'ปากเบี้ยว' ใบหน้าอัมพาตครึ่งซีก

แสดงความคิดเห็น

คอลัมน์ ดูแลสุขภาพ

โรคปากเบี้ยวหมายถึงอะไร : โรคปากเบี้ยว (Bell’s PALSY) เป็นภาวะที่มีอาการอักเสบของเส้นประสาทสมองเส้นที่ 7 ทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรงครึ่งซีก มุมปากตก ขยับใบหน้าซีกนั้นไม่ได้ หลับตาได้ไม่สนิท เลิกคิ้ว ยักคิ้วไม่ได้ น้ำลายไหลออกมุมปาก ซึ่งเกิดจากการ ซึ่งโรคนี้ถูกค้นพบโดยศัลยแพทย์ชาวสกอต ชื่อ CHARLE BELL จึงเรียกโรคนี้ว่า BELL’S PALSY (เบลล์ พัลซี) โรคนี้สามารถพบได้ทุกเพศทุกวัย แต่มีโอกาสพบมากขึ้นในผู้ป่วยเบาหวาน

หน้าที่ของเส้นประสาทสมองเส้นที่ 7 : เส้นประสาทสมองมีทั้งหมด 12 คู่ ทำหน้าที่รับความรู้สึกและควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆ ซึ่งเส้นประสาทสมองแต่ละคู่ ทำหน้าที่แตกต่างกันออกไป สำหรับเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 เรียกว่า FACIAL NERVE ทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้าทั้ง 2 ด้าน ซ้ายและขวา การยิ้ม ยิงฟัน หลับตา ลืมตา ยักคิ้ว การรับรสอาหาร ควบคุมการได้ยิน การหลั่งน้ำตา การหลั่งน้ำลาย

สาเหตุการเกิดโรคปากเบี้ยว : การบาดเจ็บหรือการอักเสบของเส้นประสาทคู่ที่ 7 (FACIAL NERVE) มักจะเป็นผลตามมาหลังจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งมักพบบ่อย คือ เริม งูสวัด ที่เกิดบริเวณใบหน้า ในหู สำหรับผู้ที่ร่างกายอ่อนแอภูมิคุ้มกันต่ำ พักผ่อนน้อย มีความเครียด การสูบบุหรี่จัด ดื่มแอลกอฮอล์มาก ติดเชื้อเอชไอวี จะเป็นเหตุให้การติดเชื้อไวรัสต่างๆ ได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะเริม งูสวัด เมื่อเส้นประสาทมีการอักเสบ จะทำให้เส้นประสาทมีการบวมจนเกิดการกดทับ และขาดเลือดไปเลี้ยง ส่งผลให้รบกวนการทำงานของเส้นประสาท ทำให้ไม่สามารถควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการปิดตาและยิ้มได้ เช่น ถ้ามีการอักเสบเส้นประสาทคู่ที่ 7 ด้านซ้าย จะทำให้ใบหน้าซีกซ้ายผิดปกติ ไม่สามารถยักคิ้วได้ ปิดตาได้ไม่สนิท ปากเบี้ยวด้านซ้าย

โรคปากเบี้ยว (BELL’S PALSY) มีอันตรายเพียงใด : โรคเบลล์ พัลซี เป็นโรคที่ไม่เป็นอันตรายร้ายแรง ผู้ป่วยส่วนใหญ่ ฟื้นตัวได้ ภายใน 1-3 เดือน โดยไม่ต้องรักษา และส่วนใหญ่จะหายสนิท มีเพียงส่วนน้อยที่ยังหลงเหลืออาการปากเบี้ยวให้เห็น สำหรับผู้ป่วยที่อายุมาก เกิน 60 ปี ฟื้นตัวได้ช้ากว่าผู้ที่อายุน้อยและพบว่าผู้ป่วยประมาณครึ่งหนึ่ง จะมีอาการเครียด และไม่ค่อยเข้าสังคม หลังจากที่มีอาการปากเบี้ยว

