คลอดแล้ว! แนวทางดูแล-ยุติตั้งครรภ์ "หญิงท้องติดเชื้อซิกา-เด็กหัวลีบ" ครั้งแรกเอเชีย
ระดมสูตินรีแพทย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญคลอดแนวทางดูแลวินิจฉัยหญิงตั้งครรภ์เสี่ยงติดเชื้อซิกา เด็กทารกหัวลีบ ครั้งแรกเอเชีย กระจายแพทย์ทั่วประเทศดำเนินการ ลั่นหากยุติตั้งครรภ์ต้องอายุครรภ์ไม่เกิน 6 เดือน และเป็นไปตามกฎหมายข้อบังคับแพทยสภา
เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ที่กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข มีการประชุมคณะกรรมการพิจารณาแนวทางเวชปฏิบัติการวินิจฉัยและดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่สงสัยติดเชื้อไวรัสซิกา ร่วมกับราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย ผู้แทนสูตินรีแพทย์จากคณะแพทยศาสตร์รามาธิบดี ศิริราช ราชวิถี ฯลฯ รวมทั้งสูตินรีแพทย์จากเอกชน และผู้เชี่ยวชาญกุมารแพทย์ เพื่อพิจารณาหาแนวทางปฏิบัติทางการแพทย์สำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อไวรัสซิกา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทยและของเอเชีย
รศ.(พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (รพ.เด็ก) กรมการแพทย์ เป็นประธานกรรมการพิจารณาแนวทางเวชปฏิบัติการวินิจฉัยและดูแลหญิงตั้งครรภ์ฯ กล่าวภายหลังการประชุม ว่า ขณะนี้ยังไม่เห็นว่าในเอเชียมีการวางแนวทางปฏิบัติทางการแพทย์กรณีดูแลหญิงตั้งครรภ์ และเด็กในครรภ์ที่เกี่ยวข้องกับซิกาโดยเฉพาะ เนื่องจากเพราะไทยตรวจพบเด็กหัวเล็กก่อนประเทศอื่นๆ ในเอเชีย จึงรีบดำเนินการหาแนวทางแก้ปัญหาที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย
รศ.(พิเศษ) นพ.ทวี กล่าวว่า ซิกาเป็นเชื้อเก่าเจอมา 60 ปี แต่หัวเล็กในเด็กเป็นกลุ่มอาการใหม่ที่เพิ่งเจอ ดังนั้น หัวเล็กจึงเป็นกลุ่มอาการใหม่ แต่ตัวซิกาจริงๆ อาการไม่มาก หายได้เอง และมีเพียงร้อยละ 20 ที่แสดงอาการไข้ ผื่นขึ้น ตาแดง อีกร้อยละ 80 ไม่แสดงอาการ ซึ่งไทยมีการตรวจพบซิกามาหลายปีแล้ว มีรายงาน 5-6 ปี กระทั่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเจอเด็กศีรษะเล็กจากซิกา 2 ราย ส่วนหญิงตั้งครรภ์ที่ทางสำนักระบาดวิทยารายงานก็พบว่า มีการเฝ้าระวังและตรวจเชื้อจนพบหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อ 39 ราย มี 16 รายแสดงอาการ ที่เหลืออีก 23 รายหรือประมาณร้อยละ 60 ไม่แสดงอาการ ขณะที่พบว่ามี 9 รายคลอดทารกออกมาเป็นปกติดี ดังนั้น ไม่ใช่ทุกคน แต่เพื่อให้เป็นแนวทางเดียวกัน จึงได้ออกแนวปฏิบัติดังกล่าวขึ้นเพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์เป็นไกด์ไลน์ในการวินิจฉัยหญิงตั้งครรภ์
ศ.นพ.ภิเศก ลุมพิกานนท์ ประธานราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์ฯ กล่าวว่า ปกติแล้วราชวิทยาลัยฯ ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข มีแนวทางดูแลอยู่แล้ว โดยในหญิงตั้งครรภ์ปกติจะต้องมีการฝากครรภ์ และมาพบแพทย์อย่างน้อย 5 ครั้ง ทำการตรวจเลือดตรวจปัสสาวะว่ามีความผิดปกติหรือไม่ และตรวจอัลตราซาวด์ 1 ครั้งตอนอายุครรภ์ 4-5 เดือนว่ามีอะไรผิดปกติ แต่พอมีการระบาดของซิกาเกิดขึ้น และอาจส่งผลต่อเด็กทารกให้พิการทางสมองได้ โดยจะพบ 1.หัวเล็กกว่าปกติมีผลต่อการพัฒนา และ 2.มีหินปูนไปจับสมอง ซึ่งอาจพบด้วยกันได้ ซึ่งเกิดจากไวรัสไปทำลายปฏิกิริยาทางสมองแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหญิงตั้งครรภ์จะพบความผิดปกติจากซิกาทุกคน
