5 โรคฮิต คนคลั่งแชท
ใน ปัจจุบัน การติดต่อสื่อสารผ่าน เฟซบุ้ก ไลน์ วอทแอพ และวีแชต ฯลฯ ผ่านสมาร์ทดฟน แทปเล็ต และโน้ตบุ้คได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและคนทำงาน นอกจากความทันสมัย ฉับไว ด้านข้อมูลข่าวสาร ยังมีภัยสำหรับคนคลั่งแชทที่อาจเกิดกับคุณอยู่ตอนนี้ก็ได้ ไปดูว่ามีโรคอะไรกันบ้าง
1) โรคเศร้าจากเฟซบุ้ก ว่ากันว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีคนเล่นเฟซบุ้กมากที่สุดในโลกหรือราว 12 ล้านคน ส่วนทั้งประเทศมีผู้ใช้เฟซบุ้กทั้งหมด 18 ล้านคน คิดเป็น 27% ของประชากรทั่วประเทศ จัดอยู่ในอันดับที่ 13 ของโลก การเล่นเฟซบุ้กมีทั้งด้านบวกและด้านลบ การศึกษาของมหาวิทยาลัยมิชิแกน นำโดยศาสตราจารย์ อีธาน ครอสส์ ได้รวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 82 คน ซึ่งใช้บริการเฟซบุ้กบนสมาร์ทโฟนเป็นประจำ พบว่า การใช้ เฟซบุ้ก มากเกินไปอาจกลายเป็นการบั่นทอนความสุขและความพึงพอใจในการดำรงชีวิต เช่น โดดเดี่ยว เศร้า และเหงาหงอยมากขึ้น
ทั้งนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ใช้เฟซบุ้กเป็นเครื่องระบายความรู้สึกมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเกิดความรู้สึกว้าเหว่ สอดคล้องกับงานวิจัยจากเยอรมนี เมื่อต้นปีที่ พบว่า 1 ใน 3 ของกลุ่มตัวอย่างที่ใช้เฟซบุ้ก มีทัศนคติต่อตัวเองในแง่ลบ เนื่องจากเห็นการอัพเดตสถานะของเพื่อน ทั้งในด้านการงานและชีวิตส่วนตัว ที่มีแต่ความสำเร็จและความสุข ใครกำลังเริ่มหดหู่ เศร้า เริ่มออกห่างจากเฟซบุ้กด่วน!
2) ละเมอแชท (Sleep - Texting) ถือเป็นโรคใหม่ที่เกิดจากการใช้สมาร์ทโฟนอีกเช่นกัน และโรคนี้ถือว่าไม่ธรรมดา เพราะสามารถตามไปหลอกหลอนหรือป่วน แม้กระทั่งตอนที่คุณเข้านอนแล้ว เราสามารถเรียกโรคนี้ให้เข้าใจง่ายๆ ว่า อาการติดแชทแม้ขณะนั้นตัวเองกำลังหลับอยู่ การศึกษาในต่างประเทศพบว่า Sleep - Texting เป็นอาการชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการพิมพ์ข้อความแชทในมือถือของผู้ที่เข้าขั้น "ติด" อาการนี้จะเกิดขึ้นในขณะหลับ และเมื่อได้ยินเสียงข้อความส่งมา ร่างกายและระบบประสาทจะตอบสนองด้วยการหยิบมือถือมาแล้วพิมพ์ข้อความตอบกลับไปในทันที ซึ่งผู้ใช้จะอยู่ในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น เป็นเหตุให้เมื่อตื่นขึ้นมาจะจำอะไรไม่ได้ว่าทำอะไรหรือพิมพ์อะไรไปบ้าง และข้อความนั้นก็เป็นข้อความที่ไม่สามารถจับใจความได้ ปัญหาที่ตามมาก็คือ ร่างกายที่อ่อนแอจากการพักผ่อนไม่เพียงพอเกิดโรคอ้วน ภาวะซึมเศร้าและอาจส่งผลกระทบในการเรียนหรือการทำงาน ด้วยเหตุนี้ หากจะเล่นไลน์ เฟซบุ้ก วอทแอพ หรือวีแชต ก็ควรทำแต่พอดี แต่หากคุณติดงอมแงมก็ควรตัดใจปิดมือถือ ปิดเสียง หรือปิดสัญญาณ WiFi และ 3G ไปเลยก่อนนอนเพื่อการพักผ่อนที่เต็มที่
