ปลดล็อคธุรกิจ “จ้างงานคนพิการ” ทำงานเพื่อสังคม
การจ้างงานคนพิการเพื่อทำงานในชุมชน เป็นมิติใหม่ในการจ้างงานคนพิการของภาคธุรกิจที่ได้ทั้งปฏิบัติตามกฎหมาย สร้างผลกระทบด้านการตลาดและสังคม แม้พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 จะกำหนดให้สถานประกอบการต้องจ้างงานคนพิการตามมาตรา 33 ในอัตราส่วน 100 คน ต่อ 1 คน ซึ่งส่งผลให้มีโควต้าคนพิการที่ต้องได้รับการว่าจ้างงานตามกฎหมายทั้งสิ้นราว 47,000 คน แต่จากข้อมูลล่าสุดปี 2557 ปรากฏตัวเลขการจ้างงานคนพิการในสถานประกอบการเพียง 24,604 คน
หากวิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้สถานประกอบการส่วนใหญ่เลือกที่จะส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมคุณภาพชีวิตคนพิการตามมาตรา 34 แทนการว่าจ้างคนพิการ (ในกรณีหากสถานประกอบการใดไม่สามารถจ้างคนพิการได้) จนทำให้ปัจจุบันมีเงินนอนอยู่ในกองทุนกว่า 8 พันล้านบาท มีที่มาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความไม่พร้อมของสถานประกอบการ ที่ตามกฎหมายระบุว่า ต้องเตรียมจัดพื้นที่อำนวยความสะดวกให้คนพิการในด้านต่างๆ
นอกจากนี้ สถานการณ์ฟากฝั่งของคนพิการเองก็น่าเป็นห่วง เนื่องจากพบว่าส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 50 เป็นคนพิการที่มีการศึกษาระดับต่ำกว่าประถม และมีเพียงร้อยละ 7.42 และ 0.91 เท่านั้นที่มีการศึกษาสูงกว่าระดับประถมและระดับอุดมศึกษาตามลำดับ เหล่านี้สะท้อนความจริงให้เห็นว่าแรงงานคนพิการเหล่านี้ ยังมีศักยภาพเทียบเท่ากับ “แรงงานไร้ฝีมือ” ขณะคนพิการจำนวนมาก แม้จะมีศักยภาพทำงานได้ แต่ไม่พร้อมจะย้ายถิ่นฐานไปทำงานห่างไกลภูมิลำเนา
ทำให้ปัจจุบันคนพิการที่อยู่ในวัยทำงานหรืออายุต่ำกว่า 60 ปีทั่วประเทศ ที่มีศักยภาพ แต่ไม่มีงานทำ มีมากถึง 22,396 คน ที่ต้องอาศัยรายได้หลักจากเบี้ยยังชีพคนพิการที่ภาครัฐจ่ายให้เดือนละ 800 บาท เพื่อให้คนพิการมีโอกาสเข้าถึงงานและสามารถดำรงชีวิตได้ทัดเทียมกับบุคคลทั่วไปได้มากขึ้น มูลนิธินวัตกรรมทางสังคม จึงได้ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ (สสส.) กระทรวงแรงงาน กรมส่งเสริมคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) และภาคธุรกิจ ร่วมหาแนวทางพัฒนาและสนับสนุนการจ้างงานที่เอื้อต่อการเข้าถึงโอกาสมีงานทำของคนพิการ ด้วยแนวทางการดำเนิน โครงการจ้างงานคนพิการเพื่อทำงานในชุมชนหรือองค์กรสาธารณะประโยชน์
