'โดสเร่งขาว'เสี่ยงมะเร็งผิวหนัง-ตาบอด
หมอผิวหนังเตือน 'สาวอยากขาว' อย่าหลงเชื่อใช้ 'โดสเร่งขาว' ชี้เสี่ยงมะเร็งผิวหนัง-ตาบอด เหตุมีกรด AHA เข้มข้นสูง 70% แถมไม่ผ่าน อย. ชี้เป็นผลิตภัณฑ์ผิดกฎหมาย ความคืบหน้าหลังเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขตรวจสอบพบมีการขายผลิตภัณฑ์เร่ง ผิวขาวยี่ห้อหนึ่งชื่อ "โดสเร่งขาว" ผ่านทางอินเทอร์เน็ต โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นน้ำสีต่างๆ อาทิ สูตรสีแดง สูตรสีเขียว สูตรสีชมพู และจากการตรวจสอบพบว่า โดสผิวขาวมีส่วนผสมของ AHA 70% ซึ่งในทางการแพทย์ถือว่าอันตรายมาก เนื่องจากมีความเข้มข้นสูง
ล่าสุด เมื่อวันที่ 2 กันยายน นพ.จินดา โรจนเมธินทร์ รักษาการผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า หากผลิตภัณฑ์ดังกล่าวใช้กรด AHA 70% ถือว่ามีความเข้มข้นสูง ดังนั้นการนำมาใช้จึงถือว่ามีอันตรายอย่างมาก เพราะจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองผิว ปวดแสบร้อนเหมือนผิวไหม้ แม้ไม่เกิดอาการข้างเคียงดังกล่าว แต่การใช้เป็นเวลานานจะทำให้ชั้นผิวบอบบางลงเรื่อยๆ เพราะชั้นผิวถูกลอกออกไปเร็วกว่าตามธรรมชาติ เมื่อผิวหนังบอบบางจะเกิดผิวแพ้ง่าย ไวต่อแสงแดด เกิดอาการอักเสบง่าย และหากเกิดอาการอักเสบซ้ำๆ บ่อยๆ ในระยะยาวมีโอกาสที่จะเปลี่ยนเป็นมะเร็งผิวหนัง ที่สำคัญหากนำมาทาบริเวณที่บอบบาง เช่น รอบดวงตา จะเกิดอาการระคายเคืองง่าย กระเด็นถูกตามีโอกาสทำให้ตาบอดเช่นกัน
“การทำให้หน้าขาวใสด้วยกรด AHA จะต้องทำโดยแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะแพทย์จะรู้ว่าผิวหนังของแต่ละคนเหมาะสมที่จะรักษาด้วยวิธีดังกล่าวหรือไม่ รู้ว่าผิวหนังส่วนใดควรใช้ปริมาณกรด AHA เท่าใด และมีการให้คำแนะนำที่ถูกต้องภายหลังการทำ เช่น ทำแล้วจะมีอาการผิวลอกเป็นขุย ผิวใหม่ที่ขึ้นมาจะมีความบอบบาง ก็ต้องทาครีมบำรุงและกันแดดเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวไวต่อแสง และต้องทิ้งช่วงระยะเวลาเท่าใดจึงจะสามารถกลับมาทำซ้ำได้อีกเป็นต้น“นพ.จินดากล่าว
นพ.จินดา กล่าวอีกว่า ขอเตือนผู้ที่สนใจความสวยความงาม อยากขาวใส อย่าเห็นแก่ของราคาถูก แต่ผลที่ได้กลับมาอาจจะไม่คุ้ม อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่า ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไม่มีฉลากของ อย.ติดเอาไว้ ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่รู้ข้อมูลกระบวนการผลิตเป็นอย่างไร โดยเฉพาะอัตราส่วนผสมระหว่างกรด AHA กับน้ำกลั่นเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบดังนั้นจึงถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ถูกกฎหมายและมีอันตราย
ด้าน นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเครื่องสำอางจะต้องจดแจ้งกับ อย.ก่อน จากนั้น อย.จะพิจารณาดูว่าเครื่องสำอางมีส่วนผสมของสารที่ห้ามใช้หรือไม่ ส่วนผลิตภัณฑ์โดสเร่งขาวนั้น จากการตรวจสอบไม่พบฉลากของ อย. จึงถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้จดแจ้งเครื่องสำอางผิดมาตรา 28 จึงมีโทษตามมาตรา 55 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนผู้ขายเครื่องสำอางที่ไม่มีฉลากหรือมีแต่แสดงฉลากไม่ถูกต้อง มีโทษตามมาตรา 57 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่หากเป็นเจตนาของผู้ผลิตเพื่อขายหรือนำเข้าเพื่อขายที่ไม่ติดฉลาก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
คมชัดลึกออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 4 ก.ย.56
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
