เร่งอัดฉีด "ไอโอดีน" สกัดเด็กไทย...ไอคิวต่ำ

แสดงความคิดเห็น

แพทย์กำลังเจาะเลือด

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ!!ผลสำรวจระดับสติปัญญาเด็กไทย เมื่อ 2 ปีที่แล้ว พบว่า เด็กไทยที่มีระดับไอคิวต่ำที่สุดของประเทศอยู่ในภาคอีสานถึง 19 จังหวัด ในจำนวนนี้ 17 จังหวัดมีเด็กที่ไอคิวต่ำกว่า 100 มีเพียง 2 จังหวัดที่เด็กๆมีไอคิวในระดับ 100 พอดี

แม้จะไม่ต่ำกว่าระดับไอคิว ตามมาตรฐานสากล ที่กำหนดไว้ที่ 90-110 แต่การมีระดับไอคิวที่หมิ่นเหม่เช่นนี้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ากังวลไม่น้อย

แพทย์กำลังเจาะเลือด สาเหตุ ของการมีระดับไอคิวที่ต่ำกว่าปกติ ประการหนึ่ง ก็คือ การขาดสารไอโอดีน ซึ่งถือว่าเป็นสาเหตุหลักของ ความทุพพลภาพทางสติปัญญาของโลก และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการลดระดับการพัฒนาสติปัญญาของบุคลากรในชาติ เมื่อ ต้นเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ลงพื้นที่จังหวัดอุดรธานี เพื่อประชุมปรึกษาหารือจัดทำโครงการเฝ้าระวังการขาดสารไอโอดีน เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว

นพ.อภิชัย มงคล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ บอกว่า ไอโอดีนมีความจำเป็นสำหรับคนทุกเพศทุกวัย มีส่วนสำคัญต่อการสร้างเซลล์สมองและพัฒนาการของเด็กตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ และมีความเชื่อมโยงกับระดับสติปัญญาหรือไอคิวของเด็ก

“ในหญิงตั้งครรภ์ การได้รับสารไอโอดีนไม่เพียงพอจะมีความเสี่ยงต่อการแท้งบุตรสูงและส่งผลต่อ พัฒนาการทางสมองของเด็ก ส่วนเด็กที่ได้รับสารไอโอดีนไม่เพียงพอจะมีพัฒนาการทางสมองและร่างกายที่ช้ากว่าปกติ ไม่เป็นไปตามวัย มีสภาพร่างกายแคระแกร็น ซึ่งอาจส่งผลให้หยุดการเจริญเติบโต และมีส่วนทำให้ไอคิวของเด็กต่ำลง” อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์บอก พร้อมกับให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การขาดสารไอโอดีนไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เป็นสาเหตุหลักที่ ทำให้การพัฒนาสติปัญญาลดลงถึง 10-15 จุด เด็กที่เติบโตขึ้นโดยขาดไอโอดีนจะมีความเจริญเติบโตทางสมองและร่างกายช้า กว่าเด็กปกติ ขาดทั้งความเฉลียวฉลาด และพัฒนาการทางสติปัญญา

คุณหมอ อภิชัย อธิบายว่า ในหญิงตั้งครรภ์ หากขาดไอโอดีนอย่างรุนแรงจนถึงขั้นเกิดภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมน อาจทำให้เด็กเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์ แท้งก่อนคลอด หรือแม้จะคลอดบุตรได้แต่เด็กที่คลอดออกมาก็จะมีพัฒนาการของสมองและระบบ ประสาทช้ากว่าปกติ มีโอกาสเสี่ยงต่อความพิการหรือปัญญาอ่อน

เกลือผสมไอโอดีน “เราคงเคยเห็นคนที่มีคอพอกออกมาโตมากกว่าปกติ นั่นคือสัญลักษณ์ของการขาดสารไอโอดีนในผู้ใหญ่ บางคนแม้ว่าคอจะไม่โตออกมามาก แต่ก็มีอาการคอพอกแอบแฝง การทำหน้าที่ของร่างกายด้อยลง ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสมรรถภาพในการทำงาน หากเป็นเพศชายอาจมีอาการแสดง คือ เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ส่วนผู้หญิงก็อาจจะมีภาวะของประจำเดือนมาไม่ปกติได้”

เพื่อให้การ แก้ไขปัญหาภาวะขาดสารไอโอดีนได้ผลดีและยั่งยืนที่สุด คุณหมออภิชัย บอกว่า ได้วางแนวทางแก้ไขไว้ในกลุ่มเสี่ยงหลักๆ 3 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ 1)หญิงตั้งครรภ์ จะมีการส่งเสริมให้หญิงตั้งครรภ์ครั้งแรกรับประ-ทานยาเสริมไอโอดีน 2 แคปซูล สามารถอยู่ในร่างกาย 1 ปี ทำให้มั่นใจได้ว่าตลอดการตั้งครรภ์และตอนให้นมบุตรแม่มีไอโอดีนเพียงพอ รวมทั้งให้ลูกได้ใช้ในการสร้างไทรอยด์ฮอร์โมน 2)กลุ่มเด็กทารกแรกเกิด จะส่งเสริมให้เด็กแรกเกิดทุกคนต้องได้รับการเจาะส้นเท้าตรวจเลือดเพื่อดู ระดับไทรอยด์ฮอร์โมนที่ส่งผลต่อความเฉลียวฉลาด และการเจริญเติบโตของเด็ก เนื่องจากฮอร์โมนไทรอยด์จะสัมพันธ์กับไอโอดีน ถ้าทารกตั้งแต่แรกเกิดถึงอายุ 2-3 ขวบ ขาดไอโอดีนจะมีสติปัญญาด้อย ไอคิวต่ำกว่าที่ควรจะเป็นถึง 30 จุด ยิ่งถ้าเด็กอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อการขาดไอโอดีนมักมีไอคิวต่ำลงประมาณ 13.5 จุด และเด็กที่เกิดจากแม่ที่มีปัญหาไทรอยด์มักมีไอคิวต่ำกว่า 85 และ 3)กลุ่มเด็กเล็กจนถึงผู้ใหญ่ทั่วไป จะมีการรณรงค์ส่งเสริมให้ประชาชนกินอาหารที่มีไอโอดีน เลือกใช้เกลือและน้ำปลาที่ทำจากเกลือทะเล หรือเกลือที่เสริมไอโอดีน

อธิบดี กรมวิทยาศาสตร์ บอกด้วยว่า ที่ผ่านมา ได้มีการดำเนินการแก้ไขปัญหาภาวะขาดสารไอโอดีนทั้ง 3 กลุ่มเสี่ยง โดยในหญิงตั้งครรภ์ได้จัดทำโครงการเฝ้าระวังระดับไอโอดีนในปัสสาวะของหญิง ตั้งครรภ์ในพื้นที่เสี่ยงต่อการขาดไอโอดีนในทุกจังหวัดของประเทศไทย กลุ่มทารกแรกเกิด กรมวิทย์ฯ ได้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเก็บเลือดทารกที่มีอายุมากกว่า 2 วัน นำมาตรวจวัดระดับไทรอยด์สติมูเลติง ฮอร์โมน หรือทีเอสเอช หากพบว่าร่างกายผลิตทีเอสเอชผิดปกติ จะแจ้งให้โรงพยาบาลรีบตามตัวมารักษา ซึ่งหากไม่ ได้รับการรักษาภายใน 2 สัปดาห์ ทารกจะมีระดับไอคิวลดลงกว่าที่ควรจะเป็น และถ้าปล่อยทิ้งไว้นานจะกลายเป็นเด็กปัญญาอ่อนได้

สแกนสมอง นอกจากนี้ ยังได้ร่วมมือกับเครือข่ายสาธารณสุขและชุมชมในภาคอีสาน เป็นการเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานภาครัฐและประชาชน พัฒนานวัตกรรมแก้ปัญหาโรคขาดสารไอโอดีนในพื้นที่ชนบทด้วยการเพิ่มสารไอโอดีน ในระบบห่วงโซ่อาหารและผลผลิตทางการเกษตร เพื่อแก้ปัญหาการขาดสารไอโอดีน ซึ่งนวัตกรรมที่ว่านั้น มีทั้งส่งเสริมให้ชาวบ้าน “ปลูกผักและเลี้ยงไก่ไข่เสริมไอโอดีน” โดยใช้วิธีการฉีดพ่นสาร ละลายโปรแตสเซียมไอโอเดทในผักท้องถิ่น เช่น ผักบุ้งจีน ผักกวางตุ้ง ผักกาดหอม คะน้า ต้นหอม กระเพรา สะระแหน่ โหระพา เลี้ยงไก่ไข่ด้วยอาหาร ที่ผสมสารโปแตสเซียมไอโอเดทที่มีความเข้มข้นสูง จะทำให้ได้ไข่ไก่ที่มีไอโอดีนเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้ง การแปรรูปปลาเป็นปลาร้าที่มีการเสริมไอโอดีนเพื่อนำมาบริโภคกันมากขึ้นด้วย