ซึ่งการจ้างงานคนพิการในมิติใหม่ดังกล่าวนี้ จะเปิดโอกาสให้คนพิการเป็นพนักงานเพื่อทำงานบริการชุมชนหรือสาธารณะ ในพื้นที่ที่เป็นภูมิลำเนาของคนพิการ ซึ่งเป็นหนึ่งในเนื้องานตามภารกิจด้านความรับผิดชอบต่อสังคมของสถานประกอบการ ข้อดีคือเป็นการนำงานไปถึงคนพิการแทนที่จะดึงคนพิการออกจากชุมชน ทำให้คนพิการได้อยู่ในภูมิลำเนาที่ตนเองคุ้นเคย ที่ยังสะดวกต่อการดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพ
ปี พ.ศ.2557 มูลนิธินวัตกรรมทางสังคมและภาคีจึงได้จัดโครงการนำร่องจ้างงานคนพิการในชุมชนจำนวน 229 คนเข้าร่วมโครงการ และมีสถานประกอบการ 20 แห่ง ที่ให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการ อาทิ บริษัท เบทาโกร จำกัด, บริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด, กลุ่มพรีเมียร์ และบริษัท อาปีโก ไฮเทค จำกัด (มหาชน) เป็นต้น
โดยการว่าจ้างรูปแบบนี้ เป็นการจ้างคนพิการมาเป็นพนักงานเพื่อปฏิบัติภารกิจตามนโยบายความรับผิดชอบต่อสังคมของสถานประกอบการ และเป็นผู้สั่งการและมอบหมายให้คนพิการเข้าปฏิบัติงานสนับสนุนองค์กรในท้องถิ่นหรือสาธารณะประโยชน์ที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งต้องมีสามเงื่อนไขหลักคือ มีการปฏิบัติงานจริง จ่ายผลตอบแทนถูกต้องตามกฎหมาย บริษัทมีอำนาจบังคับบัญชาคนพิการได้ตามสิทธิ “ในความเป็นจริงคนพิการไม่ได้ต้องการสร้างภาระอะไรให้สังคม แต่มีความปรารถนาที่จะช่วยเหลือตัวเองให้ได้”
“สมชาย เจริญอำนวยสุข” อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กล่าวตอนหนึ่งในปาฐกถาในเวทีเสวนา “มาตรา 33 กับการจ้างงานคนพิการเพื่อทำงานในชุมชน” พร้อมยังกล่าวว่า ความมุ่งหวังแท้จริงของมาตรา 33 คือการส่งเสริมศักยภาพคนพิการในสังคม ซึ่งรัฐไม่ได้ต้องการใช้กฎหมายมาเป็นเครื่องมือเพื่อบีบบังคับสถานประกอบการ“เราไม่ได้ต้องการเงินเข้ากองทุนมากๆ แต่ปรารถนาให้คนพิการได้รับเงินจากการจ้างงานโดยตรงจากสถานประกอบการ”
ด้าน “จินตนา จันทร์บำรุง” ผู้อำนวยการกองส่งเสริมสิทธิและสวัสดิการคนพิการ พก. ชี้แจงเสริมว่า ในทางกฎหมายการจ้างงานคนพิการสามารถลดหย่อนภาษีได้ถึง 2 เท่า หากส่งเงินเข้ากองทุนฯ ลดหย่อนได้ 1 เท่า
“ธิติพัทธ์ เจียมรุจีกุล” ผู้อำนวยการงานพัฒนาทรัพยากรบุคคลและธุรการ บริษัท พรีเมียร์ จำกัด หนึ่งใน 20 สถานประกอบการ ที่เข้าร่วมโครงการนำร่องการจ้างงานคนพิการในชุมชน เล่าว่า บริษัทมีนโยบายว่าจ้างพนักงานคนพิการเป็นพนักงาน แต่อุปสรรคที่เกิดคือการหาคนพิการที่เหมาะสมกับตำแหน่งงานยาก และเมื่อเข้ามาทำงานไม่นานก็ลาออก จึงได้ร่วมโครงการโดยได้รับความช่วยเหลือจากมูลนิธินวัตกรรมทางสังคมที่เป็นสื่อกลางในการจัดหาคนพิการและพื้นที่ทำงานให้ ทางบริษัทมีการออกสัญญาว่าจ้างพนักงาน ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายซีเอสอาร์ของบริษัท โดยให้สิทธิและสวัสดิการเทียบเท่าพนักงานคนอื่นในบริษัท ซึ่งมูลนิธินวัตกรรมทางสังคมได้ช่วยติดตามรายงานการปฏิบัติงานเป็นระยะ
