ธรรมะ "มาฆบูชา" ภาวนาด้วยความรัก...ในวันวาเลนไทน์
ปีนี้วันมาฆบูชา 15 ค่ำ เดือน 3 เวียน มาบรรจบครบรอบตรงกับวันแห่งความรัก 14 กุมภาพันธ์ วันวาเลนไทน์พอดีถือเป็นความบังเอิญที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก...ใน ทางพระพุทธศาสนา วันมาฆบูชา เป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์แก่พระสงฆ์เป็นครั้งแรก ณเวฬุวัน วิหาร กรุงราชคฤห์ หลังจากพระองค์ตรัสรู้ได้ 9 เดือน หัวใจสำคัญของโอวาทปาติโมกข์ สรุปอย่างง่ายๆสั้นๆ มีอยู่ด้วยกัน 3 ข้อ
“ละชั่ว ประพฤติดี ทำจิตใจให้บริสุทธิ์” ชาวพุทธทั้งหลาย หากประพฤติปฏิบัติหัวใจแห่งโอวาทปาติโมกข์ได้ 3 ข้อนี้ ก็ถือว่าได้เข้าใกล้พระพุทธเจ้า ได้ตระหนักถึงความเป็นพุทธศาสนิกชนอย่างถ่องแท้ นอกจากนี้ ในวันมาฆบูชา ยังมีเหตุ 4 อย่างเกิดขึ้นพร้อมกันอย่างอัศจรรย์ หนึ่ง คือ เป็นวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ซึ่งพระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ สอง เป็นวันที่พระสงฆ์จำนวน 1,250 รูป มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ เพื่อสักการะพระ สัมมาสัมพุทธเจ้า สาม พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ ผู้ได้อภิญญา 6 สี่ พระสงฆ์ทั้งหมดที่มาประชุมกันพร้อมเพรียงในวันนี้ ล้วนเป็น “เอหิภิกขุอุปสัมปทา”ซึ่งหมายถึงเป็นพระสงฆ์ที่พระพุทธเจ้าทรงบวชให้ทั้งหมด
และเพราะเหตุอัศจรรย์ 4 อย่างนี้เอง ทำให้มีผู้เรียกชื่อวันนี้ในอีกชื่อหนึ่งว่า วันจาตุรงคสันนิบาต หมายถึงการประชุมด้วยองค์ 4
ส่วน วันวาเลนไทน์นั้น ตามประวัติบอกว่า เป็นวันที่นักบุญคือ เซนต์วาเลนไทน์ ซึ่งขัดขืนคำสั่งของจักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 ที่สั่งให้ยกเลิกการแต่งงานและการหมั้นทั้งหมดของชาวโรมันในยุคสงครามที่ ต้องการเกณฑ์คนไปรบ แต่นักบุญวาเลนไทน์กลับชักชวนคู่รักมาแต่งงานหลายต่อหลายคู่ จนโดนจับตัวไปขังเอาไว้ และถูกนำตัวไปประหารในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ วันดังกล่าวจึงกลายมาเป็นวันแห่งความรักที่ผู้คนจะรำลึกถึงนักบุญผู้อุทิศตน ให้ความรัก คือ เซนต์วาเลนไทน์ นั่นเอง นักบุญที่ได้ชื่อว่าเป็น “นักบุญแห่งความรัก”ในวันที่ไม่ได้มีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้ว
14 กุมภาพันธ์ปีนี้ 2 วันในความสัมพันธ์ต่างศาสนา เวียนมาตรงกันโดยมิได้นัดหมาย น่าจะเป็นจุดเริ่มที่ดีในการอธิบายเรื่องความรัก
เรื่อง ของความรักนั้น ถ้ารักให้เป็น ก็จะไม่เป็นทุกข์ ถ้ารักเป็นชีวิตจะดีขึ้น รักอย่างเข้าใจ มีความสุขที่จะรัก เป็นความรักที่สามารถจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งได้” แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต แห่งเสถียรธรรมสถาน ซึ่งจะจัดงาน“ภาวนากับความรัก” ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์อธิบายถึงความหมายของความรัก
