ไทยใกล้เป็นรัฐล้มเหลว (2)
เมื่อวาน ผมรับใช้จดหมายของคุณชูเกียรติ ชูโต ท่านเล่ากรณี ‘ประเทศไทย : ใกล้ล้มเหลว’ ไว้ได้อย่างน่าสนใจ วันนี้ ผมขออนุญาตนำบางตอนมารับใช้กันต่อครับ
พ.ศ.2547 Fund for Peace หรือกองทุนเพื่อสันติภาพ และนิตยสารนโยบายต่างประเทศของกองทุนคาร์เนกี้ ได้เริ่มทำโครงการ Failed State Index ดัชนีรัฐชาติล้มเหลว โดยสรุปจากการศึกษาภาวะการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ฯลฯ ของ 148 ประเทศ ผลของการศึกษา ไทยเป็นประเทศที่อยู่ในตำแหน่งคาบเส้น และมีความเสี่ยงสูงที่จะกลายเป็นรัฐล้มเหลวหรือfailedState
ผลการประเมินครู พบว่าครูไทยจบปริญญาตรีมากกว่าครูสิงคโปร์ แต่ประสิทธิภาพและผลของการสอนน้อยกว่าครูสิงคโปร์มาก ครูไทยมีความมั่นใจและความพร้อมต่ำ สอนตรงกับเนื้อหาเพียง 30% ส่วนใหญ่มุ่งแต่เชิงพาณิชย์และอุปกรณ์ที่ทันสมัย
74% ของนักเรียนไทย อ่านภาษาไทยไม่ค่อยรู้เรื่อง ตีความไม่ได้ วิเคราะห์ไม่เป็น พ.ศ.2555 มีการจัดลำดับด้านวิทยาศาสตร์ 65 ประเทศ ฟินแลนด์ได้ที่ 1 เกาหลีใต้ได้ที่ 2 ส่วนประเทศไทยได้ที่ 65 คนไทยอ่านหนังสือโดยเฉลี่ย 8 บรรทัดต่อวัน เยาวชนไทยอ่านหนังสือ 5 เล่มต่อปี ขณะที่เด็กเวียดนามอ่านหนังสือโดยเฉลี่ย 50 เล่มต่อปี บทความทางวิชาการในวิกิพีเดียของคนไทยน้อยกว่าคนเวียดนาม 4 เท่า
ดัชนีการพัฒนามนุษย์ของ UNDP ที่ทำเมื่อ พ.ศ.2552 ประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 84 ดัชนีคุณภาพชีวิตไม่ติด 30 อันดับแรก การมีชีวิตยืนยาว ก็ไม่ติด 48 อันดับแรกของโลก คนไทยเล่นการพนันในวงเงินปีละ 1.5-1.8 ล้านล้านบาท (ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์) ผู้หญิงเล่นการพนันมากกว่าผู้ชาย คนชนบทเล่นการพนันมากกว่าคนในเมือง
ไทยมีนักโทษต่อพลเมือง 1 แสนคนมากเป็นอันดับ 3 รองจากสหรัฐฯและรัสเซีย คนไทย 1 แสนคน เป็นนักโทษ 344 คน ประมาณครึ่งหนึ่งของนักโทษไทยมีความผิดจากคดีเสพติด เราเป็นประเทศที่มีการดื่มแอลกอฮอล์เป็นลำดับ 5 ของโลก โดยเฉลี่ยต่อปี คนไทยดื่มสุราคนละ 18 กลม ดื่มเบียร์ 68 ขวดใหญ่ และไวน์ 1 ขวด ในห้วงช่วง 10 ปีที่ผ่านมา คนไทยดื่มเบียร์เพิ่มมากขึ้น 15 เท่า และดื่มไวน์เพิ่มขึ้น 4 เท่า สตรีและวัยรุ่นดื่มเพิ่มขึ้น1%ต่อปี
คนไทยตายจากอุบัติเหตุ ทางรถยนต์มากเป็นอันดับ 7 ทรัพย์สินเสียหายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ปีละประมาณ 2 แสนล้านบาท สาเหตุใหญ่สุดของอุบัติเหตุทางรถยนต์ในประเทศไทยคือ ‘เมา’ ส่วนการตายจากการถูกฆาตกรรมเราอยู่ในลำดับที่12
คนไทยเป็นโรคอ้วน เพิ่มขึ้นปีละ 4 ล้านคน เด็กก่อนวัยเรียนอ้วนเพิ่มขึ้น 36% เด็กอายุ 3-6 ขวบ อ้วนขึ้น 15.58% สาเหตุเพราะคนไทยชอบบริโภคไขมัน รสหวานและเค็มจัด น้ำอัดลม ไทยเป็นประเทศร้อน แต่ก่อน คนไทยบริโภคธัญพืชมาก แต่ปัจจุบันทุกวันนี้ คนไทยหันไปบริโภคอาหารของคนเมืองหนาว เมื่อป่วยก็ต้องซื้อยาของคนเมืองหนาวมาบริโภค
