋ยวนี้มีเกย์ส่วนหนึ่ง ไปขอซื้อยาต้านไวรัสตัวนี้จากแพทย์ ถ้าแพทย์ไม่สั่งยาให้ก็จะไปหาซื้อกันเอาเองตามตลาดมืด ซึ่งมีโฆษณาทั้งในเฟซบุ๊ก และตามเว็บไซต์ต่างๆ พูดง่ายๆยาตัวนี้หาได้ไม่ยากนัก แต่ก็มีคำถามน่าคิดตามมาว่า เป็นเรื่องที่ควรหรือไม่ ถูกหรือผิด” เขาบอกว่า ถ้ายังจำได้ เมื่อเกือบ 20 ปีก่อน มีเด็กกลุ่มหนึ่งในสังคมไทย เกิดมาพร้อมกับความเป็นเอดส์ ติดตัวมาแต่กำเนิด โดยติดเอดส์จากแม่ไปสู่ลูก ปัจจุบันเด็กเหล่านั้นเติบโตกลายเป็นเยาวชนผู้ติดเชื้อเอชไอวี ที่ได้รับยาต้านไวรัสสูตรต่างๆ จากโรงพยาบาลทั่วประเทศ “เวลานี้เด็ก เหล่านั้น กำลังเป็นวัยรุ่นในสังคมไทย พวกเขาคือกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงในการแพร่เชื้อเอชไอวีไปยังคนปกติ ซึ่งตนอาจไปมีเพศสัมพันธ์ด้วย แบบไม่ระมัดระวังหรือไม่สวมถุงยางอนามัย พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศของวัยรุ่นกลุ่มนี้และวัยรุ่นทั่วไป ถูกตั้งเป็นคำถามว่า รัฐและผู้ที่เกี่ยวข้องควรจะมีท่าทีอย่างไร” เฉลิมพลบอกว่า ปัจจุบันวัยรุ่นหญิงชายหลายคู่ มีเพศสัมพันธ์กันในวัยเรียน บางคนตั้งท้องมีลูกมารู้ภายหลังก็กลายเป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ไปเสียแล้ว ทารกที่เกิดมาก็เป็นสมาชิกของผู้ติดเชื้อฯ พ่อแม่วัยใสเหล่านี้หลายคู่เลิกรากันไป ต่างฝ่ายต่างไปมีคู่ชีวิตใหม่ และก็รับยาต้านไวรัสไปด้วย พฤติกรรมที่เกิดขึ้น คนทั่วไปไม่ได้รับทราบ หากไปมีพฤติกรรมเสี่ยงด้วย น่าคิดว่าอะไรจะตามมา อีกประเด็นที่เฉลิมพลบอกให้จับตาดูให้ดี ก็คือ บรรดาผู้ที่ขายบริการทางเพศทั่วเมืองไทยเวลานี้ ไม่ได้มีเฉพาะคนไทยเท่านั้น ยังมีชาวลาว เขมร พม่า ชาวยุโรปตะวันออกบางชาติ ที่เข้ามาประกอบอาชีพขายบริการ มีทั้งชายจริงหญิงแท้ เกย์ กะเทย รวมไปถึงผู้ติดเชื้อเอชไอวี ในกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ทั้งม้ง แม้ว เย้า อีก้อ กะเหรี่ยงและผู้อพยพชาติต่างๆ ตามชายแดน น่าขบคิดว่า ปรากฏการณ์เหล่านี้ รัฐควรยื่นมือเข้าไปสอดส่องดูแลด้วยหรือไม่ “ทุกวันนี้ผู้ป่วยเอดส์ส่วนหนึ่ง ตายเพราะขาดการรับยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง อีกส่วนตายเพราะถูกโรคอื่นแทรก จนร่างกายไม่สามารถทนต่อโรคได้ เช่น มะเร็ง วัณโรคปอด รวมถึงเชื้อราขึ้นสู่สมอง” หลวงพ่อเจ้าคุณอลงกต วัดพระบาทน้ำพุ ยังคงต้องเดินหน้าทำงานด้านเอดส์อยู่ทุกวัน เพราะในความเป็นจริง