อาการของโรคปากเบี้ยว (BELL’S PALSY) : โดยมากจะพบว่าผู้ป่วยมีอาการใบหน้าเบี้ยวปากเบี้ยวอย่างฉับพลัน อาการที่พบบ่อย ได้แก่ ปากเบี้ยว มุมปากตก เวลายิ้มหรือยิงฟันจะเห็นได้ชัด เวลาดื่มน้ำ น้ำจะไหลจากมุมปากข้างที่เป็น เคี้ยวแล้วน้ำลายไหล เนื่องจากปิดปากไม่สนิท เวลาหลับตาเปลือกตาปิดไม่สนิท เวลาลืมตาเปลือกตาตกลง ถ้าหากล้างหน้า จะแสบตา เนื่องจากสบู่เข้าตา จากการที่เปลือกตาปิดไม่สนิท การยักคิ้วไม่ได้ เลิกคิ้วไม่ได้ มีอาการในข้างเดียวกับปาก และตา ที่มีอาการผิดปกติ บางรายอาจสูญเสียการรับรสหรือมีอาการหูอื้อร่วมด้วย

แพทย์จะมีวิธีวินิจฉัยโรคปากเบี้ยวได้อย่างไร - การทดสอบเส้นประสาทคู่ที่ 7 (FACIAL NERVE) โดยการให้ผู้ป่วย ยิ้ม ยิงฟัน ยักคิ้ว หลับตาให้สนิท หากผิดปกติ จะพบว่า ขณะยิ้ม ยิงฟัน ปากจะเบี้ยว ยักคิ้วไม่ได้ ปิดเปลือกตาไม่สนิท จะมีความผิดปกติในซีกเดียวกันทั้งหมด - การส่องตรวจหูเพื่อหารอยโรค ดูว่ามีการติดเชื้อไวรัสหรือไม่ - การทดสอบกำลังของกล้ามเนื้อแขน และขา หากอยู่ในระดับปกติ จะเป็นการยืนยันว่าไม่ได้เป็นโรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติในสมอง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น เนื่องจากอัมพาตที่เกิดจากโรคหลอดเลือดสมอง จะมีอาการปากเบี้ยว คล้ายคลึงกับโรคเบลล์ พัลซี แต่แตกต่างกันตรงที่มักมีอาการอ่อนแรงของแขน ขา ร่วมด้วย ผู้ที่มีอาการปากเบี้ยวควรไปพบแพทย์เพื่อหา สาเหตุของโรคให้แน่ชัด

การรักษาโรคปากเบี้ยว (BELL’S PALSY) เมื่อแพทย์ได้ตรวจวินิจฉัยจนแน่ใจแล้วว่า ผู้ป่วยไม่ได้เป็นโรคหลอดเลือดสมอง (STROKE) หรือไม่ได้เป็นโรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติทางสมองอื่นๆ ที่ทำให้เป็นอัมพาตครึ่งซีก แต่เป็นโรคปากเบี้ยว (BELL’S PALSY) การรักษา มีดังนี้

- การรักษาด้วยยา เพื่อลดการอักเสบของเส้นประสาท โดยการให้ยากลุ่มสเตียรอยด์ คือเพรดนิโซโลน (PREDNISOLON) ในช่วงแรกแพทย์จะให้รับประทานยาวันละหลายเม็ด แล้วค่อยๆ ลดขนาดลงจนหยุดยาภายใน 7-14 วัน ยาช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้นแต่ควรให้ภายใน 2-3วัน หลังเกิดอาการ ยานี้มีผลข้างเคียง ควรรับประทานตามคำแนะนำ ของแพทย์ ไม่ควรหยุดยาเอง ไม่ปรับขนาดยาเอง หรือซื้อยาเอง

- การใช้ยาต้านไวรัส เช่น acyclovir, valacyclovir

- กายภาพบำบัด สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการมาก ฟื้นตัวได้ช้า แพทย์อาจพิจารณาให้ทำกายภาพบำบัด กระตุ้นไฟฟ้า เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า

- การดูแลดวงตา เนื่องจากโรคนี้การปิดตาไม่สนิท ทำให้ตาแห้ง และมีแผลที่กระจกตาได้ จึงควรใช้น้ำตาเทียมระหว่างวันและใช้ eye shieldปิดตาในช่วงกลางคืน

มีโอกาสหายขาดจากโรคปากเบี้ยวหรือไม่

- ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ส่วนใหญ่ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ มักหายเองและหายขาดได้ ภายใน 1-3 เดือน และมีเพียงประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่ยังหลงเหลืออาการ ไม่หายขาด

- ซึ่งผู้ที่ไม่หายขาด มักเป็นผู้ที่อายุมากกว่า 60 ปี ผู้ที่มีกล้ามเนื้อใบหน้าที่อ่อนแรงมากไม่สามารถขยับได้เลย ผู้ที่มีอาการดีขึ้นช้า 4 เดือน แล้วยังไม่เริ่มดีขึ้น

- สำหรับผู้ที่มีอาการดีขึ้นเร็ว ภายใน 2-3 สัปดาห์ มักจะหายขาด

ไม่อยากเป็นโรคปากเบี้ยว (Bell‘s Palsy) ต้องทำอย่างไร : เราสามารถป้องกันโรคปากเบี้ยวได้โดยการดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจให้สมบูรณ์แข็งแรงอยู่เสมอ เพื่อให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคที่ดี ช่วยลดโอกาสของการติดเชื้อไวรัสและเชื้อโรคอื่นๆ ด้วยการรู้จักเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การผ่อนคลายความเครียด การพักผ่อนที่พอเพียง ไม่หักโหมทำงาน ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ และควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วน ซึ่งสามารถป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคปากเบี้ยวได้ด้วย

เมื่อมีอาการปากเบี้ยว ควรพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคให้ชัดเจน และการรักษาตั้งแต่เริ่มมีอาการ 1 – 2 วันแรก จะช่วยให้อาการดีขึ้นเร็วและเพิ่มโอกาสของการหายขาดจากโรค : พญ.นภาศรี ชัยสินอนันต์กุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้านประสาทวิทยาและหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลพญาไท1

ขอบคุณ... http://www.komchadluek.net/detail/20150708/209309.html (ขนาดไฟล์: 167)

ที่มา: คมชัดลึกออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 8 ก.ค.58
วันที่โพสต์: 9/07/2558 เวลา 10:59:08 ดูภาพสไลด์โชว์ 'ปากเบี้ยว' ใบหน้าอัมพาตครึ่งซีก

