เคล็ดลับ ถนอมสายตาในยุค Gen Me
เมื่อก่อนถ้าพูดถึงโรคทางสายตา มักจะบอกว่าเป็นโรคของคนแก่ เพราะในอดีตโรคทางสายตาโดยส่วนใหญ่มักจะเกิดกับผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ทำให้คนในวัยหนุ่มสาวมองเป็นเรื่องไกลตัว แต่ปัจจุบันจากการสำรวจและศึกษาสถิติการเป็นโรคทางสายตาในประเทศไทยพบว่า อัตราการเกิดโรคทางสายตาเพิ่มสูงขึ้นทุกปี โดยจากผลสำรวจสุขภาพสายตาคนไทยปี 2549 ระบุว่า มีคนไทยไม่น้อยกว่า 15 ล้านคน มีสายตาผิดปกติ คาดว่าจะมีคนไทยตาบอด 369,013 คน และสายตาเลือนราง 987,993 คน และคาดว่าจะมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆทุกปี เพราะด้วยไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปของคนยุคใหม่ ที่มีการใช้สายตาทำงานมากขึ้น ส่งผลทำให้ “อายุตา” สูงมากกว่าอายุของตัวเรา
ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและอุปกรณ์ไอที ประกอบกับผลพวงจากกระแสความนิยมบนโลกออนไลน์ ซึ่งช่วยให้สามารถรับข้อมูลข่าวสารได้ทั่วทุกมุมโลกและตลอดเวลา ทำให้เราปฏิเสธไม่ได้ว่า สิ่งเหล่านี้ได้เข้ามามีอิทธิพลเป็นอย่างมากในชีวิตประจำวันและการทำงานของเรา โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน มีไลฟ์สไตล์เปลี่ยนไป โดยจากสถิติการใช้อินเทอร์เน็ตในคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือของประชากรไทย ในช่วงระยะเวลา 5 ปี (ระหว่างปี 2552-2556) พบว่า ข้อมูลจากบทสรุปสำหรับผู้บริหารมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในครัวเรือน พ.ศ. 2556 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ระบุว่ามีผู้ใช้คอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้นเป็น 22.2 ล้านคน ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือเพิ่มขึ้นเป็น 46.4 ล้านคน และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยปัจจุบันพบว่าเกือบ 50 % ของคนไทยทั้งประเทศ ต้องใช้คอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนอยู่เป็นประจำทุกวัน ในการติดต่อสื่อสาร การเรียนหรือการทำงาน โดยใช้เวลาส่วนใหญ่กับการหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต หรือเช็กเมลอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ และยังใช้นอกเหนือจากเวลาเรียน และการทำงานแล้ว โดยเฉพาะไลฟ์สไตล์ของกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานในปัจจุบันอยู่ใน ยุค Look At “ME Generation” หรือ Gen Me ยุคที่คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีมากกว่ามนุษย์ด้วยกันเอง ทำให้เกิดปรากฏการณ์ “สังคมก้มหน้า” ที่ผู้คนรอบตัวต่างจดจ้องอยู่กับ “หน้าจอ” ของตัวเอง หรือเรียกได้ว่า “ชีวิตติดจอ” โดยไม่สนใจคนรอบข้าง ทำให้เราใช้สายตาเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว“ชีวิตติดจอ”…ระวังโรคทางสายตาถามหา ก่อนวัยอันควร
