สลด! หญิงท้องถูกผัวซ้อมถึง 12 % เสี่ยงซึมเศร้า ฆ่าตัวตาย คลอดก่อนกำหนด
สุดสลดครอบครัวไทย! วิจัยพบเมียเคยถูกผัวซ้อมขณะตั้งครรภ์ถึง 12% กว่าครึ่งเคยโดนกระทำความรุนแรงอย่างน้อย 1 ครั้ง แพทย์ชี้ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ เสี่ยงซึมเศร้า อยากฆ่าตัวตาย หากถูกกระทำช่วงตั้งครรภ์ลูกเสี่ยงคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์ แถมระยะยาวอาจเป็นเด็กก้าวร้าว เลี้ยงยาก
พญ.เบญจพร ปัญญายง, นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า แนวโน้มปัญหาความรุนแรงภายในครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นต้องเร่งแก้ไข โดยจากงานวิจัยความรุนแรงภายในครอบครัว ของมหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า การใช้กำลังและกระทำความรุนแรงในครอบครัวนั้น มีหญิงที่เคยถูกกระทำความรุนแรงอย่างน้อย 1 ครั้ง ประมาณร้อยละ 44 หญิงที่เคยถูกกระทำความรุนแรงขณะตั้งครรภ์ประมาณ ร้อยละ 12 เคยถูกกระทำความรุนแรงจนต้องเข้าโรงพยาบาลประมาณร้อยละ 5 ซึ่งถือว่าเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะกลุ่มหญิงตั้งครรภ์เพราะจะส่งผลกระทบให้เกิดภาวะซึมเศร้าทั้งแม่และลูก
“สาเหตุ ที่ทำให้เกิดความรุนแรงมาจากหลายปัจจัย ทั้งความสัมพันธ์ภายในครอบครัว ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาสังคม แต่ส่วนมากจะมีสารเสพติด หรือ การดื่มเหล้าเข้ามาเป็นส่วนประกอบ โดยพบว่า หญิงที่ถูกกระทำความรุนแรงจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลนั้น น่าจะมีเพียงร้อยละ 10 ของจำนวนความรุนแรงที่เกิดขึ้นทั้งหมดเท่านั้น”พญ.เบญจพรกล่าว
พญ.เบญจพร กล่าวอีกว่า ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับผู้ที่ถูกกระทำความรุนแรงมีทั้งกายและใจ ยิ่งถูกกระทำความรุนแรงมากก็จะส่งผลให้เกิดภาวะซึมเศร้า มีความคิดอยากฆ่าตัวตายได้ โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์จะเสี่ยงต่อลูกในครรภ์ ความรุนแรงและความเครียดสามารถทำให้มดลูกบีบรัดตัว ทำให้เกิดความเสี่ยงที่เด็กจะน้ำหนักแรกเกิดต่ำกว่าเกณฑ์ คลอดก่อนกำหนด และอาจส่งผลด้านสมองของเด็กเนื่องมาจากมดลูกบีบตัว ซึ่งเมื่อเด็กเติบโตขึ้นในครอบครัวที่มีการกระทำด้วยความรุนแรง เมื่อติดตามในระยะยาวพบว่าเด็กกลุ่มนี้จะมีพฤติกรรมความก้าวร้าวรุนแรงและเลี้ยงยากกว่าเด็กทั่วไป
พญ.เบญจพร กล่าวต่อว่า การแก้ไขปัญหาจำเป็นต้องมีความร่วมมือจากทุกฝ่าย เพื่อลดความรุนแรงในครอบครัวลง ซึ่งต้องสร้างความเข้าใจต่อสังคมด้วยว่า การแก้ปัญหาด้วยการลงมือทำร้ายอีกฝ่ายนั้น เป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ โดยพบว่านอกจากความรุนแรงทางกาย ยังมีผู้ที่ได้รับผลกระทบทางจิตใจ ซึ่งจะมีอาการทางกายโดยไม่รู้ตัวได้ด้วย เช่น ปวดหัว ปวดท้อง เป็นต้น ซึ่งการแก้ปัญหานอกจากการให้คำปรึกษาในช่องทางต่างๆ จำเป็นต้องมีสหวิชาชีพทั้ง นักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ที่คอยให้ความช่วยเหลือผู้ที่ถูกทำร้ายทางกายด้วย : ภาพจาก www.iammomsociety.com
ขอบคุณ... http://manager.co.th/Qol/ViewNews.aspx?NewsID=9560000119498 (ขนาดไฟล์: 164)
ASTV ผู้จัดการออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 23 ก.ย.56