เขาบอกอีกว่า โครงการนี้เป็นโอกาสที่ดีของฝ่ายบุคคลในการนำเสนอแก่ผู้บริหารว่า การจ้างงานคนพิการดังกล่าวไม่เพียงปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ยังช่วยสร้างอิมแพคทางการตลาดให้กับองค์กรได้ด้วย เพราะเป็นเสมือนการสร้างภาพลักษณ์ในด้านความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งบริษัทมีงบประมาณดังกล่าวอยู่แล้ว วิธีนี้จึงเป็นซีเอสอาร์ที่แท้จริง“สิ่งที่เราทำ ไม่ใช่เพราะความสงสาร แต่มองว่าเป็นการสร้างการมีส่วนร่วมของบริษัทในการสร้างความเท่าเทียมกันในสังคม” เขากล่าว
ด้าน “ระวิวรรณ พานิชขจรกุล” พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลวังจันทร์ จ.ระยอง ร่วมเป็นผู้คัดเลือกคนพิการในชุมชน มาเข้าโครงการและเป็นพนักงานของโรงพยาบาลฯ บอกว่า เดิมคนพิการในชุมชนถูกทอดทิ้ง ไม่ได้รับการพัฒนาตนเอง คนพิการก็มีปัญหาไม่กล้าเข้าสังคม แต่หลังการดำเนินโครงการ 3 เดือนแรก พบว่า เห็นความเปลี่ยนแปลงคือ คนพิการมีการปรับตัว จากเดิมที่ไม่มั่นใจ กลับมีความมุ่งมั่นในการทำงาน และพยายามพัฒนาตนเองมากขึ้น
ส่วน “สายหยุด ชาวนา” นักวิชาการสาธารณสุข รพ.สต.วังจันทร์ กล่าวว่า การจ้างคนพิการ 1 คนก็เหมือนเข้าไปนั่งอยู่ในใจคนทั้งชุมชน “เพราะคนในหมู่บ้านสี่พันกว่าคน ทุกคนรู้จักคนพิการหมด ซึ่งการจ้างงานครั้งนี้ทุกคนในหมู่บ้านจึงรับรู้ไปด้วย ก็รู้สึกชื่นชมที่โครงการนี้เกิดขึ้น”
ปิดท้ายกับ “มุกริน สุทธิจินดาวงษ์” ผู้อำนวยการกลุ่มงานพัฒนาระบบการคุ้มครองแรงงาน สำนักคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน ให้ข้อเสนอแนะว่า การว่าจ้างคนพิการในรูปแบบนี้ สถานประกอบการควรให้สิทธิ์พนักงานที่เป็นคนพิการเท่าเทียมคนปกติ ไม่ว่าจะเป็นการว่าจ้างงาน การประเมินผลงานเหมือนกับทุกคนในบริษัท และควรมีการขึ้นทะเบียนลูกจ้าง มีที่อยู่จริงเพื่อความสะดวกในการติดต่อ โดยผู้ว่าจ้างต้องไม่ทอดทิ้งเขาไว้ในชุมชน แต่ควรเดินทางไปเยี่ยมเยียนติดตามบ้าง และปฏิบัติต่อคนพิการเสมือนเป็นพนักงานคนหนึ่งขององค์กร เพื่อศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจ
หากสถานประกอบการ องค์กรท้องถิ่น องค์กรสาธารณประโยชน์ คนพิการที่ทำงานได้ ต้องการทำงาน สามารถติดต่อเข้าร่วมโครงการได้ที่ มูลนิธินวัตกรรมทางสังคม โทร.02-279-9385 หรือ www.sif.or.th เพื่อร่วมสร้างโอกาสใหม่ให้คนพิการ ได้เติบโตในโลกการทำงานอย่างเท่าเทียม
ขอบคุณ... http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/675821 (ขนาดไฟล์: 167)
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