3) โรควุ้นในตาเสื่อม สำหรับบางคนอาจจะต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ทุกวัน วันละหลายๆ ชั่วโมง และบางคนก็จ้องแทปเล็ต สมาร์ทโฟนไม่วางตาจากการทำงาน เล่นอินเตอร์เน็ต แชท หรือเล่นเกมส์ อาจทำให้เกิดโรควุ้นในตาเสื่อมได้ ทั้งนี้ จากการสำรวจในประเทศไทยพบว่ามีผู้ที่เป็นโรคนี้แล้วกว่า 14 ล้านคน โรคนี้เกิดขึ้นจากการใช้สายตาที่มากจนเกินไป โดยปกติแล้วในสมัยก่อนโรคนี้ส่วนมากจะพบในผู้สูงอายุ แต่ในปัจจุปัน มีผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้มากขึ้น และไม่จำกัดช่วงอายุวัย อาการสำคัญ คือเวลามองจะเห็นภาพเป็นคราบดำๆ คล้ายหยากใย่ ซึ่งการตรวจสอบจะมองเห็นได้ชัดเจนในที่ๆ เป็นพื้นที่สีสว่างๆ เช่น ท้องฟ้าขาวๆ ผนังห้องขาวๆ ซึ่งหากมีอาการเหล่านี้ จะทำให้เกิดอาการปวดตา และมีปัญหาด้านสายตาในที่สุด
4) โนโมโฟเบีย (Nomophobia) เป็นโรคหวาดกลัวการไม่มีมือถือใช้ติดต่อสื่อสาร รวมถึงความเครียดเมื่อมือถืออยู่ในจุดอับสัญญาณจนติดต่อใครไม่ได้ Nomophobia มาจากคำว่า "no-mobile-phone phobia" ซึ่งจัดเป็นโรคกลัวทางจิตเวช เพราะมีอาการวิตกกังวลหรือกลัวเกินกว่าปกติ อาการโดยทั่วไปที่สามารถเช็กได้ง่ายๆ ว่าคุณเข้าขั้นเป็นโรคนี้หรือเปล่าก็คือ เกิดอาการเครียด วิตกกังวล ตัวสั่น หายใจไม่สะดวก คลื่นไส้ เมื่อไม่มีโทรศัพท์ อยู่ในจุดอับสัญญาณ หรือแบตเตอรีหมด นอกจากนี้ ยังแสดงอาการด้วยการหยิบสมาร์ทโฟน หรือแทปเลต ขึ้นมาเช็กอยู่ตลอดเวลา ติดการส่งข้อความและการโพสต์ข้อความผ่านสังคมออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ ว่างไม่ได้ สเตตัส เช็กอิน โพสต์รูป ฯลฯ ต้องมีให้เห็น ที่สำคัญไม่เคยปิดมือถือเพราะกลัวพลาดการอัพเดทเรื่องราวต่างๆ ในปัจจุบัน จากการสำรวจของทั่วโลกพบว่า มีคนเป็นโรคนี้กันมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะผู้หญิงจะเป็นมากกว่าผู้ชาย วัยรุ่น วัยทำงาน จะเป็นมากกว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ในคนไทยประมาณครึ่งหนึ่งของกลุ่มเยาวชนจะติดมือถือ และชอบเล่นไลน์ หรือเฟซบุ้ก และถ้าหากเป็นมากก็คงต้องปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษา ไม่เช่นนั้นโรคอื่นๆ จะตามมาอีกเพียบ
