อย่าปล่อยให้ “ไม่ปกติ”

แสดงความคิดเห็น

ข้อมูลขององค์การอนามัยโลกระบุว่าในอีก 3 ปีข้างหน้า จะมีผู้ป่วยเป็นโรคทางด้านจิตเวชเพิ่มมากขึ้นเป็นอันดับ 2 ต่อจากโรคหัวใจ ดังนั้นจึงถือได้ว่าโรคทางด้านจิตเวชนั้นเป็นโรคที่ไม่ได้ไกลห่างจากตัวเราสักเท่าไหร่นัก แต่ถึงกระนั้นก็ดีในสังคมปัจจุบันก็ยังมีผู้คนส่วนใหญ่ที่ยังมีค่านิยมผิดๆ ว่า การป่วยทางจิตนั้นเป็นเรื่องน่าอายที่ต้องปกปิด จึงทำให้มีผู้ป่วยทางด้านจิตเวชเป็นจำนวนมากที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการป่วยทางจิตของตนเองโดยที่ไม่กล้าไปพบจิตแพทย์หรือแม้แต่ปรึกษากับใครอีกทั้งมีผู้ป่วยทางด้านจิตเวชเป็นจำนวนมากที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังป่วย

ชายนั่งเอามือกุมหัว

วันนี้ผู้เขียนจะมานำเสนอถึงสัญญาณเตือนว่า คุณหรือคนใกล้ตัวเริ่มมีความไม่ปกติทางจิตแล้ว ดังนี้ 1. พฤติกรรมและบุคลิกภาพเปลี่ยนไปจากเดิมในทางลบ ยกตัวอย่างเช่น จากคนร่าเริงสนุกสนานกลายเป็นคนเงียบขรึมซึมเศร้า จากคนที่สุภาพเรียบร้อยกลายเป็นก้าวร้าวหยาบคาย จากคนที่สะอาดเนี้ยบกลายเป็นคนสกปรกซกมก โดยคนที่มีความผิดปกติในกลุ่มนี้มักจะไม่ค่อยดูแลตนเอง เช่น ไม่สนใจดูแลรักษาความสะอาดเรื่องที่อยู่อาศัยข้าวของเครื่องใช้เสื้อผ้าและมักไม่ชอบอาบน้ำ

2. มีความกลัวที่มากเกินปกติ ตัวอย่างของความกลัวที่คนทั่วไปกลัว ได้แก่ กลัวความสูง กลัวความมืด กลัวผีกลัวสัตว์หรือสิ่งของบางชนิด กลัวที่แคบ แท้จริงแล้วความกลัวในสิ่งต่างๆ ที่กล่าวไปนั้นไม่ใช่ความผิดปกติแต่อย่างใด แต่หากมีความกลัวที่เกินกว่าปกติจนส่งผลต่อระบบของร่างกายอย่างรุนแรง เช่น หายใจไม่ออก หน้ามืดวิงเวียนชักเป็นลมจนหมดสติก็ถือว่าเป็นความกลัวที่มากเกินปกติจนต้องปรึกษาจิตแพทย์แล้ว

3. มีอารมณ์ที่ขัดแย้งกับเหตุการณ์รอบตัว ยกตัวอย่าง เช่น มีอารมณ์ที่เฉยๆ ไม่ยินดียินร้ายกับทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น หรือเมื่อประสบกับเรื่องราวที่มีความสุขสนุกสนาน กลับรู้สึกเป็นทุกข์มีอารมณ์ซึมเซา เมื่อดูหนังดราม่าเศร้าสลดหรืออยู่ในเหตุการณ์เศร้าโศกที่ผู้คนร้องไห้โศกสลดกันแต่คุณกลับหัวเราะเริงร่าและรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องตลก

4. คิดว่าตัวเองมีพลังพิเศษเหนือธรรมชาติ โดยผู้ป่วยจะเชื่อว่าตนเองมีความสามารถเหนือคนอื่น บางรายคิดว่าตนเองมีสัมผัสพิเศษ หลงผิดเกิดภาพหลอนว่าตนเองเป็นผู้วิเศษมีฤทธิ์อำนาจ เป็นเทวดาเหาะเหินเดินอากาศได้หรือคิดว่าตนเองเป็นผู้หยั่งรู้เหตุการณ์ต่างๆสามารถทำนายทายทักเรื่องราวต่างๆได้ถูกต้อง