“ทุก วันนี้ เราไม่เข้าใจในความรัก รักอะไร รักใครก็ไปยึด ไปติด คิดที่จะเปลี่ยนแปลงคนอื่น สิ่งอื่น ให้เป็นอย่างที่ตัวเองต้องการ ก็ยิ่งทำให้ตัวเองเป็นทุกข์มากขึ้น แต่ถ้าเราเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ ทำใจให้เปิดกว้าง วางอคติ เราก็จะรักได้อย่างไม่ทุกข์ รักเขาอย่างที่เขาเป็น ไม่ใช่อย่างที่เราอยากให้เป็น”
แม่ชีศันสนีย์ ยังบอกด้วยว่า ถ้าอยากจะเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตาม อยากที่จะเห็นปาฏิหาริย์ของการเปลี่ยนแปลง ต้องเข้าใจในสิ่งนั้นก่อน เมื่อเข้าใจ เราจะรู้จักให้อภัย การให้อภัยไม่ได้แปลว่าแพ้ แต่เพราะเราสามารถเปลี่ยนแปลงพลังงานได้อย่างมีศิลปะ เปลี่ยนกระบวนที่ดูเหมือนขัดแย้งให้เป็นการตื่นรู้ ความตื่นรู้นั้นเองที่ทำให้เกิดปาฏิหาริย์ คือ การเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน
“ปัญหา ที่เกิดขึ้นหลายๆเรื่อง ทั้งเรื่องใหญ่ เรื่องเล็ก ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของอวิชชา ความไม่รู้ทั้งสิ้น เมื่อเป็นอวิชชาก็ทุกข์ พระพุทธเจ้าสอนว่า ถ้าจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างให้พ้นจากปัญหา พ้นจากความทุกข์ ต้องใช้ปัญญา ใช้อวิชชาไม่ได้”
เทคนิค ที่ทำให้เกิดปัญญาได้อย่างง่ายๆ แม่ชีศันสนีย์บอกว่าจริงๆแล้ว การทำให้เกิดปัญญาในหลายๆเรื่องนั้น ง่ายนิดเดียว แค่กลับมาอยู่กับลมหายใจของตัวเอง ใช้สติเป็นตัวติดเบรก ชีวิตที่เหลือจะยาวหรือสั้นไม่เป็นไร แต่ต้องมีชีวิตที่สด ด้วยการภาวนา ด้วยการมีลมหายใจเป็นเพื่อน
“เวลาที่เรารู้สึกทุกข์ อึดอัด คับข้องใจ ส่วนหนึ่งมาจากความรู้สึกไม่ได้ดังใจ อาการไม่ได้ดังใจนี้ละ ที่ทำให้เราทุกข์ วิธีแก้ง่ายๆก็แค่ดึงลมหายใจเข้าไปลึกๆเพียงนิดเดียว ชั่วขณะเดียว เราจะสามารถเข้าใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ดูที่ใจเรา เห็นที่ใจเรา ก็จะเข้าใจงาน เข้าใจคนอื่น ทุกอย่างต้องกลับมาที่ใจเราก่อนทั้งนั้น” เป็น วิธีคิดอย่างมีธรรมะที่ง่ายแต่ลึกซึ้ง ซึ่งอยากให้ทุกคนถือเอาวันมาฆบูชานี้ เป็นวันเริ่มต้นของการปฏิบัติตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ให้ละชั่ว ประพฤติดี รักษาใจให้ขาวรอบ หมายความว่า ให้มีความอดทน อดกลั้น เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางไปสู่ความสำเร็จในชีวิต
“มาฆบูชา ปีนี้ ถ้าเราต้องการจะพัฒนาความรักของเราให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความรักแบบไหนก็ตาม รักแบบเพื่อน รักแบบชู้สาว รักแบบรักชาติบ้านเมือง รักอะไรก็แล้วแต่ อยากให้มองว่าทุกปัญหา ทุกความทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้น เราได้ละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้สงบอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนแล้วหรือยัง
อยาก ให้ทุกคนหันกลับมารักตัวเอง โดยการหยุดชั่ว มองอย่างลึกซึ้ง เพื่อเร่งทำกุศล เปลี่ยนแปลงตัวเรา เป็นการช่วยสร้างสังคมให้ร่มเย็นเป็นสุขได้” แม่ชีศันสนีย์บอก