5) สมาร์ทโฟนเฟซ (Smartphone face) ไปไหนมาไหนก็เห็นแต่ใครๆ เขากำลังก้มหน้าก้มตามองสมาร์ทโฟน หรือไม่ก็แทปเล็ต จนตาแทบไม่กระพริบ นอกจากบรรดาสารพัดโรคที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้แล้ว เรายังมีชื่อโรคที่ไม่คุ้นหูเพิ่มมาอีกหนึ่ง นั่นคือ สมาร์ทโฟนเฟซ หรือ โรคใบหน้าสมาร์ทโฟน แต่คงไม่ใช่หน้าที่มีลักษณะยาวๆ สี่เหลี่ยมผืนผ้านะ แต่เป็นโรคที่เกิดจากการก้มลงมองและจ้องไปที่สมาร์ทโฟน หรือแทปเลตมากจนเกินไป เหตุนี้เองจึงทำให้เกิดการยืดของเส้นใยอิลาสติกบนใบหน้าทำให้แก้มบริเวณกรามเกิดการย้อยลงมา ส่วนกล้ามเนื้อบริเวณมุมปากจะตกไปทางคาง ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะการนั่งก้มหน้ามองสมาร์ทโฟนหรือแทปเล็ตเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดการเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณคอและเพิ่มแรงกดบริเวณแก้ม จึงทำให้เกิดอาการดังกล่าวขึ้นมา และจะเห็นชัดเจนเมื่อถ่ายภาพด้วยตัวเอง ใครสงสัยโปรดใช้กล้องหน้าถ่ายรูปตัวเองด่วน นอกจากการป้องกันโดยไม่ก้มหน้าเป็นเวลานานๆ แล้ว เรายังมีวิธีแก้ไข แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ เพราะมีรายงานว่าสามารถแก้ไขได้ด้วยการศัลยกรรมยกกระชับใบหน้า โบท็อกซ์ กระชับด้วยคลื่นความถี่สูง รวมทั้งร้อยไหม แต่คงไม่ไหวใช่ไหมล่ะ ทางที่ดีเลี่ยงกันดีกว่า เป็น 5 โรคฮิต ของคนคลั่งแชทในยุคนี้ ...ว่าแต่คุณเป็นโรคไหน?
ขอบคุณ... http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1381165480
(ประชาชาติธุรกิจออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 8 ต.ค.56)
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ สมาร์ทโฟน ใน ปัจจุบัน การติดต่อสื่อสารผ่าน เฟซบุ้ก ไลน์ วอทแอพ และวีแชต ฯลฯ ผ่านสมาร์ทดฟน แทปเล็ต และโน้ตบุ้คได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและคนทำงาน นอกจากความทันสมัย ฉับไว ด้านข้อมูลข่าวสาร ยังมีภัยสำหรับคนคลั่งแชทที่อาจเกิดกับคุณอยู่ตอนนี้ก็ได้ ไปดูว่ามีโรคอะไรกันบ้าง 1) โรคเศร้าจากเฟซบุ้ก ว่ากันว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีคนเล่นเฟซบุ้กมากที่สุดในโลกหรือราว 12 ล้านคน ส่วนทั้งประเทศมีผู้ใช้เฟซบุ้กทั้งหมด 18 ล้านคน คิดเป็น 27% ของประชากรทั่วประเทศ จัดอยู่ในอันดับที่ 13 ของโลก การเล่นเฟซบุ้กมีทั้งด้านบวกและด้านลบ การศึกษาของมหาวิทยาลัยมิชิแกน นำโดยศาสตราจารย์ อีธาน ครอสส์ ได้รวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 82 คน ซึ่งใช้บริการเฟซบุ้กบนสมาร์ทโฟนเป็นประจำ พบว่า การใช้ เฟซบุ้ก มากเกินไปอาจกลายเป็นการบั่นทอนความสุขและความพึงพอใจในการดำรงชีวิต เช่น โดดเดี่ยว เศร้า และเหงาหงอยมากขึ้น ทั้งนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ใช้เฟซบุ้กเป็นเครื่องระบายความรู้สึกมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเกิดความรู้สึกว้าเหว่ สอดคล้องกับงานวิจัยจากเยอรมนี เมื่อต้นปีที่ พบว่า 1 ใน 3 ของกลุ่มตัวอย่างที่ใช้เฟซบุ้ก