แสดงความคิดเห็น

รอตรวจสอบ
จัดฟอร์แม็ต ดูการแสดงผล

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

ยกเลิก

รายละเอียดกระทู้

คอลัมน์ ดูแลสุขภาพ โรคปากเบี้ยวหมายถึงอะไร : โรคปากเบี้ยว (Bell’s PALSY) เป็นภาวะที่มีอาการอักเสบของเส้นประสาทสมองเส้นที่ 7 ทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรงครึ่งซีก มุมปากตก ขยับใบหน้าซีกนั้นไม่ได้ หลับตาได้ไม่สนิท เลิกคิ้ว ยักคิ้วไม่ได้ น้ำลายไหลออกมุมปาก ซึ่งเกิดจากการ ซึ่งโรคนี้ถูกค้นพบโดยศัลยแพทย์ชาวสกอต ชื่อ CHARLE BELL จึงเรียกโรคนี้ว่า BELL’S PALSY (เบลล์ พัลซี) โรคนี้สามารถพบได้ทุกเพศทุกวัย แต่มีโอกาสพบมากขึ้นในผู้ป่วยเบาหวาน หน้าที่ของเส้นประสาทสมองเส้นที่ 7 : เส้นประสาทสมองมีทั้งหมด 12 คู่ ทำหน้าที่รับความรู้สึกและควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆ ซึ่งเส้นประสาทสมองแต่ละคู่ ทำหน้าที่แตกต่างกันออกไป สำหรับเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 เรียกว่า FACIAL NERVE ทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้าทั้ง 2 ด้าน ซ้ายและขวา การยิ้ม ยิงฟัน หลับตา ลืมตา ยักคิ้ว การรับรสอาหาร ควบคุมการได้ยิน การหลั่งน้ำตา การหลั่งน้ำลาย สาเหตุการเกิดโรคปากเบี้ยว : การบาดเจ็บหรือการอักเสบของเส้นประสาทคู่ที่ 7 (FACIAL NERVE) มักจะเป็นผลตามมาหลังจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งมักพบบ่อย คือ เริม งูสวัด ที่เกิดบริเวณใบหน้า ในหู สำหรับผู้ที่ร่างกายอ่อนแอภูมิคุ้มกันต่ำ พักผ่อนน้อย มีความเครียด การสูบบุหรี่จัด ดื่มแอลกอฮอล์มาก ติดเชื้อเอชไอวี จะเป็นเหตุให้การติดเชื้อไวรัสต่างๆ ได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะเริม งูสวัด เมื่อเส้นประสาทมีการอักเสบ จะทำให้เส้นประสาทมีการบวมจนเกิดการกดทับ และขาดเลือดไปเลี้ยง ส่งผลให้รบกวนการทำงานของเส้นประสาท ทำให้ไม่สามารถควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการปิดตาและยิ้มได้ เช่น ถ้ามีการอักเสบเส้นประสาทคู่ที่ 7 ด้านซ้าย จะทำให้ใบหน้าซีกซ้ายผิดปกติ ไม่สามารถยักคิ้วได้ ปิดตาได้ไม่สนิท ปากเบี้ยวด้านซ้าย โรคปากเบี้ยว (BELL’S PALSY) มีอันตรายเพียงใด : โรคเบลล์ พัลซี เป็นโรคที่ไม่เป็นอันตรายร้ายแรง ผู้ป่วยส่วนใหญ่ ฟื้นตัวได้ ภายใน 1-3 เดือน โดยไม่ต้องรักษา และส่วนใหญ่จะหายสนิท มีเพียงส่วนน้อยที่ยังหลงเหลืออาการปากเบี้ยวให้เห็น สำหรับผู้ป่วยที่อายุมาก เกิน 60 ปี ฟื้นตัวได้ช้ากว่าผู้ที่อายุน้อยและพบว่าผู้ป่วยประมาณครึ่งหนึ่ง จะมีอาการเครียด และไม่ค่อยเข้าสังคม หลังจากที่มีอาการปากเบี้ยว อาการของโรคปากเบี้ยว (BELL’S PALSY) : โดยมากจะพบว่าผู้ป่วยมีอาการใบหน้าเบี้ยวปากเบี้ยวอย่างฉับพลัน อาการที่พบบ่อย ได้แก่ ปากเบี้ยว มุมปากตก เวลายิ้มหรือยิงฟันจะเห็นได้ชัด เวลาดื่มน้ำ น้ำจะไหลจากมุมปากข้างที่เป็น เคี้ยวแล้วน้ำลายไหล เนื่องจากปิดปากไม่สนิท เวลาหลับตาเปลือกตาปิดไม่สนิท เวลาลืมตาเปลือกตาตกลง ถ้าหากล้างหน้า จะแสบตา เนื่องจากสบู่เข้าตา จากการที่เปลือกตาปิดไม่สนิท การยักคิ้วไม่ได้ เลิกคิ้วไม่ได้ มีอาการในข้างเดียวกับปาก และตา ที่มีอาการผิดปกติ บางรายอาจสูญเสียการรับรสหรือมีอาการหูอื้อร่วมด้วย แพทย์จะมีวิธีวินิจฉัยโรคปากเบี้ยวได้อย่างไร - การทดสอบเส้นประสาทคู่ที่ 7 (FACIAL NERVE) โดยการให้ผู้ป่วย ยิ้ม ยิงฟัน ยักคิ้ว หลับตาให้สนิท หากผิดปกติ จะพบว่า ขณะยิ้ม ยิงฟัน ปากจะเบี้ยว ยักคิ้วไม่ได้ ปิดเปลือกตาไม่สนิท จะมีความผิดปกติในซีกเดียวกันทั้งหมด - การส่องตรวจหูเพื่อหารอยโรค ดูว่ามีการติดเชื้อไวรัสหรือไม่ - การทดสอบกำลังของกล้ามเนื้อแขน และขา หากอยู่ในระดับปกติ จะเป็นการยืนยันว่าไม่ได้เป็นโรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติในสมอง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น เนื่องจากอัมพาตที่เกิดจากโรคหลอดเลือดสมอง จะมีอาการปากเบี้ยว คล้ายคลึงกับโรคเบลล์ พัลซี แต่แตกต่างกันตรงที่มักมีอาการอ่อนแรงของแขน ขา ร่วมด้วย ผู้ที่มีอาการปากเบี้ยวควรไปพบแพทย์เพื่อหา สาเหตุของโรคให้แน่ชัด การรักษาโรคปากเบี้ยว (BELL’S PALSY) เมื่อแพทย์ได้ตรวจวินิจฉัยจนแน่ใจแล้วว่า ผู้ป่วยไม่ได้เป็นโรคหลอดเลือดสมอง (STROKE) หรือไม่ได้เป็นโรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติทางสมองอื่นๆ ที่ทำให้เป็นอัมพาตครึ่งซีก แต่เป็นโรคปากเบี้ยว (BELL’S PALSY) การรักษา มีดังนี้ - การรักษาด้วยยา เพื่อลดการอักเสบของเส้นประสาท โดยการให้ยากลุ่มสเตียรอยด์ คือเพรดนิโซโลน (PREDNISOLON) ในช่วงแรกแพทย์จะให้รับประทานยาวันละหลายเม็ด แล้วค่อยๆ ลดขนาดลงจนหยุดยาภายใน 7-14 วัน ยาช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้นแต่ควรให้ภายใน 2-3วัน หลังเกิดอาการ ยานี้มีผลข้างเคียง ควรรับประทานตามคำแนะนำ ของแพทย์ ไม่ควรหยุดยาเอง ไม่ปรับขนาดยาเอง หรือซื้อยาเอง - การใช้ยาต้านไวรัส เช่น acyclovir, valacyclovir - กายภาพบำบัด สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการมาก ฟื้นตัวได้ช้า แพทย์อาจพิจารณาให้ทำกายภาพบำบัด กระตุ้นไฟฟ้า เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า - การดูแลดวงตา เนื่องจากโรคนี้การปิดตาไม่สนิท ทำให้ตาแห้ง และมีแผลที่กระจกตาได้ จึงควรใช้น้ำตาเทียมระหว่างวันและใช้ eye shieldปิดตาในช่วงกลางคืน มีโอกาสหายขาดจากโรคปากเบี้ยวหรือไม่ - ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ส่วนใหญ่ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ มักหายเองและหายขาดได้ ภายใน 1-3 เดือน และมีเพียงประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่ยังหลงเหลืออาการ ไม่หายขาด - ซึ่งผู้ที่ไม่หายขาด มักเป็นผู้ที่อายุมากกว่า 60 ปี ผู้ที่มีกล้ามเนื้อใบหน้าที่อ่อนแรงมากไม่สามารถขยับได้เลย ผู้ที่มีอาการดีขึ้นช้า 4 เดือน แล้วยังไม่เริ่มดีขึ้น - สำหรับผู้ที่มีอาการดีขึ้นเร็ว ภายใน 2-3 สัปดาห์ มักจะหายขาด ไม่อยากเป็นโรคปากเบี้ยว (Bell‘s Palsy) ต้องทำอย่างไร : เราสามารถป้องกันโรคปากเบี้ยวได้โดยการดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจให้สมบูรณ์แข็งแรงอยู่เสมอ เพื่อให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคที่ดี ช่วยลดโอกาสของการติดเชื้อไวรัสและเชื้อโรคอื่นๆ ด้วยการรู้จักเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การผ่อนคลายความเครียด การพักผ่อนที่พอเพียง ไม่หักโหมทำงาน ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ และควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วน ซึ่งสามารถป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคปากเบี้ยวได้ด้วย เมื่อมีอาการปากเบี้ยว ควรพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคให้ชัดเจน และการรักษาตั้งแต่เริ่มมีอาการ 1 – 2 วันแรก จะช่วยให้อาการดีขึ้นเร็วและเพิ่มโอกาสของการหายขาดจากโรค : พญ.นภาศรี ชัยสินอนันต์กุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้านประสาทวิทยาและหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลพญาไท1 ขอบคุณ... http://www.komchadluek.net/detail/20150708/209309.html

จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย

  1. เพิ่ม
  2. เพิ่ม ลบ
  3. เพิ่ม ลบ
  4. เพิ่ม ลบ
  5. เพิ่ม ลบ
  6. เพิ่ม ลบ
  7. เพิ่ม ลบ
  8. เพิ่ม ลบ
  9. เพิ่ม ลบ
  10. ลบ
เลือกการตกแต่งที่ต้องการ

ตกลง ยกเลิก

รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)

Waiting...