เช่นเดียวกับคำสอนของท่านติช นัท ฮันห์ที่บอกว่า ความรักที่แท้มีองค์ประกอบ 4 ประการ ซึ่งเรียกว่าพรหมวิหาร 4 ประกอบ ด้วย เมตตา หมายถึง การมีไมตรี หรือความตั้งใจและความปรารถนาที่จะให้ผู้อื่นเบิกบาน เป็นสุข ซึ่งเราจะต้องฝึกฝนและเฝ้าดูอย่างตั้งใจว่า อะไรที่ควรทำและไม่ควรทำ เพื่อให้ผู้อื่นมีความสุข
กรุณา หมายถึง ความตั้งใจและความปรารถนาที่จะให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ เศร้าเสียใจน้อยลง แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องทนทุกข์เพื่อช่วยขจัดทุกข์จากผู้อื่น เพราะถ้าเราเป็นทุกข์มากเกินไป เราก็อาจย่ำแย่จนไม่อาจช่วยเหลือผู้ใดได้
มุทิตา หมายถึง ความยินดีเบิกบาน ที่เจือไปด้วยความสงบและความพอเพียง เราชื่นบานเมื่อได้เห็นผู้อื่นมีความสุข ขณะเดียวกันตัวเราก็ชื่นบานไปกับความสุขของตนด้วย
และ อุเบกขา หมายถึง การไม่แบ่งแยก เราและคนที่รักนั้นไม่ใช่สิ่งที่แยกออกเป็นสองส่วน ความสุขของเขาก็คือความสุขของเราความทุกข์ของเขาก็คือความทุกข์ของเรา รวมถึงการไม่ยึดมั่นถือมั่น ปล่อยให้ตัวเราและคนที่รักยังคงมีอิสรภาพ
มาฆบูชาและวาเลนไทน์ปีนี้ หันกลับมาเรียนรู้ความรัก อย่างรู้เท่าทัน ตามแนวทางของพระพุทธองค์ เพื่อสร้างปาฏิหาริย์ดีในชีวิตกันเถิด.
ขอบคุณ… http://www.thairath.co.th/column/pol/page1scoop/403304 (ขนาดไฟล์: 167)
( ไทยรัฐออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 14 ก.พ.57 )
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
แม่ชีศันสนีย์ ปีนี้วันมาฆบูชา 15 ค่ำ เดือน 3 เวียน มาบรรจบครบรอบตรงกับวันแห่งความรัก 14 กุมภาพันธ์ วันวาเลนไทน์พอดีถือเป็นความบังเอิญที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก...ใน ทางพระพุทธศาสนา วันมาฆบูชา เป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์แก่พระสงฆ์เป็นครั้งแรก ณเวฬุวัน วิหาร กรุงราชคฤห์ หลังจากพระองค์ตรัสรู้ได้ 9 เดือน หัวใจสำคัญของโอวาทปาติโมกข์ สรุปอย่างง่ายๆสั้นๆ มีอยู่ด้วยกัน 3 ข้อ รูปปั่นกงจักร “ละชั่ว ประพฤติดี ทำจิตใจให้บริสุทธิ์” ชาวพุทธทั้งหลาย หากประพฤติปฏิบัติหัวใจแห่งโอวาทปาติโมกข์ได้ 3 ข้อนี้ ก็ถือว่าได้เข้าใกล้พระพุทธเจ้า ได้ตระหนักถึงความเป็นพุทธศาสนิกชนอย่างถ่องแท้ นอกจากนี้ ในวันมาฆบูชา ยังมีเหตุ 4 อย่างเกิดขึ้นพร้อมกันอย่างอัศจรรย์ หนึ่ง คือ เป็นวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ซึ่งพระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ สอง เป็นวันที่พระสงฆ์จำนวน 1,250 รูป มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ เพื่อสักการะพระ สัมมาสัมพุทธเจ้า สาม พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ ผู้ได้อภิญญา 6 สี่ พระสงฆ์ทั้งหมดที่มาประชุมกันพร้อมเพรียงในวันนี้ ล้วนเป็น “เอหิภิกขุอุปสัมปทา”ซึ่งหมายถึงเป็นพระสงฆ์ที่พระพุทธเจ้าทรงบวชให้ทั้งหมด และเพราะเหตุอัศจรรย์ 4 อย่างนี้เอง ทำให้มีผู้เรียกชื่อวันนี้ในอีกชื่อหนึ่งว่า วันจาตุรงคสันนิบาต