5. ระแวงไปหมดทุกอย่าง เริ่มต้นจากการเป็นคนมีความวิตกกังวลมากจนผิดปกติ มีอาการย้ำคิดย้ำทำ มองโลกในแง่ร้ายเช่น ระแวงว่าคนจะนินทาว่าร้าย ระแวงว่าสามีหรือภรรยาจะไปมีกิ๊ก ระแวงว่าคนจะมาขโมยของ ระแวงว่าจะมีคนเอายาพิษมาใส่ไว้ในอาหาร ระแวงว่าจะมีคนมาทำร้าย บางรายมีอาการหูแว่วร่วมด้วยว่าได้ยินเสียงคนกำลังด่าว่าตัวเอง

หากพบว่าตัวของท่านเองหรือคนใกล้ตัวมีอาการดังที่กล่าวมาเกิน 1 เดือน ควรรีบไปปรึกษาจิตแพทย์เพื่อเข้ารับการบำบัดรักษา จำไว้ว่าคนที่ป่วยเป็นโรคทางจิตเวชไม่ใช่เรื่องน่าอาย อีกทั้งถ้าปล่อยให้ผู้ป่วยมีอาการไม่ปกติเหล่านี้ไปเรื่อยๆ อาการเหล่านี้ก็จะกำเริบเป็นหนักมากขึ้น ซึ่งทำให้ทั้งผู้ป่วยและคนใกล้ตัวได้รับความทุกข์และความเดือดร้อนอย่างมากมายทีเดียว

ขอบคุณ... http://www.manager.co.th/Qol/ViewNews.aspx?NewsID=9600000038403 (ขนาดไฟล์: 164)

ที่มา: manager.co.thออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 16 เม.ย.60
วันที่โพสต์: 18/04/2560 เวลา 10:27:49 ดูภาพสไลด์โชว์ อย่าปล่อยให้ “ไม่ปกติ”