การแก้ปัญหาขาดสารไอโอดีน นอกจากการรณรงค์ให้เห็นความสำคัญของการได้รับ ไอโอดีนอย่างเพียงพอแล้ว บางประเทศยังออกมาตรการทางกฎหมายห้ามจำหน่ายเกลือที่ไม่ได้เสริมไอโอดีนใน ท้องตลาดอีกด้วย ทั้งนี้คนทั่วไปมีความต้องการไอโอดีนในแต่ละวัน ในระดับต่างๆกัน เช่น เด็กเล็กถึงวัยเรียน ควรได้รับไอโอดีน 90-120 ไมโครกรัมต่อวัน เยาวชนและคนสูงวัย ควรจะได้รับ 150 ไมโครกรัมต่อวัน ขณะที่หญิงมีครรภ์ควรได้รับไอโอดีนถึง 250 ไมโครกรัมต่อวัน และแม้ว่าร่างกายจะได้รับสารไอโอดีนในปริมาณที่เกินจำเป็น ก็ให้สบายใจได้ว่าจะไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด เพราะไอโอดีนจะสามารถขับออกมาทางปัสสาวะได้.

ขอบคุณ http://www.thairath.co.th/column/life/smartlife/408301 (ขนาดไฟล์: 167)

(thairath ออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 7 มี.ค.57 )

ที่มา: thairath ออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 7 มี.ค.57
วันที่โพสต์: 8/03/2557 เวลา 04:02:37 ดูภาพสไลด์โชว์ เร่งอัดฉีด "ไอโอดีน" สกัดเด็กไทย...ไอคิวต่ำ