หมายถึงการประชุมด้วยองค์ 4 ดอกกุหลาบ ส่วน วันวาเลนไทน์นั้น ตามประวัติบอกว่า เป็นวันที่นักบุญคือ เซนต์วาเลนไทน์ ซึ่งขัดขืนคำสั่งของจักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 ที่สั่งให้ยกเลิกการแต่งงานและการหมั้นทั้งหมดของชาวโรมันในยุคสงครามที่ ต้องการเกณฑ์คนไปรบ แต่นักบุญวาเลนไทน์กลับชักชวนคู่รักมาแต่งงานหลายต่อหลายคู่ จนโดนจับตัวไปขังเอาไว้ และถูกนำตัวไปประหารในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ วันดังกล่าวจึงกลายมาเป็นวันแห่งความรักที่ผู้คนจะรำลึกถึงนักบุญผู้อุทิศตน ให้ความรัก คือ เซนต์วาเลนไทน์ นั่นเอง นักบุญที่ได้ชื่อว่าเป็น “นักบุญแห่งความรัก”ในวันที่ไม่ได้มีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้ว 14 กุมภาพันธ์ปีนี้ 2 วันในความสัมพันธ์ต่างศาสนา เวียนมาตรงกันโดยมิได้นัดหมาย น่าจะเป็นจุดเริ่มที่ดีในการอธิบายเรื่องความรัก เรื่อง ของความรักนั้น ถ้ารักให้เป็น ก็จะไม่เป็นทุกข์ ถ้ารักเป็นชีวิตจะดีขึ้น รักอย่างเข้าใจ มีความสุขที่จะรัก เป็นความรักที่สามารถจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งได้” แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต แห่งเสถียรธรรมสถาน ซึ่งจะจัดงาน“ภาวนากับความรัก” ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์อธิบายถึงความหมายของความรัก ดอกบัว “ทุก วันนี้ เราไม่เข้าใจในความรัก รักอะไร รักใครก็ไปยึด ไปติด คิดที่จะเปลี่ยนแปลงคนอื่น สิ่งอื่น ให้เป็นอย่างที่ตัวเองต้องการ ก็ยิ่งทำให้ตัวเองเป็นทุกข์มากขึ้น แต่ถ้าเราเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ ทำใจให้เปิดกว้าง วางอคติ เราก็จะรักได้อย่างไม่ทุกข์ รักเขาอย่างที่เขาเป็น ไม่ใช่อย่างที่เราอยากให้เป็น” แม่ชีศันสนีย์ ยังบอกด้วยว่า ถ้าอยากจะเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตาม อยากที่จะเห็นปาฏิหาริย์ของการเปลี่ยนแปลง ต้องเข้าใจในสิ่งนั้นก่อน เมื่อเข้าใจ เราจะรู้จักให้อภัย การให้อภัยไม่ได้แปลว่าแพ้ แต่เพราะเราสามารถเปลี่ยนแปลงพลังงานได้อย่างมีศิลปะ เปลี่ยนกระบวนที่ดูเหมือนขัดแย้งให้เป็นการตื่นรู้ ความตื่นรู้นั้นเองที่ทำให้เกิดปาฏิหาริย์ คือ การเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน “ปัญหา ที่เกิดขึ้นหลายๆเรื่อง ทั้งเรื่องใหญ่ เรื่องเล็ก ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของอวิชชา ความไม่รู้ทั้งสิ้น เมื่อเป็นอวิชชาก็ทุกข์ พระพุทธเจ้าสอนว่า ถ้าจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างให้พ้นจากปัญหา พ้นจากความทุกข์ ต้องใช้ปัญญา ใช้อวิชชาไม่ได้” ประชาชนเดินเวียนเทียนเทคนิค ที่ทำให้เกิดปัญญาได้อย่างง่ายๆ แม่ชีศันสนีย์บอกว่าจริงๆแล้ว การทำให้เกิดปัญญาในหลายๆเรื่องนั้น ง่ายนิดเดียว แค่กลับมาอยู่กับลมหายใจของตัวเอง ใช้สติเป็นตัวติดเบรก ชีวิตที่เหลือจะยาวหรือสั้นไม่เป็นไร แต่ต้องมีชีวิตที่สด ด้วยการภาวนา ด้วยการมีลมหายใจเป็นเพื่อน “เวลาที่เรารู้สึกทุกข์ อึดอัด คับข้องใจ ส่วนหนึ่งมาจากความรู้สึกไม่ได้ดังใจ อาการไม่ได้ดังใจนี้ละ ที่ทำให้เราทุกข์ วิธีแก้ง่ายๆก็แค่ดึงลมหายใจเข้าไปลึกๆเพียงนิดเดียว ชั่วขณะเดียว เราจะสามารถเข้าใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ดูที่ใจเรา เห็นที่ใจเรา ก็จะเข้าใจงาน เข้าใจคนอื่น ทุกอย่างต้องกลับมาที่ใจเราก่อนทั้งนั้น” เป็น วิธีคิดอย่างมีธรรมะที่ง่ายแต่ลึกซึ้ง ซึ่งอยากให้ทุกคนถือเอาวันมาฆบูชานี้ เป็นวันเริ่มต้นของการปฏิบัติตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ให้ละชั่ว ประพฤติดี รักษาใจให้ขาวรอบ หมายความว่า ให้มีความอดทน อดกลั้น เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางไปสู่ความสำเร็จในชีวิต “มาฆบูชา ปีนี้ ถ้าเราต้องการจะพัฒนาความรักของเราให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความรักแบบไหนก็ตาม รักแบบเพื่อน รักแบบชู้สาว รักแบบรักชาติบ้านเมือง รักอะไรก็แล้วแต่ อยากให้มองว่าทุกปัญหา ทุกความทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้น เราได้ละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้สงบอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนแล้วหรือยัง ดอกบัวบานในบึง อยาก ให้ทุกคนหันกลับมารักตัวเอง โดยการหยุดชั่ว มองอย่างลึกซึ้ง เพื่อเร่งทำกุศล เปลี่ยนแปลงตัวเรา เป็นการช่วยสร้างสังคมให้ร่มเย็นเป็นสุขได้” แม่ชีศันสนีย์บอก เช่นเดียวกับคำสอนของท่านติช นัท ฮันห์ที่บอกว่า ความรักที่แท้มีองค์ประกอบ 4 ประการ ซึ่งเรียกว่าพรหมวิหาร 4 ประกอบ ด้วย เมตตา หมายถึง การมีไมตรี หรือความตั้งใจและความปรารถนาที่จะให้ผู้อื่นเบิกบาน เป็นสุข ซึ่งเราจะต้องฝึกฝนและเฝ้าดูอย่างตั้งใจว่า อะไรที่ควรทำและไม่ควรทำ เพื่อให้ผู้อื่นมีความสุข กรุณา หมายถึง ความตั้งใจและความปรารถนาที่จะให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ เศร้าเสียใจน้อยลง แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องทนทุกข์เพื่อช่วยขจัดทุกข์จากผู้อื่น เพราะถ้าเราเป็นทุกข์มากเกินไป เราก็อาจย่ำแย่จนไม่อาจช่วยเหลือผู้ใดได้ มุทิตา หมายถึง ความยินดีเบิกบาน ที่เจือไปด้วยความสงบและความพอเพียง เราชื่นบานเมื่อได้เห็นผู้อื่นมีความสุข ขณะเดียวกันตัวเราก็ชื่นบานไปกับความสุขของตนด้วย และ อุเบกขา หมายถึง การไม่แบ่งแยก เราและคนที่รักนั้นไม่ใช่สิ่งที่แยกออกเป็นสองส่วน ความสุขของเขาก็คือความสุขของเราความทุกข์ของเขาก็คือความทุกข์ของเรา รวมถึงการไม่ยึดมั่นถือมั่น ปล่อยให้ตัวเราและคนที่รักยังคงมีอิสรภาพ มาฆบูชาและวาเลนไทน์ปีนี้ หันกลับมาเรียนรู้ความรัก อย่างรู้เท่าทัน ตามแนวทางของพระพุทธองค์ เพื่อสร้างปาฏิหาริย์ดีในชีวิตกันเถิด. ขอบคุณ… http://www.thairath.co.th/column/pol/page1scoop/403304 ( ไทยรัฐออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 14 ก.พ.57 )
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)