คนไทยบริโภคยา 127 ล้านเม็ดต่อวัน คิดเป็นเงิน 3 แสนล้านบาทต่อปี โดย 70% ของยาที่คนไทยบริโภค เป็นยานำเข้าจากต่างประเทศ โรคที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตสูงสุดคือมะเร็ง หัวใจ และเบาหวาน เหมือนคนอเมริกันผู้เป็นต้นแบบของการพัฒนา
ไทยนำ เข้ายาฆ่าหญ้าเป็นลำดับ 4 และฆ่าแมลงเป็นลำดับ 5 ของโลก คนไทย 36% มีสารเคมีปนเปื้อนในกระแสเลือดสูง ทำให้มีแนวโน้มเป็นมะเร็ง ออทิสติก ทางเดินหายใจ ต้นทุนเคมีเกษตรของชาวนาหลายแห่งสูงถึง 23% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด
พ.ศ.2508...20% ของคนรวยที่สุด มีรายได้ 48.8% ของรายได้ทั้งประเทศ และ 20% ของคนจนที่สุดมีรายได้ 7.9% ของรายได้ทั้งหมด
พ.ศ.2549...20% ของคนรวยที่สุดมีรายได้ 66.3%
20% ของคนจนที่สุด มีรายได้เพียง 3.84% ของทั้งหมด
ปัจจุบัน 20% ของคนรวยที่สุด มีทรัพย์สิน 69% ของประเทศ
ส่วน 20% ของคนจนที่สุด มีทรัพย์สินเพียง 1%
ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์มีเพียง 11 ตระกูล
คนรวย 10% ครอบครองที่ดินถึง 90% ของที่ดินทำกินทั้งประเทศ คนรวยและพวกอภิสิทธิ์ชนจะไม่ยอมให้รัฐบาลที่ช่วยเหลือคนจนครองอำนาจดอกครับ สถิติและข้อมูลของประเทศไทยจึงจะอยุติธรรมอย่างนี้ต่อไปอีกนาน….โดย คุณนิติ นวรัตน์
ขอบคุณ… http://www.thairath.co.th/column/oversea/worldsky/401177 (ขนาดไฟล์: 167)
(ไทยรัฐออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 5 ก.พ.57)
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
เมื่อวาน ผมรับใช้จดหมายของคุณชูเกียรติ ชูโต ท่านเล่ากรณี ‘ประเทศไทย : ใกล้ล้มเหลว’ ไว้ได้อย่างน่าสนใจ วันนี้ ผมขออนุญาตนำบางตอนมารับใช้กันต่อครับ พ.ศ.2547 Fund for Peace หรือกองทุนเพื่อสันติภาพ และนิตยสารนโยบายต่างประเทศของกองทุนคาร์เนกี้ ได้เริ่มทำโครงการ Failed State Index ดัชนีรัฐชาติล้มเหลว โดยสรุปจากการศึกษาภาวะการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ฯลฯ ของ 148 ประเทศ ผลของการศึกษา ไทยเป็นประเทศที่อยู่ในตำแหน่งคาบเส้น และมีความเสี่ยงสูงที่จะกลายเป็นรัฐล้มเหลวหรือfailedState ผลการประเมินครู พบว่าครูไทยจบปริญญาตรีมากกว่าครูสิงคโปร์ แต่ประสิทธิภาพและผลของการสอนน้อยกว่าครูสิงคโปร์มาก ครูไทยมีความมั่นใจและความพร้อมต่ำ สอนตรงกับเนื้อหาเพียง 30% ส่วนใหญ่มุ่งแต่เชิงพาณิชย์และอุปกรณ์ที่ทันสมัย 74% ของนักเรียนไทย อ่านภาษาไทยไม่ค่อยรู้เรื่อง ตีความไม่ได้ วิเคราะห์ไม่เป็น พ.ศ.2555 มีการจัดลำดับด้านวิทยาศาสตร์ 65 ประเทศ ฟินแลนด์ได้ที่ 1 เกาหลีใต้ได้ที่ 2 ส่วนประเทศไทยได้ที่ 65 คนไทยอ่านหนังสือโดยเฉลี่ย 8 บรรทัดต่อวัน เยาวชนไทยอ่านหนังสือ 5 เล่มต่อปี ขณะที่เด็กเวียดนามอ่านหนังสือโดยเฉลี่ย 50 เล่มต่อปี บทความทางวิชาการในวิกิพีเดียของคนไทยน้อยกว่าคนเวียดนาม 4 เท่า ดัชนีการพัฒนามนุษย์ของ UNDP ที่ทำเมื่อ พ.