โรคที่ต้องหาให้เจอ
ในกลุ่มโรคทั้งสาระบบถ้าเราพบสาเหตุที่แท้ จะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ หรือถ้าเบาอยู่แล้วก็หายไปเลย แต่คนไข้หลายคนไม่เคยรู้สาเหตุที่แท้จริงเลยจนตลอดชีวิต เพราะจมอยู่กับคำว่า “ตรวจแล้วปกติดี” ทั้งที่นั่นอาจแปลได้ว่า “ยังหาไม่เจอ” มากกว่า ภาวะที่ว่านี้ทำให้ชีวิตหลายคนเปลี่ยนไปเลยนะครับ เช่น กลายเป็นคนที่ต้องกินยาไม่ตรงกับโรคไปตลอดชีวิตแถมอาการก็ไม่หาย หรือกลายเป็นอาการหนักขึ้นเพราะไม่ได้เกาให้ถูกที่คัน
การแก้ให้ถูกจุดเป็นสิ่งสำคัญครับ ถ้าพบกับอาการต่อไปนี้ขออย่านิ่งนอนใจว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา 1. มึนหัว ต้องหาให้พบครับ ขออย่าจบกับแค่คำว่า “นอนน้อย” หรือ “น้ำในหูไม่เท่ากัน” เพราะอาการมึนหัวมีรากเหง้ามาได้จากหลายสาเหตุครับ เช่น กำลังเริ่มเป็นความดันสูง สายตามีปัญหาหรือว่ายาบางอย่างก็ได้ครับ 2. ตาลาย อย่าเพิ่งคิดว่าเป็นแค่ “สายตา” เพราะโรคที่ทำให้ตามัวมีมากอย่าง เบาหวานขึ้นตา ต้อกระจก ต้อหิน ความดันขึ้นตาไปจนถึงโรคร้ายอย่าง “เนื้องอกในสมอง” ถ้าเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ ในเวลาอันรวดเร็วก็ต้องนึกถึงไว้ด้วยครับ 3. ใจสั่น เอาเข้าจริงๆ แล้วคนเรามีอาการใจสั่นได้หลายกรณีนะครับ เช่น ใจเต้นเร็วผิดปกติจนรู้สึกได้นี่ก็คือใจสั่น แต่จริงแล้วใจสั่นแบบที่ผิดปกติจะมีนิยามของเขาอยู่ อาการใจสั่นอาจบอกได้ถึงโรคไทรอยด์เป็นพิษ หัวใจเต้นผิดจังหวะ การนำไฟฟ้าในหัวใจผิดปกติหรือแม้แต่อาการทางจิตเวชอย่าง “แพนิก" (Panic disorder) ก็ได้ครับ 4. ชาตามตัว อาการ เหน็บชาหรือว่ามีชาตามปลายมือปลาย เท้า อาจเป็นอาการแรกเริ่มของโรคเบาหวาน แคลเซียมต่ำ ความดันสูง ขาดวิตามินบี โลหิตจาง พังผืดรัดเส้นประสาท ถ้าชาไม่เท่ากันมีด้านหนึ่งชาและอ่อนแรงมากกว่าอาจต้องระวังเรื่องอัมพฤกษ์ อัมพาตไว้ด้วยครับ ขอให้หาสาเหตุของอาการชาไว้ให้ได้ก่อนที่จะไปนึกถึงว่าเป็นแค่อาการรำคาญ ชั่วครั้งคราว 5. นอนไม่หลับ อาจเป็นอาการแรกเริ่มของความดันโลหิตสูง วัยทอง โรคหัวใจ ไทรอยด์เป็นพิษ ขออย่าเพิ่งคิดว่ามาจากความเครียดแต่เพียงประการเดียว แม้แต่โรคทางกระเพาะลำไส้ก็เป็นสาเหตุได้ เช่น กรดไหลย้อน ลำไส้แปรปรวน ท้องอืด หรือแม้แต่เหตุจากการนอนเองอย่างภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ก็ทำให้เกิดอาการหลับ “ไม่เต็มตา” ได้ครับ 6. ผื่นคันตามตัว อาจ ไม่ได้มาจากอาการ “แพ้” เสมอไป แต่เป็นความผิดปกติที่เกิดได้จากไวรัสบางชนิด ไข้ออกผื่น โรคเอสแอลอี โรคผิวหนังเซ็ปเดิร์ม และผื่นที่เป็นปฏิกิริยาจากการใช้ยาได้ ผื่นตามตัวที่ว่าเป็นเรื่องที่ต้องหาเหตุเป็นอย่างแรก เพราะมันแสดงถึงความผิดปกติที่อยู่ภายใน โดยที่บางครั้งผื่นนั้นเป็นเพียง “ปลายเหตุ” ที่ห่มคลุมโรคใหญ่ภายในไว้เท่านั้น 7. ปวดหัว อย่าเพิ่งคิดว่าต้อง “ไมเกรน” หรือโรคปวดหัวง่ายๆ ธรรมดาจนกว่าจะแน่ใจว่าไม่มีอาการคลื่นไส้ ตาพร่าหรือว่าความดันโลหิตสูง อาการปวดหัวเกิดได้จากเรื่องที่ถูกมองข้ามอย่าง โรคไซนัส งูสวัด เส้นเลือดอักเสบและปัญหาจากเส้นประสาท วิธีสังเกตปวดหัวไม่ธรรมดาคือ ปวดตอนเช้า ปวดกลางดึกต้องลุกขึ้นมา ปวดมากขึ้นเรื่อยๆ มีคลื่นไส้อาเจียนจนเพลียกระทบการงาน ควรต้องรีบตรวจเพิ่มเติมครับ และ 8. เป็นไข้ อาการ ที่ใครๆ ก็เคยเป็นนี้เป็นที่มาของคำว่า “สายเกินการ” มาหลายหนแล้วครับ ค่าที่พอเป็นไข้ก็ไปนึกถึงแต่โรคหวัดธรรมดา ทั้งที่จริงวิธีสังเกตอาการไข้ไม่ธรรมดานั้นไม่ยากเลยครับ นั่นคือ มีไข้สูงลอยแม้กินยาก็ลดชั่วขณะ คนไข้ซึมลง กินอาหารไม่ได้และเป็นไข้นานหลายวันไม่มีช่วงที่ดีขึ้น ถ้าอย่างนี้เป็นไข้ไม่ธรรมดาได้ อาทิ ไข้เลือดออก ไข้หวัดใหญ่ ไข้ที่เกิดจากการติดเชื้อรุนแรงหรือไข้ที่เป็นส่วนหนึ่งของโรคแพ้ภูมิตัวเอง
อาการทั้งหมดที่ “โหมโรง” มานี้เป็นส่วนหนึ่งของการยก “ตุ๊กตา” ตัวใหญ่ทางการแพทย์ที่คนมักนึกถึงแต่โรคธรรมดา จนบางครากลายเป็น “มองข้ามไป” ทำให้การรักษาต้องล่าช้าออกไปมาก หากรักษาทันอย่างมากก็ทำให้คนไข้ทรมานนานขึ้น แต่หากรักษาไม่ทันก็จะต้องเศร้าใจว่าทำไมถึงไม่รู้เร็วกว่านี้ต้อง “คิดลึก” สักนิดครับเวลาป่วย
ที่มา: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 1 ก.ค.56
วันที่โพสต์: 1/07/2556 เวลา 02:41:14 
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
ชายวัยทำงานแสดงอาการปวดหัว ในกลุ่มโรคทั้งสาระบบถ้าเราพบสาเหตุที่แท้ จะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ หรือถ้าเบาอยู่แล้วก็หายไปเลย แต่คนไข้หลายคนไม่เคยรู้สาเหตุที่แท้จริงเลยจนตลอดชีวิต เพราะจมอยู่กับคำว่า “ตรวจแล้วปกติดี” ทั้งที่นั่นอาจแปลได้ว่า “ยังหาไม่เจอ” มากกว่า ภาวะที่ว่านี้ทำให้ชีวิตหลายคนเปลี่ยนไปเลยนะครับ เช่น กลายเป็นคนที่ต้องกินยาไม่ตรงกับโรคไปตลอดชีวิตแถมอาการก็ไม่หาย หรือกลายเป็นอาการหนักขึ้นเพราะไม่ได้เกาให้ถูกที่คัน หญิงวัยทำงานแสดงอาการเจ็บหน้าอก การแก้ให้ถูกจุดเป็นสิ่งสำคัญครับ ถ้าพบกับอาการต่อไปนี้ขออย่านิ่งนอนใจว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา 1. มึนหัว ต้องหาให้พบครับ ขออย่าจบกับแค่คำว่า “นอนน้อย” หรือ “น้ำในหูไม่เท่ากัน” เพราะอาการมึนหัวมีรากเหง้ามาได้จากหลายสาเหตุครับ เช่น กำลังเริ่มเป็นความดันสูง สายตามีปัญหาหรือว่ายาบางอย่างก็ได้ครับ 2. ตาลาย อย่าเพิ่งคิดว่าเป็นแค่ “สายตา” เพราะโรคที่ทำให้ตามัวมีมากอย่าง เบาหวานขึ้นตา ต้อกระจก ต้อหิน ความดันขึ้นตาไปจนถึงโรคร้ายอย่าง “เนื้องอกในสมอง” ถ้าเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ ในเวลาอันรวดเร็วก็ต้องนึกถึงไว้ด้วยครับ 3. ใจสั่น เอาเข้าจริงๆ แล้วคนเรามีอาการใจสั่นได้หลายกรณีนะครับ เช่น ใจเต้นเร็วผิดปกติจนรู้สึกได้นี่ก็คือใจสั่น