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
หญิงตั้งครรภ์ สุดสลดครอบครัวไทย! วิจัยพบเมียเคยถูกผัวซ้อมขณะตั้งครรภ์ถึง 12% กว่าครึ่งเคยโดนกระทำความรุนแรงอย่างน้อย 1 ครั้ง แพทย์ชี้ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ เสี่ยงซึมเศร้า อยากฆ่าตัวตาย หากถูกกระทำช่วงตั้งครรภ์ลูกเสี่ยงคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์ แถมระยะยาวอาจเป็นเด็กก้าวร้าว เลี้ยงยาก พญ.เบญจพร ปัญญายง, นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า แนวโน้มปัญหาความรุนแรงภายในครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นต้องเร่งแก้ไข โดยจากงานวิจัยความรุนแรงภายในครอบครัว ของมหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า การใช้กำลังและกระทำความรุนแรงในครอบครัวนั้น มีหญิงที่เคยถูกกระทำความรุนแรงอย่างน้อย 1 ครั้ง ประมาณร้อยละ 44 หญิงที่เคยถูกกระทำความรุนแรงขณะตั้งครรภ์ประมาณ ร้อยละ 12 เคยถูกกระทำความรุนแรงจนต้องเข้าโรงพยาบาลประมาณร้อยละ 5 ซึ่งถือว่าเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะกลุ่มหญิงตั้งครรภ์เพราะจะส่งผลกระทบให้เกิดภาวะซึมเศร้าทั้งแม่และลูก “สาเหตุ ที่ทำให้เกิดความรุนแรงมาจากหลายปัจจัย ทั้งความสัมพันธ์ภายในครอบครัว ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาสังคม แต่ส่วนมากจะมีสารเสพติด หรือ การดื่มเหล้าเข้ามาเป็นส่วนประกอบ โดยพบว่า หญิงที่ถูกกระทำความรุนแรงจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลนั้น น่าจะมีเพียงร้อยละ 10 ของจำนวนความรุนแรงที่เกิดขึ้นทั้งหมดเท่านั้น”พญ.เบญจพรกล่าว พญ.เบญจพร กล่าวอีกว่า ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับผู้ที่ถูกกระทำความรุนแรงมีทั้งกายและใจ ยิ่งถูกกระทำความรุนแรงมากก็จะส่งผลให้เกิดภาวะซึมเศร้า มีความคิดอยากฆ่าตัวตายได้ โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์จะเสี่ยงต่อลูกในครรภ์ ความรุนแรงและความเครียดสามารถทำให้มดลูกบีบรัดตัว ทำให้เกิดความเสี่ยงที่เด็กจะน้ำหนักแรกเกิดต่ำกว่าเกณฑ์ คลอดก่อนกำหนด และอาจส่งผลด้านสมองของเด็กเนื่องมาจากมดลูกบีบตัว ซึ่งเมื่อเด็กเติบโตขึ้นในครอบครัวที่มีการกระทำด้วยความรุนแรง เมื่อติดตามในระยะยาวพบว่าเด็กกลุ่มนี้จะมีพฤติกรรมความก้าวร้าวรุนแรงและเลี้ยงยากกว่าเด็กทั่วไป พญ.เบญจพร กล่าวต่อว่า การแก้ไขปัญหาจำเป็นต้องมีความร่วมมือจากทุกฝ่าย เพื่อลดความรุนแรงในครอบครัวลง ซึ่งต้องสร้างความเข้าใจต่อสังคมด้วยว่า การแก้ปัญหาด้วยการลงมือทำร้ายอีกฝ่ายนั้น เป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ โดยพบว่านอกจากความรุนแรงทางกาย ยังมีผู้ที่ได้รับผลกระทบทางจิตใจ ซึ่งจะมีอาการทางกายโดยไม่รู้ตัวได้ด้วย เช่น ปวดหัว ปวดท้อง เป็นต้น ซึ่งการแก้ปัญหานอกจากการให้คำปรึกษาในช่องทางต่างๆ จำเป็นต้องมีสหวิชาชีพทั้ง นักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ที่คอยให้ความช่วยเหลือผู้ที่ถูกทำร้ายทางกายด้วย : ภาพจาก www.iammomsociety.com ขอบคุณ... http://manager.co.th/Qol/ViewNews.aspx?NewsID=9560000119498 ASTV ผู้จัดการออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 23 ก.ย.56
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)