ศ.2552 ประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 84 ดัชนีคุณภาพชีวิตไม่ติด 30 อันดับแรก การมีชีวิตยืนยาว ก็ไม่ติด 48 อันดับแรกของโลก คนไทยเล่นการพนันในวงเงินปีละ 1.5-1.8 ล้านล้านบาท (ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์) ผู้หญิงเล่นการพนันมากกว่าผู้ชาย คนชนบทเล่นการพนันมากกว่าคนในเมือง ไทยมีนักโทษต่อพลเมือง 1 แสนคนมากเป็นอันดับ 3 รองจากสหรัฐฯและรัสเซีย คนไทย 1 แสนคน เป็นนักโทษ 344 คน ประมาณครึ่งหนึ่งของนักโทษไทยมีความผิดจากคดีเสพติด เราเป็นประเทศที่มีการดื่มแอลกอฮอล์เป็นลำดับ 5 ของโลก โดยเฉลี่ยต่อปี คนไทยดื่มสุราคนละ 18 กลม ดื่มเบียร์ 68 ขวดใหญ่ และไวน์ 1 ขวด ในห้วงช่วง 10 ปีที่ผ่านมา คนไทยดื่มเบียร์เพิ่มมากขึ้น 15 เท่า และดื่มไวน์เพิ่มขึ้น 4 เท่า สตรีและวัยรุ่นดื่มเพิ่มขึ้น1%ต่อปี คนไทยตายจากอุบัติเหตุ ทางรถยนต์มากเป็นอันดับ 7 ทรัพย์สินเสียหายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ปีละประมาณ 2 แสนล้านบาท สาเหตุใหญ่สุดของอุบัติเหตุทางรถยนต์ในประเทศไทยคือ ‘เมา’ ส่วนการตายจากการถูกฆาตกรรมเราอยู่ในลำดับที่12 คนไทยเป็นโรคอ้วน เพิ่มขึ้นปีละ 4 ล้านคน เด็กก่อนวัยเรียนอ้วนเพิ่มขึ้น 36% เด็กอายุ 3-6 ขวบ อ้วนขึ้น 15.58% สาเหตุเพราะคนไทยชอบบริโภคไขมัน รสหวานและเค็มจัด น้ำอัดลม ไทยเป็นประเทศร้อน แต่ก่อน คนไทยบริโภคธัญพืชมาก แต่ปัจจุบันทุกวันนี้ คนไทยหันไปบริโภคอาหารของคนเมืองหนาว เมื่อป่วยก็ต้องซื้อยาของคนเมืองหนาวมาบริโภค คนไทยบริโภคยา 127 ล้านเม็ดต่อวัน คิดเป็นเงิน 3 แสนล้านบาทต่อปี โดย 70% ของยาที่คนไทยบริโภค เป็นยานำเข้าจากต่างประเทศ โรคที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตสูงสุดคือมะเร็ง หัวใจ และเบาหวาน เหมือนคนอเมริกันผู้เป็นต้นแบบของการพัฒนา ไทยนำ เข้ายาฆ่าหญ้าเป็นลำดับ 4 และฆ่าแมลงเป็นลำดับ 5 ของโลก คนไทย 36% มีสารเคมีปนเปื้อนในกระแสเลือดสูง ทำให้มีแนวโน้มเป็นมะเร็ง ออทิสติก ทางเดินหายใจ ต้นทุนเคมีเกษตรของชาวนาหลายแห่งสูงถึง 23% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด พ.ศ.2508...20% ของคนรวยที่สุด มีรายได้ 48.8% ของรายได้ทั้งประเทศ และ 20% ของคนจนที่สุดมีรายได้ 7.9% ของรายได้ทั้งหมด พ.ศ.2549...20% ของคนรวยที่สุดมีรายได้ 66.3% 20% ของคนจนที่สุด มีรายได้เพียง 3.84% ของทั้งหมด ปัจจุบัน 20% ของคนรวยที่สุด มีทรัพย์สิน 69% ของประเทศ ส่วน 20% ของคนจนที่สุด มีทรัพย์สินเพียง 1% ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์มีเพียง 11 ตระกูล คนรวย 10% ครอบครองที่ดินถึง 90% ของที่ดินทำกินทั้งประเทศ คนรวยและพวกอภิสิทธิ์ชนจะไม่ยอมให้รัฐบาลที่ช่วยเหลือคนจนครองอำนาจดอกครับ สถิติและข้อมูลของประเทศไทยจึงจะอยุติธรรมอย่างนี้ต่อไปอีกนาน….โดย คุณนิติ นวรัตน์ ขอบคุณ… http://www.thairath.co.th/column/oversea/worldsky/401177 (ไทยรัฐออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 5 ก.พ.57)
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)