แสดงความคิดเห็น

รอตรวจสอบ
จัดฟอร์แม็ต ดูการแสดงผล

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

ยกเลิก

รายละเอียดกระทู้

ข้อมูลขององค์การอนามัยโลกระบุว่าในอีก 3 ปีข้างหน้า จะมีผู้ป่วยเป็นโรคทางด้านจิตเวชเพิ่มมากขึ้นเป็นอันดับ 2 ต่อจากโรคหัวใจ ดังนั้นจึงถือได้ว่าโรคทางด้านจิตเวชนั้นเป็นโรคที่ไม่ได้ไกลห่างจากตัวเราสักเท่าไหร่นัก แต่ถึงกระนั้นก็ดีในสังคมปัจจุบันก็ยังมีผู้คนส่วนใหญ่ที่ยังมีค่านิยมผิดๆ ว่า การป่วยทางจิตนั้นเป็นเรื่องน่าอายที่ต้องปกปิด จึงทำให้มีผู้ป่วยทางด้านจิตเวชเป็นจำนวนมากที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการป่วยทางจิตของตนเองโดยที่ไม่กล้าไปพบจิตแพทย์หรือแม้แต่ปรึกษากับใครอีกทั้งมีผู้ป่วยทางด้านจิตเวชเป็นจำนวนมากที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังป่วย ชายนั่งเอามือกุมหัว วันนี้ผู้เขียนจะมานำเสนอถึงสัญญาณเตือนว่า คุณหรือคนใกล้ตัวเริ่มมีความไม่ปกติทางจิตแล้ว ดังนี้ 1. พฤติกรรมและบุคลิกภาพเปลี่ยนไปจากเดิมในทางลบ ยกตัวอย่างเช่น จากคนร่าเริงสนุกสนานกลายเป็นคนเงียบขรึมซึมเศร้า จากคนที่สุภาพเรียบร้อยกลายเป็นก้าวร้าวหยาบคาย จากคนที่สะอาดเนี้ยบกลายเป็นคนสกปรกซกมก โดยคนที่มีความผิดปกติในกลุ่มนี้มักจะไม่ค่อยดูแลตนเอง เช่น ไม่สนใจดูแลรักษาความสะอาดเรื่องที่อยู่อาศัยข้าวของเครื่องใช้เสื้อผ้าและมักไม่ชอบอาบน้ำ 2. มีความกลัวที่มากเกินปกติ ตัวอย่างของความกลัวที่คนทั่วไปกลัว ได้แก่ กลัวความสูง กลัวความมืด กลัวผีกลัวสัตว์หรือสิ่งของบางชนิด กลัวที่แคบ แท้จริงแล้วความกลัวในสิ่งต่างๆ ที่กล่าวไปนั้นไม่ใช่ความผิดปกติแต่อย่างใด แต่หากมีความกลัวที่เกินกว่าปกติจนส่งผลต่อระบบของร่างกายอย่างรุนแรง เช่น หายใจไม่ออก หน้ามืดวิงเวียนชักเป็นลมจนหมดสติก็ถือว่าเป็นความกลัวที่มากเกินปกติจนต้องปรึกษาจิตแพทย์แล้ว 3. มีอารมณ์ที่ขัดแย้งกับเหตุการณ์รอบตัว ยกตัวอย่าง เช่น มีอารมณ์ที่เฉยๆ ไม่ยินดียินร้ายกับทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น หรือเมื่อประสบกับเรื่องราวที่มีความสุขสนุกสนาน กลับรู้สึกเป็นทุกข์มีอารมณ์ซึมเซา เมื่อดูหนังดราม่าเศร้าสลดหรืออยู่ในเหตุการณ์เศร้าโศกที่ผู้คนร้องไห้โศกสลดกันแต่คุณกลับหัวเราะเริงร่าและรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องตลก 4. คิดว่าตัวเองมีพลังพิเศษเหนือธรรมชาติ โดยผู้ป่วยจะเชื่อว่าตนเองมีความสามารถเหนือคนอื่น บางรายคิดว่าตนเองมีสัมผัสพิเศษ หลงผิดเกิดภาพหลอนว่าตนเองเป็นผู้วิเศษมีฤทธิ์อำนาจ เป็นเทวดาเหาะเหินเดินอากาศได้หรือคิดว่าตนเองเป็นผู้หยั่งรู้เหตุการณ์ต่างๆสามารถทำนายทายทักเรื่องราวต่างๆได้ถูกต้อง 5. ระแวงไปหมดทุกอย่าง เริ่มต้นจากการเป็นคนมีความวิตกกังวลมากจนผิดปกติ มีอาการย้ำคิดย้ำทำ มองโลกในแง่ร้ายเช่น ระแวงว่าคนจะนินทาว่าร้าย ระแวงว่าสามีหรือภรรยาจะไปมีกิ๊ก ระแวงว่าคนจะมาขโมยของ ระแวงว่าจะมีคนเอายาพิษมาใส่ไว้ในอาหาร ระแวงว่าจะมีคนมาทำร้าย บางรายมีอาการหูแว่วร่วมด้วยว่าได้ยินเสียงคนกำลังด่าว่าตัวเอง หากพบว่าตัวของท่านเองหรือคนใกล้ตัวมีอาการดังที่กล่าวมาเกิน 1 เดือน ควรรีบไปปรึกษาจิตแพทย์เพื่อเข้ารับการบำบัดรักษา จำไว้ว่าคนที่ป่วยเป็นโรคทางจิตเวชไม่ใช่เรื่องน่าอาย อีกทั้งถ้าปล่อยให้ผู้ป่วยมีอาการไม่ปกติเหล่านี้ไปเรื่อยๆ อาการเหล่านี้ก็จะกำเริบเป็นหนักมากขึ้น ซึ่งทำให้ทั้งผู้ป่วยและคนใกล้ตัวได้รับความทุกข์และความเดือดร้อนอย่างมากมายทีเดียว ขอบคุณ... http://www.manager.co.th/Qol/ViewNews.aspx?NewsID=9600000038403

จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย

  1. เพิ่ม
  2. เพิ่ม ลบ
  3. เพิ่ม ลบ
  4. เพิ่ม ลบ
  5. เพิ่ม ลบ
  6. เพิ่ม ลบ
  7. เพิ่ม ลบ
  8. เพิ่ม ลบ
  9. เพิ่ม ลบ
  10. ลบ
เลือกการตกแต่งที่ต้องการ

ตกลง ยกเลิก

รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)

Waiting...