การจ้างงานคนพิการเพื่อทำงานในชุมชน เป็นมิติใหม่ในการจ้างงานคนพิการของภาคธุรกิจที่ได้ทั้งปฏิบัติตามกฎหมาย สร้างผลกระทบด้านการตลาดและสังคม แม้พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 จะกำหนดให้สถานประกอบการต้องจ้างงานคนพิการตามมาตรา 33 ในอัตราส่วน 100 คน ต่อ 1 คน ซึ่งส่งผลให้มีโควต้าคนพิการที่ต้องได้รับการว่าจ้างงานตามกฎหมายทั้งสิ้นราว 47,000 คน แต่จากข้อมูลล่าสุดปี 2557 ปรากฏตัวเลขการจ้างงานคนพิการในสถานประกอบการเพียง 24,604 คน รถวีลแชร์ หากวิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้สถานประกอบการส่วนใหญ่เลือกที่จะส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมคุณภาพชีวิตคนพิการตามมาตรา 34 แทนการว่าจ้างคนพิการ (ในกรณีหากสถานประกอบการใดไม่สามารถจ้างคนพิการได้) จนทำให้ปัจจุบันมีเงินนอนอยู่ในกองทุนกว่า 8 พันล้านบาท มีที่มาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความไม่พร้อมของสถานประกอบการ ที่ตามกฎหมายระบุว่า ต้องเตรียมจัดพื้นที่อำนวยความสะดวกให้คนพิการในด้านต่างๆ นอกจากนี้ สถานการณ์ฟากฝั่งของคนพิการเองก็น่าเป็นห่วง เนื่องจากพบว่าส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 50 เป็นคนพิการที่มีการศึกษาระดับต่ำกว่าประถม และมีเพียงร้อยละ 7.42 และ 0.91 เท่านั้นที่มีการศึกษาสูงกว่าระดับประถมและระดับอุดมศึกษาตามลำดับ เหล่านี้สะท้อนความจริงให้เห็นว่าแรงงานคนพิการเหล่านี้ ยังมีศักยภาพเทียบเท่ากับ “แรงงานไร้ฝีมือ” ขณะคนพิการจำนวนมาก แม้จะมีศักยภาพทำงานได้ แต่ไม่พร้อมจะย้ายถิ่นฐานไปทำงานห่างไกลภูมิลำเนา ทำให้ปัจจุบันคนพิการที่อยู่ในวัยทำงานหรืออายุต่ำกว่า 60 ปีทั่วประเทศ ที่มีศักยภาพ แต่ไม่มีงานทำ มีมากถึง 22,396 คน ที่ต้องอาศัยรายได้หลักจากเบี้ยยังชีพคนพิการที่ภาครัฐจ่ายให้เดือนละ 800 บาท เพื่อให้คนพิการมีโอกาสเข้าถึงงานและสามารถดำรงชีวิตได้ทัดเทียมกับบุคคลทั่วไปได้มากขึ้น มูลนิธินวัตกรรมทางสังคม จึงได้ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ (สสส.) กระทรวงแรงงาน กรมส่งเสริมคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) และภาคธุรกิจ ร่วมหาแนวทางพัฒนาและสนับสนุนการจ้างงานที่เอื้อต่อการเข้าถึงโอกาสมีงานทำของคนพิการ ด้วยแนวทางการดำเนิน โครงการจ้างงานคนพิการเพื่อทำงานในชุมชนหรือองค์กรสาธารณะประโยชน์ ซึ่งการจ้างงานคนพิการในมิติใหม่ดังกล่าวนี้ จะเปิดโอกาสให้คนพิการเป็นพนักงานเพื่อทำงานบริการชุมชนหรือสาธารณะ ในพื้นที่ที่เป็นภูมิลำเนาของคนพิการ ซึ่งเป็นหนึ่งในเนื้องานตามภารกิจด้านความรับผิดชอบต่อสังคมของสถานประกอบการ ข้อดีคือเป็นการนำงานไปถึงคนพิการแทนที่จะดึงคนพิการออกจากชุมชน ทำให้คนพิการได้อยู่ในภูมิลำเนาที่ตนเองคุ้นเคย ที่ยังสะดวกต่อการดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพ ปี พ.