แสดงความคิดเห็น

รอตรวจสอบ
จัดฟอร์แม็ต ดูการแสดงผล

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

ยกเลิก

รายละเอียดกระทู้

แพทย์กำลังเจาะเลือด ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ!!ผลสำรวจระดับสติปัญญาเด็กไทย เมื่อ 2 ปีที่แล้ว พบว่า เด็กไทยที่มีระดับไอคิวต่ำที่สุดของประเทศอยู่ในภาคอีสานถึง 19 จังหวัด ในจำนวนนี้ 17 จังหวัดมีเด็กที่ไอคิวต่ำกว่า 100 มีเพียง 2 จังหวัดที่เด็กๆมีไอคิวในระดับ 100 พอดี แม้จะไม่ต่ำกว่าระดับไอคิว ตามมาตรฐานสากล ที่กำหนดไว้ที่ 90-110 แต่การมีระดับไอคิวที่หมิ่นเหม่เช่นนี้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ากังวลไม่น้อย แพทย์กำลังเจาะเลือด สาเหตุ ของการมีระดับไอคิวที่ต่ำกว่าปกติ ประการหนึ่ง ก็คือ การขาดสารไอโอดีน ซึ่งถือว่าเป็นสาเหตุหลักของ ความทุพพลภาพทางสติปัญญาของโลก และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการลดระดับการพัฒนาสติปัญญาของบุคลากรในชาติ เมื่อ ต้นเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ลงพื้นที่จังหวัดอุดรธานี เพื่อประชุมปรึกษาหารือจัดทำโครงการเฝ้าระวังการขาดสารไอโอดีน เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว นพ.อภิชัย มงคล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ บอกว่า ไอโอดีนมีความจำเป็นสำหรับคนทุกเพศทุกวัย มีส่วนสำคัญต่อการสร้างเซลล์สมองและพัฒนาการของเด็กตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ และมีความเชื่อมโยงกับระดับสติปัญญาหรือไอคิวของเด็ก “ในหญิงตั้งครรภ์ การได้รับสารไอโอดีนไม่เพียงพอจะมีความเสี่ยงต่อการแท้งบุตรสูงและส่งผลต่อ พัฒนาการทางสมองของเด็ก ส่วนเด็กที่ได้รับสารไอโอดีนไม่เพียงพอจะมีพัฒนาการทางสมองและร่างกายที่ช้ากว่าปกติ ไม่เป็นไปตามวัย มีสภาพร่างกายแคระแกร็น ซึ่งอาจส่งผลให้หยุดการเจริญเติบโต และมีส่วนทำให้ไอคิวของเด็กต่ำลง” อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์บอก พร้อมกับให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การขาดสารไอโอดีนไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เป็นสาเหตุหลักที่ ทำให้การพัฒนาสติปัญญาลดลงถึง 10-15 จุด เด็กที่เติบโตขึ้นโดยขาดไอโอดีนจะมีความเจริญเติบโตทางสมองและร่างกายช้า กว่าเด็กปกติ ขาดทั้งความเฉลียวฉลาด และพัฒนาการทางสติปัญญา คุณหมอ อภิชัย อธิบายว่า ในหญิงตั้งครรภ์ หากขาดไอโอดีนอย่างรุนแรงจนถึงขั้นเกิดภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมน อาจทำให้เด็กเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์ แท้งก่อนคลอด หรือแม้จะคลอดบุตรได้แต่เด็กที่คลอดออกมาก็จะมีพัฒนาการของสมองและระบบ ประสาทช้ากว่าปกติ มีโอกาสเสี่ยงต่อความพิการหรือปัญญาอ่อน เกลือผสมไอโอดีน “เราคงเคยเห็นคนที่มีคอพอกออกมาโตมากกว่าปกติ นั่นคือสัญลักษณ์ของการขาดสารไอโอดีนในผู้ใหญ่ บางคนแม้ว่าคอจะไม่โตออกมามาก แต่ก็มีอาการคอพอกแอบแฝง การทำหน้าที่ของร่างกายด้อยลง ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสมรรถภาพในการทำงาน หากเป็นเพศชายอาจมีอาการแสดง คือ เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ส่วนผู้หญิงก็อาจจะมีภาวะของประจำเดือนมาไม่ปกติได้” เพื่อให้การ แก้ไขปัญหาภาวะขาดสารไอโอดีนได้ผลดีและยั่งยืนที่สุด คุณหมออภิชัย บอกว่า ได้วางแนวทางแก้ไขไว้ในกลุ่มเสี่ยงหลักๆ 3 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ 1)หญิงตั้งครรภ์ จะมีการส่งเสริมให้หญิงตั้งครรภ์ครั้งแรกรับประ-ทานยาเสริมไอโอดีน 2 แคปซูล สามารถอยู่ในร่างกาย 1 ปี ทำให้มั่นใจได้ว่าตลอดการตั้งครรภ์และตอนให้นมบุตรแม่มีไอโอดีนเพียงพอ รวมทั้งให้ลูกได้ใช้ในการสร้างไทรอยด์ฮอร์โมน 2)กลุ่มเด็กทารกแรกเกิด จะส่งเสริมให้เด็กแรกเกิดทุกคนต้องได้รับการเจาะส้นเท้าตรวจเลือดเพื่อดู ระดับไทรอยด์ฮอร์โมนที่ส่งผลต่อความเฉลียวฉลาด และการเจริญเติบโตของเด็ก เนื่องจากฮอร์โมนไทรอยด์จะสัมพันธ์กับไอโอดีน ถ้าทารกตั้งแต่แรกเกิดถึงอายุ 2-3 ขวบ ขาดไอโอดีนจะมีสติปัญญาด้อย ไอคิวต่ำกว่าที่ควรจะเป็นถึง 30 จุด ยิ่งถ้าเด็กอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อการขาดไอโอดีนมักมีไอคิวต่ำลงประมาณ 13.5 จุด และเด็กที่เกิดจากแม่ที่มีปัญหาไทรอยด์มักมีไอคิวต่ำกว่า 85 และ 3)กลุ่มเด็กเล็กจนถึงผู้ใหญ่ทั่วไป จะมีการรณรงค์ส่งเสริมให้ประชาชนกินอาหารที่มีไอโอดีน เลือกใช้เกลือและน้ำปลาที่ทำจากเกลือทะเล หรือเกลือที่เสริมไอโอดีน อธิบดี กรมวิทยาศาสตร์ บอกด้วยว่า ที่ผ่านมา ได้มีการดำเนินการแก้ไขปัญหาภาวะขาดสารไอโอดีนทั้ง 3 กลุ่มเสี่ยง โดยในหญิงตั้งครรภ์ได้จัดทำโครงการเฝ้าระวังระดับไอโอดีนในปัสสาวะของหญิง ตั้งครรภ์ในพื้นที่เสี่ยงต่อการขาดไอโอดีนในทุกจังหวัดของประเทศไทย กลุ่มทารกแรกเกิด กรมวิทย์ฯ ได้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเก็บเลือดทารกที่มีอายุมากกว่า 2 วัน นำมาตรวจวัดระดับไทรอยด์สติมูเลติง ฮอร์โมน หรือทีเอสเอช หากพบว่าร่างกายผลิตทีเอสเอชผิดปกติ จะแจ้งให้โรงพยาบาลรีบตามตัวมารักษา ซึ่งหากไม่ ได้รับการรักษาภายใน 2 สัปดาห์ ทารกจะมีระดับไอคิวลดลงกว่าที่ควรจะเป็น และถ้าปล่อยทิ้งไว้นานจะกลายเป็นเด็กปัญญาอ่อนได้ สแกนสมองนอกจากนี้ ยังได้ร่วมมือกับเครือข่ายสาธารณสุขและชุมชมในภาคอีสาน เป็นการเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานภาครัฐและประชาชน พัฒนานวัตกรรมแก้ปัญหาโรคขาดสารไอโอดีนในพื้นที่ชนบทด้วยการเพิ่มสารไอโอดีน ในระบบห่วงโซ่อาหารและผลผลิตทางการเกษตร เพื่อแก้ปัญหาการขาดสารไอโอดีน ซึ่งนวัตกรรมที่ว่านั้น มีทั้งส่งเสริมให้ชาวบ้าน “ปลูกผักและเลี้ยงไก่ไข่เสริมไอโอดีน” โดยใช้วิธีการฉีดพ่นสาร ละลายโปรแตสเซียมไอโอเดทในผักท้องถิ่น เช่น ผักบุ้งจีน ผักกวางตุ้ง ผักกาดหอม คะน้า ต้นหอม กระเพรา สะระแหน่ โหระพา เลี้ยงไก่ไข่ด้วยอาหาร ที่ผสมสารโปแตสเซียมไอโอเดทที่มีความเข้มข้นสูง จะทำให้ได้ไข่ไก่ที่มีไอโอดีนเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้ง การแปรรูปปลาเป็นปลาร้าที่มีการเสริมไอโอดีนเพื่อนำมาบริโภคกันมากขึ้นด้วย การแก้ปัญหาขาดสารไอโอดีน นอกจากการรณรงค์ให้เห็นความสำคัญของการได้รับ ไอโอดีนอย่างเพียงพอแล้ว บางประเทศยังออกมาตรการทางกฎหมายห้ามจำหน่ายเกลือที่ไม่ได้เสริมไอโอดีนใน ท้องตลาดอีกด้วย ทั้งนี้คนทั่วไปมีความต้องการไอโอดีนในแต่ละวัน ในระดับต่างๆกัน เช่น เด็กเล็กถึงวัยเรียน ควรได้รับไอโอดีน 90-120 ไมโครกรัมต่อวัน เยาวชนและคนสูงวัย ควรจะได้รับ 150 ไมโครกรัมต่อวัน ขณะที่หญิงมีครรภ์ควรได้รับไอโอดีนถึง 250 ไมโครกรัมต่อวัน และแม้ว่าร่างกายจะได้รับสารไอโอดีนในปริมาณที่เกินจำเป็น ก็ให้สบายใจได้ว่าจะไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด เพราะไอโอดีนจะสามารถขับออกมาทางปัสสาวะได้. ขอบคุณ… http://www.thairath.co.th/column/life/smartlife/408301 (thairath ออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 7 มี.ค.57 )

จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย

  1. เพิ่ม
  2. เพิ่ม ลบ
  3. เพิ่ม ลบ
  4. เพิ่ม ลบ
  5. เพิ่ม ลบ
  6. เพิ่ม ลบ
  7. เพิ่ม ลบ
  8. เพิ่ม ลบ
  9. เพิ่ม ลบ
  10. ลบ
เลือกการตกแต่งที่ต้องการ

ตกลง ยกเลิก

รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)

Waiting...