ไม่ได้มีเฉพาะแค่ปัญหาคนเป็นเอดส์ แต่ยังมีปัญหาที่พ่วงมากับเอดส์อีกสารพัด ที่ยังหาใครดูแลไม่ได้ “ไม่ว่าคนชรา ที่ลูกหลานซึ่งเป็นเอดส์ตายแล้ว ไม่มีใครดูแล ต้องมาอยู่ที่บ้านพักคนชราของทางวัด ญาติพี่น้องของคนเป็นเอดส์ ที่พิการ ตาบอด หูหนวก หรือแม้กระทั่งหมา แมว กระต่าย และสัตว์เลี้ยงต่างๆของคนเป็นเอดส์ เมื่อพวกเขาจากไปแล้ว ไม่มีใครรับช่วงดูแลต่อ สุดท้ายก็ล้วนทิ้งไว้เป็นภาระให้หลวงพ่อท่านต้องดูแลต่อ” สัญญาณหนึ่ง ที่น่าเป็นห่วงมาก ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ผู้ที่จะอาสามาทำงานด้านเอดส์ เริ่มลดน้อยลงไปมาก ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะภาวะเศรษฐกิจที่ทุกคนต่างต้องเอาตัวรอดและครอบครัวให้รอด ด้วยการไปหางานอื่นทำที่ไม่ต้องสุ่มเสี่ยง มีรายได้ดีกว่า รวมทั้งบางคนอาจมองว่าการทำงานด้านนี้ไม่ค่อยมีความก้าวหน้าในชีวิต ในแง่คุณภาพชีวิตของผู้ติดเชื้อเอชไอวี เฉลิมพลมองว่า ในภาพรวมแม้ว่าผู้ติดเชื้อฯทุกวันนี้ จะมีคุณภาพชีวิตดีกว่า เมื่อ 10- 20 ปีที่แล้ว เพราะส่วนใหญ่ได้รับยาต้านไวรัส ทำให้ร่างกายแข็งแรง หลายคนสามารถ ทำงานในองค์กรหรือบริษัทต่างๆได้เป็นอย่างดี แต่เอดส์ก็ยังเป็นโรคที่ยังรักษาไม่หายขาดอยู่ดี “คนเป็นเอดส์หลายคน ต่างหวังว่า สักวันหนึ่งจะมียารักษาเอดส์เป็นการเฉพาะ ไม่ใช่ยาต้านไวรัสอย่างที่คนเป็นเอดส์กินกันทั่วโลกในขณะนี้ ยาต้านเองก็มีทั้งข้อดีและผลข้างเคียงอยู่มาก ไม่ว่าการแพ้ยา แต่ละสูตร หรือแม้แต่บางราย ที่ตายก็เพราะระบบยาต้านไวรัส” ปีนี้เมืองไทยรับ เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนานาชาติเอดส์ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ 11 โดยมีเป้าหมาย อยู่ที่ “สาม 0” คือ ไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ ไม่มีผู้เสียชีวิตจากเอดส์ และไม่มีการตีตราและเลือกปฏิบัติ เฉลิมพลว่า ตามหลักการแล้ว น่าจะเป็นเรื่องดี แต่ในความเป็นจริง ยังพบปัญหาที่ซ่อนอยู่ในสังคมไทยอีกมาก ไม่ว่าการตั้งข้อรังเกียจ กลัว หรือปฏิเสธคนเป็นเอดส์ ที่ยังมีให้เห็นอยู่ทั่วไป….สิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นความท้าทายอันยิ่งใหญ่ ที่รอการพิสูจน์ ขอบคุณ… http://www.thairath.co.th/column/pol/page1scoop/386444 (ไทยรัฐออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 1 ธ.ค.56)
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)