ศ.2557 มูลนิธินวัตกรรมทางสังคมและภาคีจึงได้จัดโครงการนำร่องจ้างงานคนพิการในชุมชนจำนวน 229 คนเข้าร่วมโครงการ และมีสถานประกอบการ 20 แห่ง ที่ให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการ อาทิ บริษัท เบทาโกร จำกัด, บริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด, กลุ่มพรีเมียร์ และบริษัท อาปีโก ไฮเทค จำกัด (มหาชน) เป็นต้น โดยการว่าจ้างรูปแบบนี้ เป็นการจ้างคนพิการมาเป็นพนักงานเพื่อปฏิบัติภารกิจตามนโยบายความรับผิดชอบต่อสังคมของสถานประกอบการ และเป็นผู้สั่งการและมอบหมายให้คนพิการเข้าปฏิบัติงานสนับสนุนองค์กรในท้องถิ่นหรือสาธารณะประโยชน์ที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งต้องมีสามเงื่อนไขหลักคือ มีการปฏิบัติงานจริง จ่ายผลตอบแทนถูกต้องตามกฎหมาย บริษัทมีอำนาจบังคับบัญชาคนพิการได้ตามสิทธิ “ในความเป็นจริงคนพิการไม่ได้ต้องการสร้างภาระอะไรให้สังคม แต่มีความปรารถนาที่จะช่วยเหลือตัวเองให้ได้” “สมชาย เจริญอำนวยสุข” อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กล่าวตอนหนึ่งในปาฐกถาในเวทีเสวนา “มาตรา 33 กับการจ้างงานคนพิการเพื่อทำงานในชุมชน” พร้อมยังกล่าวว่า ความมุ่งหวังแท้จริงของมาตรา 33 คือการส่งเสริมศักยภาพคนพิการในสังคม ซึ่งรัฐไม่ได้ต้องการใช้กฎหมายมาเป็นเครื่องมือเพื่อบีบบังคับสถานประกอบการ“เราไม่ได้ต้องการเงินเข้ากองทุนมากๆ แต่ปรารถนาให้คนพิการได้รับเงินจากการจ้างงานโดยตรงจากสถานประกอบการ” ด้าน “จินตนา จันทร์บำรุง” ผู้อำนวยการกองส่งเสริมสิทธิและสวัสดิการคนพิการ พก. ชี้แจงเสริมว่า ในทางกฎหมายการจ้างงานคนพิการสามารถลดหย่อนภาษีได้ถึง 2 เท่า หากส่งเงินเข้ากองทุนฯ ลดหย่อนได้ 1 เท่า “ธิติพัทธ์ เจียมรุจีกุล” ผู้อำนวยการงานพัฒนาทรัพยากรบุคคลและธุรการ บริษัท พรีเมียร์ จำกัด หนึ่งใน 20 สถานประกอบการ ที่เข้าร่วมโครงการนำร่องการจ้างงานคนพิการในชุมชน เล่าว่า บริษัทมีนโยบายว่าจ้างพนักงานคนพิการเป็นพนักงาน แต่อุปสรรคที่เกิดคือการหาคนพิการที่เหมาะสมกับตำแหน่งงานยาก และเมื่อเข้ามาทำงานไม่นานก็ลาออก จึงได้ร่วมโครงการโดยได้รับความช่วยเหลือจากมูลนิธินวัตกรรมทางสังคมที่เป็นสื่อกลางในการจัดหาคนพิการและพื้นที่ทำงานให้ ทางบริษัทมีการออกสัญญาว่าจ้างพนักงาน ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายซีเอสอาร์ของบริษัท โดยให้สิทธิและสวัสดิการเทียบเท่าพนักงานคนอื่นในบริษัท