แต่จริงแล้วใจสั่นแบบที่ผิดปกติจะมีนิยามของเขาอยู่ อาการใจสั่นอาจบอกได้ถึงโรคไทรอยด์เป็นพิษ หัวใจเต้นผิดจังหวะ การนำไฟฟ้าในหัวใจผิดปกติหรือแม้แต่อาการทางจิตเวชอย่าง “แพนิก" (Panic disorder) ก็ได้ครับ 4. ชาตามตัว อาการ เหน็บชาหรือว่ามีชาตามปลายมือปลาย เท้า อาจเป็นอาการแรกเริ่มของโรคเบาหวาน แคลเซียมต่ำ ความดันสูง ขาดวิตามินบี โลหิตจาง พังผืดรัดเส้นประสาท ถ้าชาไม่เท่ากันมีด้านหนึ่งชาและอ่อนแรงมากกว่าอาจต้องระวังเรื่องอัมพฤกษ์ อัมพาตไว้ด้วยครับ ขอให้หาสาเหตุของอาการชาไว้ให้ได้ก่อนที่จะไปนึกถึงว่าเป็นแค่อาการรำคาญ ชั่วครั้งคราว 5. นอนไม่หลับ อาจเป็นอาการแรกเริ่มของความดันโลหิตสูง วัยทอง โรคหัวใจ ไทรอยด์เป็นพิษ ขออย่าเพิ่งคิดว่ามาจากความเครียดแต่เพียงประการเดียว แม้แต่โรคทางกระเพาะลำไส้ก็เป็นสาเหตุได้ เช่น กรดไหลย้อน ลำไส้แปรปรวน ท้องอืด หรือแม้แต่เหตุจากการนอนเองอย่างภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ก็ทำให้เกิดอาการหลับ “ไม่เต็มตา” ได้ครับ 6. ผื่นคันตามตัว อาจ ไม่ได้มาจากอาการ “แพ้” เสมอไป แต่เป็นความผิดปกติที่เกิดได้จากไวรัสบางชนิด ไข้ออกผื่น โรคเอสแอลอี โรคผิวหนังเซ็ปเดิร์ม และผื่นที่เป็นปฏิกิริยาจากการใช้ยาได้ ผื่นตามตัวที่ว่าเป็นเรื่องที่ต้องหาเหตุเป็นอย่างแรก เพราะมันแสดงถึงความผิดปกติที่อยู่ภายใน โดยที่บางครั้งผื่นนั้นเป็นเพียง “ปลายเหตุ” ที่ห่มคลุมโรคใหญ่ภายในไว้เท่านั้น 7. ปวดหัว อย่าเพิ่งคิดว่าต้อง “ไมเกรน” หรือโรคปวดหัวง่ายๆ ธรรมดาจนกว่าจะแน่ใจว่าไม่มีอาการคลื่นไส้ ตาพร่าหรือว่าความดันโลหิตสูง อาการปวดหัวเกิดได้จากเรื่องที่ถูกมองข้ามอย่าง โรคไซนัส งูสวัด เส้นเลือดอักเสบและปัญหาจากเส้นประสาท วิธีสังเกตปวดหัวไม่ธรรมดาคือ ปวดตอนเช้า ปวดกลางดึกต้องลุกขึ้นมา ปวดมากขึ้นเรื่อยๆ มีคลื่นไส้อาเจียนจนเพลียกระทบการงาน ควรต้องรีบตรวจเพิ่มเติมครับ และ 8. เป็นไข้ อาการ ที่ใครๆ ก็เคยเป็นนี้เป็นที่มาของคำว่า “สายเกินการ” มาหลายหนแล้วครับ ค่าที่พอเป็นไข้ก็ไปนึกถึงแต่โรคหวัดธรรมดา ทั้งที่จริงวิธีสังเกตอาการไข้ไม่ธรรมดานั้นไม่ยากเลยครับ นั่นคือ มีไข้สูงลอยแม้กินยาก็ลดชั่วขณะ คนไข้ซึมลง กินอาหารไม่ได้และเป็นไข้นานหลายวันไม่มีช่วงที่ดีขึ้น ถ้าอย่างนี้เป็นไข้ไม่ธรรมดาได้ อาทิ ไข้เลือดออก ไข้หวัดใหญ่ ไข้ที่เกิดจากการติดเชื้อรุนแรงหรือไข้ที่เป็นส่วนหนึ่งของโรคแพ้ภูมิตัวเอง อาการทั้งหมดที่ “โหมโรง” มานี้เป็นส่วนหนึ่งของการยก “ตุ๊กตา” ตัวใหญ่ทางการแพทย์ที่คนมักนึกถึงแต่โรคธรรมดา จนบางครากลายเป็น “มองข้ามไป” ทำให้การรักษาต้องล่าช้าออกไปมาก หากรักษาทันอย่างมากก็ทำให้คนไข้ทรมานนานขึ้น แต่หากรักษาไม่ทันก็จะต้องเศร้าใจว่าทำไมถึงไม่รู้เร็วกว่านี้ต้อง “คิดลึก” สักนิดครับเวลาป่วย ขอบคุณ... http://variety.teenee.com/foodforbrain/53854.html
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)