ข้อมูลจาก พญ.วรางคณา ทองคำใส จักษุแพทย์ หัวหน้าฝ่ายบริการทางการแพทย์ สนง.บรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย ระบุว่า คนยุคใหม่มีไลฟ์สไตล์แบบ “ชีวิตติดจอ” ใช้จอต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น จอคอมพิวเตอร์ จอแท็บเล็ต หรือ จอสมาร์ทโฟน ในการอัพเดทสถานะ โซเชียลมีเดีย เล่นเกม ดูหนัง ดูซีรีส์ ส่งข้อความ ซื้อของออนไลน์ ค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ทำให้เราใช้สายตาเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว ซึ่งพบว่า อัตราการใช้สายตากับหน้าจอคอมพิวเตอร์และจอต่าง ๆ โดยเฉลี่ยวันละ 8-10 ชั่วโมงทีเดียว ส่งผลให้ใช้สายตาเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว ซึ่งการที่คนเราใช้สายตาส่วนใหญ่ในการจ้องมองหน้าจอ หรือจ้องตัวหนังสือที่อยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ รวมไปถึงจอสมาร์ทโฟนนาน ๆ นั้น จะส่งผลให้กล้ามเนื้อลูกตาทำงานหนัก เพิ่มโอกาสที่จะทำให้สายตาเสียได้มากกว่าการอ่านหนังสือ หรือทำงานในกระดาษ โดยจากสถิติพบว่า ถ้าคนเราใช้สายตาอยู่กับหน้าจอต่อเนื่องมากกว่า 3 ชั่วโมงต่อวัน จะทำให้เกิดอาการ ตาเบลอ ตาแห้ง แสบตา สู้แสงไม่ได้ ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายที่คุณไม่รู้ตัว และหากเราใช้สายตามากขึ้น ความรุนแรงของอาการจะยิ่งมากจนเกิดอาการคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม (computer vision syndrome) ซึ่งนอกจากจะมีอาการทางสายตาแล้ว ยังมีอาการของกล้ามเนื้อด้วยเช่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยบ่า ต้นคอ ถ้าปวดมากอาจทำให้นอนไม่หลับ และพักผ่อนไม่เพียงพอ และเป็นสาเหตุของโรคอื่นตามมาได้ดูแลป้องกันและถนอมสายตา...ก่อนสาย
เราควรเริ่มดูแลและถนอมสายตาตั้งแต่เนิ่น ๆ ก่อนสายเกินแก้ เพราะดวงตาของเรามีคู่เดียวไม่มีอะไหล่เปลี่ยน โดยเราสามารถดูแลถนอมสายตาได้ในชีวิตประจำวัน ดังนี้
- หากต้องทำงานหน้าจอคอมพ์หรือใช้สมาร์ทโฟน ควรหมั่นพักสายตา และกะพริบตาบ่อย ๆ อย่างน้อย 10-15 ครั้งต่อนาที
- ควรนั่งทำงานในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ
- ปรับขนาดตัวหนังสือให้อ่านง่าย ไม่เล็กเกินไป
- ที่สำคัญควรเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อการบำรุงสายตา เช่น วิตามินเอ ที่ผลงานวิจัยระบุว่า ช่วยในการมองเห็น และยังมีส่วนช่วยป้องกันการเกิดภาวะตาแห้ง และเลือกรับประทานทานผลไม้ที่มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะพบมากในผักและผลไม้ต่าง ๆ โดยเฉพาะผลไม้ตระกูลเบอรี่ต่าง ๆ เช่น บิลเบอรี่ สตรอเบอรี่ แครนเบอรี่ ราสเบอรี่ และแบล็คเคอร์แรนต์ เป็นต้น โดยมีการวิจัยพบว่า ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ มีแอนโธไซยานิน ช่วยคลายความเหนื่อยล้าของดวงตา ช่วยให้การมองเห็นในเวลากลางคืน และช่วยให้การไหลเวียนเลือดในเส้นเลือดฝอยดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมีวิตามินซี อี และไบโอฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีส่วนช่วยปกป้องและถนอมดวงตาไม่ให้โดนทำลาย
นอกจากการบำรุงสุขภาพตาแล้ว สุขภาพร่างกายก็สำคัญ ควรพักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดที่ดวงตาดีขึ้น หากต้องออกแดด หรือขับรถควรสวมแว่นตากันแดด และควรพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจเช็กสุขภาพดวงตาปีละครั้ง หากมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับการมองเห็น ตาแดง ปวดตา หรือเคืองตา ควรรีบพบจักษุแพทย์ : ข้อมูลจาก ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์ ประธานมูลนิธิคุณแม่คุณภาพ.
นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์
เดลินิวส์ออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 9 มี.ค.57
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
หญิงสาวกำลังใช้งานคอมพิวเตอร์โน๊ตบุค และภาพผลไม้ตระกูลเบอรี่ เมื่อก่อนถ้าพูดถึงโรคทางสายตา มักจะบอกว่าเป็นโรคของคนแก่ เพราะในอดีตโรคทางสายตาโดยส่วนใหญ่มักจะเกิดกับผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ทำให้คนในวัยหนุ่มสาวมองเป็นเรื่องไกลตัว แต่ปัจจุบันจากการสำรวจและศึกษาสถิติการเป็นโรคทางสายตาในประเทศไทยพบว่า อัตราการเกิดโรคทางสายตาเพิ่มสูงขึ้นทุกปี โดยจากผลสำรวจสุขภาพสายตาคนไทยปี 2549 ระบุว่า มีคนไทยไม่น้อยกว่า 15 ล้านคน มีสายตาผิดปกติ คาดว่าจะมีคนไทยตาบอด 369,013 คน และสายตาเลือนราง 987,993 คน และคาดว่าจะมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆทุกปี เพราะด้วยไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปของคนยุคใหม่ ที่มีการใช้สายตาทำงานมากขึ้น ส่งผลทำให้ “อายุตา” สูงมากกว่าอายุของตัวเรา ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและอุปกรณ์ไอที ประกอบกับผลพวงจากกระแสความนิยมบนโลกออนไลน์ ซึ่งช่วยให้สามารถรับข้อมูลข่าวสารได้ทั่วทุกมุมโลกและตลอดเวลา ทำให้เราปฏิเสธไม่ได้ว่า สิ่งเหล่านี้ได้เข้ามามีอิทธิพลเป็นอย่างมากในชีวิตประจำวันและการทำงานของเรา โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน มีไลฟ์สไตล์เปลี่ยนไป โดยจากสถิติการใช้อินเทอร์เน็ตในคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือของประชากรไทย ในช่วงระยะเวลา 5 ปี (ระหว่างปี 2552-2556) พบว่า ข้อมูลจากบทสรุปสำหรับผู้บริหารมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในครัวเรือน พ.ศ. 2556 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ระบุว่ามีผู้ใช้คอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้นเป็น 22.2 ล้านคน ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือเพิ่มขึ้นเป็น 46.4 ล้านคน และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันพบว่าเกือบ 50 % ของคนไทยทั้งประเทศ ต้องใช้คอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนอยู่เป็นประจำทุกวัน ในการติดต่อสื่อสาร การเรียนหรือการทำงาน โดยใช้เวลาส่วนใหญ่กับการหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต หรือเช็กเมลอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ และยังใช้นอกเหนือจากเวลาเรียน และการทำงานแล้ว โดยเฉพาะไลฟ์สไตล์ของกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานในปัจจุบันอยู่ใน ยุค Look At “ME Generation” หรือ Gen Me ยุคที่คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีมากกว่ามนุษย์ด้วยกันเอง ทำให้เกิดปรากฏการณ์ “สังคมก้มหน้า” ที่ผู้คนรอบตัวต่างจดจ้องอยู่กับ “หน้าจอ” ของตัวเอง หรือเรียกได้ว่า “ชีวิตติดจอ” โดยไม่สนใจคนรอบข้าง ทำให้เราใช้สายตาเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว“ชีวิตติดจอ”…ระวังโรคทางสายตาถามหา ก่อนวัยอันควร ข้อมูลจาก พญ.วรางคณา ทองคำใส จักษุแพทย์ หัวหน้าฝ่ายบริการทางการแพทย์ สนง.บรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย ระบุว่า คนยุคใหม่มีไลฟ์สไตล์แบบ “ชีวิตติดจอ” ใช้จอต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น จอคอมพิวเตอร์ จอแท็บเล็ต หรือ จอสมาร์ทโฟน ในการอัพเดทสถานะ โซเชียลมีเดีย เล่นเกม ดูหนัง ดูซีรีส์ ส่งข้อความ ซื้อของออนไลน์ ค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ทำให้เราใช้สายตาเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว ซึ่งพบว่า อัตราการใช้สายตากับหน้าจอคอมพิวเตอร์และจอต่าง ๆ โดยเฉลี่ยวันละ 8-10 ชั่วโมงทีเดียว ส่งผลให้ใช้สายตาเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว ซึ่งการที่คนเราใช้สายตาส่วนใหญ่ในการจ้องมองหน้าจอ หรือจ้องตัวหนังสือที่อยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ รวมไปถึงจอสมาร์ทโฟนนาน ๆ นั้น จะส่งผลให้กล้ามเนื้อลูกตาทำงานหนัก เพิ่มโอกาสที่จะทำให้สายตาเสียได้มากกว่าการอ่านหนังสือ หรือทำงานในกระดาษ โดยจากสถิติพบว่า ถ้าคนเราใช้สายตาอยู่กับหน้าจอต่อเนื่องมากกว่า 3 ชั่วโมงต่อวัน จะทำให้เกิดอาการ ตาเบลอ ตาแห้ง แสบตา สู้แสงไม่ได้ ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายที่คุณไม่รู้ตัว และหากเราใช้สายตามากขึ้น ความรุนแรงของอาการจะยิ่งมากจนเกิดอาการคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม (computer vision syndrome) ซึ่งนอกจากจะมีอาการทางสายตาแล้ว ยังมีอาการของกล้ามเนื้อด้วยเช่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยบ่า ต้นคอ ถ้าปวดมากอาจทำให้นอนไม่หลับ และพักผ่อนไม่เพียงพอ และเป็นสาเหตุของโรคอื่นตามมาได้ดูแลป้องกันและถนอมสายตา...ก่อนสาย เราควรเริ่มดูแลและถนอมสายตาตั้งแต่เนิ่น ๆ ก่อนสายเกินแก้ เพราะดวงตาของเรามีคู่เดียวไม่มีอะไหล่เปลี่ยน โดยเราสามารถดูแลถนอมสายตาได้ในชีวิตประจำวัน ดังนี้ - หากต้องทำงานหน้าจอคอมพ์หรือใช้สมาร์ทโฟน ควรหมั่นพักสายตา และกะพริบตาบ่อย ๆ อย่างน้อย 10-15 ครั้งต่อนาที - ควรนั่งทำงานในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ - ปรับขนาดตัวหนังสือให้อ่านง่าย ไม่เล็กเกินไป - ที่สำคัญควรเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อการบำรุงสายตา เช่น วิตามินเอ ที่ผลงานวิจัยระบุว่า ช่วยในการมองเห็น และยังมีส่วนช่วยป้องกันการเกิดภาวะตาแห้ง และเลือกรับประทานทานผลไม้ที่มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะพบมากในผักและผลไม้ต่าง ๆ โดยเฉพาะผลไม้ตระกูลเบอรี่ต่าง ๆ เช่น บิลเบอรี่ สตรอเบอรี่ แครนเบอรี่ ราสเบอรี่ และแบล็คเคอร์แรนต์ เป็นต้น โดยมีการวิจัยพบว่า ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ มีแอนโธไซยานิน ช่วยคลายความเหนื่อยล้าของดวงตา ช่วยให้การมองเห็นในเวลากลางคืน และช่วยให้การไหลเวียนเลือดในเส้นเลือดฝอยดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมีวิตามินซี อี และไบโอฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีส่วนช่วยปกป้องและถนอมดวงตาไม่ให้โดนทำลาย นอกจากการบำรุงสุขภาพตาแล้ว สุขภาพร่างกายก็สำคัญ ควรพักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดที่ดวงตาดีขึ้น หากต้องออกแดด หรือขับรถควรสวมแว่นตากันแดด และควรพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจเช็กสุขภาพดวงตาปีละครั้ง หากมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับการมองเห็น ตาแดง ปวดตา หรือเคืองตา ควรรีบพบจักษุแพทย์ : ข้อมูลจาก ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์ ประธานมูลนิธิคุณแม่คุณภาพ. นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์ ขอบคุณ... http://www.dailynews.co.th/Content/Article/221409/‘เคล็ดลับ..ถนอมสายตาในยุค+Gen+Me’+-+ชีวิตและสุขภาพ เดลินิวส์ออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 9 มี.ค.57
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)