มีทัศนคติต่อตัวเองในแง่ลบ เนื่องจากเห็นการอัพเดตสถานะของเพื่อน ทั้งในด้านการงานและชีวิตส่วนตัว ที่มีแต่ความสำเร็จและความสุข ใครกำลังเริ่มหดหู่ เศร้า เริ่มออกห่างจากเฟซบุ้กด่วน! 2) ละเมอแชท (Sleep - Texting) ถือเป็นโรคใหม่ที่เกิดจากการใช้สมาร์ทโฟนอีกเช่นกัน และโรคนี้ถือว่าไม่ธรรมดา เพราะสามารถตามไปหลอกหลอนหรือป่วน แม้กระทั่งตอนที่คุณเข้านอนแล้ว เราสามารถเรียกโรคนี้ให้เข้าใจง่ายๆ ว่า อาการติดแชทแม้ขณะนั้นตัวเองกำลังหลับอยู่ การศึกษาในต่างประเทศพบว่า Sleep - Texting เป็นอาการชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการพิมพ์ข้อความแชทในมือถือของผู้ที่เข้าขั้น "ติด" อาการนี้จะเกิดขึ้นในขณะหลับ และเมื่อได้ยินเสียงข้อความส่งมา ร่างกายและระบบประสาทจะตอบสนองด้วยการหยิบมือถือมาแล้วพิมพ์ข้อความตอบกลับไปในทันที ซึ่งผู้ใช้จะอยู่ในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น เป็นเหตุให้เมื่อตื่นขึ้นมาจะจำอะไรไม่ได้ว่าทำอะไรหรือพิมพ์อะไรไปบ้าง และข้อความนั้นก็เป็นข้อความที่ไม่สามารถจับใจความได้ ปัญหาที่ตามมาก็คือ ร่างกายที่อ่อนแอจากการพักผ่อนไม่เพียงพอเกิดโรคอ้วน ภาวะซึมเศร้าและอาจส่งผลกระทบในการเรียนหรือการทำงาน ด้วยเหตุนี้ หากจะเล่นไลน์ เฟซบุ้ก วอทแอพ หรือวีแชต ก็ควรทำแต่พอดี แต่หากคุณติดงอมแงมก็ควรตัดใจปิดมือถือ ปิดเสียง หรือปิดสัญญาณ WiFi และ 3G ไปเลยก่อนนอนเพื่อการพักผ่อนที่เต็มที่ 3) โรควุ้นในตาเสื่อม สำหรับบางคนอาจจะต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ทุกวัน วันละหลายๆ ชั่วโมง และบางคนก็จ้องแทปเล็ต สมาร์ทโฟนไม่วางตาจากการทำงาน เล่นอินเตอร์เน็ต แชท หรือเล่นเกมส์ อาจทำให้เกิดโรควุ้นในตาเสื่อมได้ ทั้งนี้ จากการสำรวจในประเทศไทยพบว่ามีผู้ที่เป็นโรคนี้แล้วกว่า 14 ล้านคน โรคนี้เกิดขึ้นจากการใช้สายตาที่มากจนเกินไป โดยปกติแล้วในสมัยก่อนโรคนี้ส่วนมากจะพบในผู้สูงอายุ แต่ในปัจจุปัน มีผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้มากขึ้น และไม่จำกัดช่วงอายุวัย อาการสำคัญ คือเวลามองจะเห็นภาพเป็นคราบดำๆ คล้ายหยากใย่ ซึ่งการตรวจสอบจะมองเห็นได้ชัดเจนในที่ๆ เป็นพื้นที่สีสว่างๆ เช่น ท้องฟ้าขาวๆ ผนังห้องขาวๆ ซึ่งหากมีอาการเหล่านี้ จะทำให้เกิดอาการปวดตา และมีปัญหาด้านสายตาในที่สุด 4) โนโมโฟเบีย (Nomophobia) เป็นโรคหวาดกลัวการไม่มีมือถือใช้ติดต่อสื่อสาร รวมถึงความเครียดเมื่อมือถืออยู่ในจุดอับสัญญาณจนติดต่อใครไม่ได้ Nomophobia มาจากคำว่า "no-mobile-phone phobia" ซึ่งจัดเป็นโรคกลัวทางจิตเวช เพราะมีอาการวิตกกังวลหรือกลัวเกินกว่าปกติ อาการโดยทั่วไปที่สามารถเช็กได้ง่ายๆ ว่าคุณเข้าขั้นเป็นโรคนี้หรือเปล่าก็คือ เกิดอาการเครียด วิตกกังวล ตัวสั่น หายใจไม่สะดวก คลื่นไส้ เมื่อไม่มีโทรศัพท์ อยู่ในจุดอับสัญญาณ หรือแบตเตอรีหมด นอกจากนี้ ยังแสดงอาการด้วยการหยิบสมาร์ทโฟน หรือแทปเลต ขึ้นมาเช็กอยู่ตลอดเวลา ติดการส่งข้อความและการโพสต์ข้อความผ่านสังคมออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ ว่างไม่ได้ สเตตัส เช็กอิน โพสต์รูป ฯลฯ ต้องมีให้เห็น ที่สำคัญไม่เคยปิดมือถือเพราะกลัวพลาดการอัพเดทเรื่องราวต่างๆ ในปัจจุบัน จากการสำรวจของทั่วโลกพบว่า มีคนเป็นโรคนี้กันมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะผู้หญิงจะเป็นมากกว่าผู้ชาย วัยรุ่น วัยทำงาน จะเป็นมากกว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ในคนไทยประมาณครึ่งหนึ่งของกลุ่มเยาวชนจะติดมือถือ และชอบเล่นไลน์ หรือเฟซบุ้ก และถ้าหากเป็นมากก็คงต้องปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษา ไม่เช่นนั้นโรคอื่นๆ จะตามมาอีกเพียบ 5) สมาร์ทโฟนเฟซ (Smartphone face) ไปไหนมาไหนก็เห็นแต่ใครๆ เขากำลังก้มหน้าก้มตามองสมาร์ทโฟน หรือไม่ก็แทปเล็ต จนตาแทบไม่กระพริบ นอกจากบรรดาสารพัดโรคที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้แล้ว เรายังมีชื่อโรคที่ไม่คุ้นหูเพิ่มมาอีกหนึ่ง นั่นคือ สมาร์ทโฟนเฟซ หรือ โรคใบหน้าสมาร์ทโฟน แต่คงไม่ใช่หน้าที่มีลักษณะยาวๆ สี่เหลี่ยมผืนผ้านะ แต่เป็นโรคที่เกิดจากการก้มลงมองและจ้องไปที่สมาร์ทโฟน หรือแทปเลตมากจนเกินไป เหตุนี้เองจึงทำให้เกิดการยืดของเส้นใยอิลาสติกบนใบหน้าทำให้แก้มบริเวณกรามเกิดการย้อยลงมา ส่วนกล้ามเนื้อบริเวณมุมปากจะตกไปทางคาง ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะการนั่งก้มหน้ามองสมาร์ทโฟนหรือแทปเล็ตเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดการเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณคอและเพิ่มแรงกดบริเวณแก้ม จึงทำให้เกิดอาการดังกล่าวขึ้นมา และจะเห็นชัดเจนเมื่อถ่ายภาพด้วยตัวเอง ใครสงสัยโปรดใช้กล้องหน้าถ่ายรูปตัวเองด่วน นอกจากการป้องกันโดยไม่ก้มหน้าเป็นเวลานานๆ แล้ว เรายังมีวิธีแก้ไข แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ เพราะมีรายงานว่าสามารถแก้ไขได้ด้วยการศัลยกรรมยกกระชับใบหน้า โบท็อกซ์ กระชับด้วยคลื่นความถี่สูง รวมทั้งร้อยไหม แต่คงไม่ไหวใช่ไหมล่ะ ทางที่ดีเลี่ยงกันดีกว่า เป็น 5 โรคฮิต ของคนคลั่งแชทในยุคนี้ ...ว่าแต่คุณเป็นโรคไหน? ขอบคุณ... http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1381165480 (ประชาชาติธุรกิจออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 8 ต.ค.56)
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)