ซึ่งมูลนิธินวัตกรรมทางสังคมได้ช่วยติดตามรายงานการปฏิบัติงานเป็นระยะ เขาบอกอีกว่า โครงการนี้เป็นโอกาสที่ดีของฝ่ายบุคคลในการนำเสนอแก่ผู้บริหารว่า การจ้างงานคนพิการดังกล่าวไม่เพียงปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ยังช่วยสร้างอิมแพคทางการตลาดให้กับองค์กรได้ด้วย เพราะเป็นเสมือนการสร้างภาพลักษณ์ในด้านความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งบริษัทมีงบประมาณดังกล่าวอยู่แล้ว วิธีนี้จึงเป็นซีเอสอาร์ที่แท้จริง“สิ่งที่เราทำ ไม่ใช่เพราะความสงสาร แต่มองว่าเป็นการสร้างการมีส่วนร่วมของบริษัทในการสร้างความเท่าเทียมกันในสังคม” เขากล่าว ด้าน “ระวิวรรณ พานิชขจรกุล” พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลวังจันทร์ จ.ระยอง ร่วมเป็นผู้คัดเลือกคนพิการในชุมชน มาเข้าโครงการและเป็นพนักงานของโรงพยาบาลฯ บอกว่า เดิมคนพิการในชุมชนถูกทอดทิ้ง ไม่ได้รับการพัฒนาตนเอง คนพิการก็มีปัญหาไม่กล้าเข้าสังคม แต่หลังการดำเนินโครงการ 3 เดือนแรก พบว่า เห็นความเปลี่ยนแปลงคือ คนพิการมีการปรับตัว จากเดิมที่ไม่มั่นใจ กลับมีความมุ่งมั่นในการทำงาน และพยายามพัฒนาตนเองมากขึ้น ส่วน “สายหยุด ชาวนา” นักวิชาการสาธารณสุข รพ.สต.วังจันทร์ กล่าวว่า การจ้างคนพิการ 1 คนก็เหมือนเข้าไปนั่งอยู่ในใจคนทั้งชุมชน “เพราะคนในหมู่บ้านสี่พันกว่าคน ทุกคนรู้จักคนพิการหมด ซึ่งการจ้างงานครั้งนี้ทุกคนในหมู่บ้านจึงรับรู้ไปด้วย ก็รู้สึกชื่นชมที่โครงการนี้เกิดขึ้น” ปิดท้ายกับ “มุกริน สุทธิจินดาวงษ์” ผู้อำนวยการกลุ่มงานพัฒนาระบบการคุ้มครองแรงงาน สำนักคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน ให้ข้อเสนอแนะว่า การว่าจ้างคนพิการในรูปแบบนี้ สถานประกอบการควรให้สิทธิ์พนักงานที่เป็นคนพิการเท่าเทียมคนปกติ ไม่ว่าจะเป็นการว่าจ้างงาน การประเมินผลงานเหมือนกับทุกคนในบริษัท และควรมีการขึ้นทะเบียนลูกจ้าง มีที่อยู่จริงเพื่อความสะดวกในการติดต่อ โดยผู้ว่าจ้างต้องไม่ทอดทิ้งเขาไว้ในชุมชน แต่ควรเดินทางไปเยี่ยมเยียนติดตามบ้าง และปฏิบัติต่อคนพิการเสมือนเป็นพนักงานคนหนึ่งขององค์กร เพื่อศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจ หากสถานประกอบการ องค์กรท้องถิ่น องค์กรสาธารณประโยชน์ คนพิการที่ทำงานได้ ต้องการทำงาน สามารถติดต่อเข้าร่วมโครงการได้ที่ มูลนิธินวัตกรรมทางสังคม โทร.02-279-9385 หรือ www.sif.or.th เพื่อร่วมสร้างโอกาสใหม่ให้คนพิการ ได้เติบโตในโลกการทำงานอย่างเท่าเทียม ขอบคุณ... http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/675821
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)