ผลิตภัณฑ์ โดสเร่งขาว จำนวนมาก หมอผิวหนังเตือน 'สาวอยากขาว' อย่าหลงเชื่อใช้ 'โดสเร่งขาว' ชี้เสี่ยงมะเร็งผิวหนัง-ตาบอด เหตุมีกรด AHA เข้มข้นสูง 70% แถมไม่ผ่าน อย. ชี้เป็นผลิตภัณฑ์ผิดกฎหมาย ความคืบหน้าหลังเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขตรวจสอบพบมีการขายผลิตภัณฑ์เร่ง ผิวขาวยี่ห้อหนึ่งชื่อ "โดสเร่งขาว" ผ่านทางอินเทอร์เน็ต โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นน้ำสีต่างๆ อาทิ สูตรสีแดง สูตรสีเขียว สูตรสีชมพู และจากการตรวจสอบพบว่า โดสผิวขาวมีส่วนผสมของ AHA 70% ซึ่งในทางการแพทย์ถือว่าอันตรายมาก เนื่องจากมีความเข้มข้นสูง ล่าสุด เมื่อวันที่ 2 กันยายน นพ.จินดา โรจนเมธินทร์ รักษาการผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า หากผลิตภัณฑ์ดังกล่าวใช้กรด AHA 70% ถือว่ามีความเข้มข้นสูง ดังนั้นการนำมาใช้จึงถือว่ามีอันตรายอย่างมาก เพราะจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองผิว ปวดแสบร้อนเหมือนผิวไหม้ แม้ไม่เกิดอาการข้างเคียงดังกล่าว แต่การใช้เป็นเวลานานจะทำให้ชั้นผิวบอบบางลงเรื่อยๆ เพราะชั้นผิวถูกลอกออกไปเร็วกว่าตามธรรมชาติ เมื่อผิวหนังบอบบางจะเกิดผิวแพ้ง่าย ไวต่อแสงแดด เกิดอาการอักเสบง่าย และหากเกิดอาการอักเสบซ้ำๆ บ่อยๆ ในระยะยาวมีโอกาสที่จะเปลี่ยนเป็นมะเร็งผิวหนัง ที่สำคัญหากนำมาทาบริเวณที่บอบบาง เช่น รอบดวงตา จะเกิดอาการระคายเคืองง่าย กระเด็นถูกตามีโอกาสทำให้ตาบอดเช่นกัน “การทำให้หน้าขาวใสด้วยกรด AHA จะต้องทำโดยแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะแพทย์จะรู้ว่าผิวหนังของแต่ละคนเหมาะสมที่จะรักษาด้วยวิธีดังกล่าวหรือไม่ รู้ว่าผิวหนังส่วนใดควรใช้ปริมาณกรด AHA เท่าใด และมีการให้คำแนะนำที่ถูกต้องภายหลังการทำ เช่น ทำแล้วจะมีอาการผิวลอกเป็นขุย ผิวใหม่ที่ขึ้นมาจะมีความบอบบาง ก็ต้องทาครีมบำรุงและกันแดดเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวไวต่อแสง และต้องทิ้งช่วงระยะเวลาเท่าใดจึงจะสามารถกลับมาทำซ้ำได้อีกเป็นต้น“นพ.จินดากล่าว นพ.จินดา กล่าวอีกว่า ขอเตือนผู้ที่สนใจความสวยความงาม อยากขาวใส อย่าเห็นแก่ของราคาถูก แต่ผลที่ได้กลับมาอาจจะไม่คุ้ม อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่า ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไม่มีฉลากของ อย.ติดเอาไว้ ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่รู้ข้อมูลกระบวนการผลิตเป็นอย่างไร โดยเฉพาะอัตราส่วนผสมระหว่างกรด AHA กับน้ำกลั่นเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบดังนั้นจึงถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ถูกกฎหมายและมีอันตราย ด้าน นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเครื่องสำอางจะต้องจดแจ้งกับ อย.ก่อน จากนั้น อย.จะพิจารณาดูว่าเครื่องสำอางมีส่วนผสมของสารที่ห้ามใช้หรือไม่ ส่วนผลิตภัณฑ์โดสเร่งขาวนั้น จากการตรวจสอบไม่พบฉลากของ อย. จึงถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้จดแจ้งเครื่องสำอางผิดมาตรา 28 จึงมีโทษตามมาตรา 55 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนผู้ขายเครื่องสำอางที่ไม่มีฉลากหรือมีแต่แสดงฉลากไม่ถูกต้อง มีโทษตามมาตรา 57 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่หากเป็นเจตนาของผู้ผลิตเพื่อขายหรือนำเข้าเพื่อขายที่ไม่ติดฉลาก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ขอบคุณ... http://www.komchadluek.net/detail/20130903/167272/โดสเร่งขาวเสี่ยงมะเร็งผิวหนังตาบอด.html#.UiacA39HWzs คมชัดลึกออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 4 ก.ย.56
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)