ศ.นพ.ภิเศก กล่าวอีกว่า แต่เพื่อความรัดกุมในการดำเนินการวินิจฉัยโรคในแนวทางดังกล่าว จะแบ่งหญิงตั้งครรภ์ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มที่มีอาการจากการติดเชื้อไวรัสซิกา คือ มีไข้ มีผื่น ปวดข้อ ตาอักเสบ เมื่อมีอาการก็ต้องรีบตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะยืนยันว่ามีการติดเชื้อหรือไม่ รวมทั้งต้องมีการทำอัลตราซาวด์ 18-20 สัปดาห์ และเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดทุกเดือน และหากพบความผิดปกติสมองเล็ก ซึ่งมีเกณฑ์มาตรฐานอยู่ในแต่ละอายุครรภ์ ซึ่งหากพบความผิดปกติจะส่งให้ผู้เชี่ยวชาญดูแลต่อไป และ 2.กลุ่มที่ไม่มีอาการ จะทำอัลตราซาวด์ 2 ครั้ง โดยครั้งแรกที่อายุครรภ์ 18-20 สัปดาห์ และทำครั้งที่ 2 ช่วงอายุครรภ์ 28-30 สัปดาห์ เพื่อดูภาพว่ามีความผิดปกติของศีรษะอย่างไร และดูว่ามีหินปูนจับหรือไม่ แต่อย่าลืมว่าซิกาที่ติดมา หลายคนไม่มีอาการ สิ่งสำคัญจะมีคณะแพทย์ในการดูแลหารือกับครอบครัวแม่ในครรภ์ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีการยุติการตั้งครรภ์จะทำได้หรือไม่ ประธานราชวิทยาลัยสูติฯ กล่าวว่า คนที่ติดเชื้อไวรัสทุกคน ไม่ได้แปลว่าทารกจะมีความผิดปกติ จึงต้องพิสูจน์ด้วยการอัลตราซาวด์ดูว่าหัวเด็กมีความผิดปกติหรือไม่ แต่ข้อลำบากคือ เมื่อติดเชื้อแล้วไม่ได้ทำให้ผิดปกติเลย จึงต้องติดตามการทำอัลตราซาวด์ คล้ายๆกรณีดาวน์ซินโดรม ซึ่งหากพบความผิดปกติทารกในครรภ์ ก็จะยุติตั้งครรภ์ได้ แต่จะต้องมีเกณฑ์ตามกฎหมาย อย่างทารกพิการ มีผลต่อสุขภาพมารดา และต้องปรึกษาหารือระหว่างคณะแพทย์ว่า หากจะทำจะเป็นอันตรายต่อมารดาหรือไม่รวมทั้งต้องปรึกษากับสามีกับครอบครัวด้วย
ศ.นพ.ภิเศก กล่าวอีกว่า ปัจจุบันการยุติตั้งครรภ์กรณีทารกผิดปกติในครรภ์นั้น ไม่จำเพาะแค่ซิกา แต่รวมทุกกรณี โดยจะทำได้ในอายุครรภ์ 24 สัปดาห์เป็นเกณฑ์ ปัญหา คือ จะพบความผิดปกติก็ตอนอายุครรภ์มากๆ ทำให้ไม่สามารถทำได้ เพราะอันตรายต่อแม่ และอายุครรภ์มากๆ ก็เหมือนการทำคลอด เมื่อคลอดออกมาแล้วก็มีชีวิตแล้ว ดังนั้น การจะยุติการตั้งครรภ์จะต้องทำให้เร็วที่สุด ซึ่งก็จะตรวจอัลตราซาวด์แรกเริ่ม 18-20 สัปดาห์ และจะตรวจทุกเดือน รวมทั้งจะพิจารณาหัวเด็กว่าเล็กต่ำกว่าค่ามาตรฐาน 3 เปอร์เซ็นต์ไทล์ทางการแพทย์หรือไม่
เมื่อถามว่าปัจจุบันข้อบังคับแพทยสภาให้ดำเนินการยุติตั้งครรภ์ได้ใช่หรือไม่ ศ.นพ.ภิเศก กล่าวว่า ใช่ มีข้อบังคับแพทยสภา แต่ก็จะมีเงื่อนไขต่างๆ ทั้งเรื่องความพิการทารก ทั้งเรื่องสุขภาพของแม่ ของครอบครัว แต่ทั้งหมดต้องมีการปรึกษาหารือระหว่างคณะแพทย์และครอบครัวเป็นหลัก สิ่งสำคัญอยากให้เน้นที่ป้องกันก่อนดีกว่า โดยควรมาฝากครรภ์ให้เร็วที่สุด เพราะบางพื้นที่มาพบแพทย์ช้ามาก บางแห่งพบถึงร้อยละ 30 มาพบแพทย์เมื่ออายุครรภ์หลัง 12 สัปดาห์ไปแล้ว ซึ่งช้าเกินไป เสียโอกาสในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นช่วงที่มีการพัฒนาการของเด็ก
ผู้สื่อข่าวถามว่าหากไม่ปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าว จะถือว่าแพทย์ผิดหรือไม่ ศ.นพ.ภิเศก กล่าวว่า ต้องดูหลายๆ อย่าง เพราะแต่ละเรื่องแต่ละกรณีแตกต่างกัน เช่น ให้มาอัลตราซาวด์ แต่ไม่มา เพราะติดภารกิจ หรือการอัลตราซาวด์ ณ เวลานั้น เกิดข้อขัดข้องของเครื่องมือ ซึ่งก็จะมีการพิจารณาเป็นกรณีไป แต่ทั้งหมดแนวทางนี้เพื่อเป็นไกด์ไลน์ให้เท่านั้น
ขอบคุณ... http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1475658264
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
การประชุมคณะกรรมการพิจารณาแนวทางเวชปฏิบัติการวินิจฉัยและดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่สงสัยติดเชื้อไวรัสซิกา ร่วมกับราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย ผู้แทนสูตินรีแพทย์จากคณะแพทยศาสตร์รามาธิบดี ศิริราช ราชวิถี ฯลฯ ระดมสูตินรีแพทย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญคลอดแนวทางดูแลวินิจฉัยหญิงตั้งครรภ์เสี่ยงติดเชื้อซิกา เด็กทารกหัวลีบ ครั้งแรกเอเชีย กระจายแพทย์ทั่วประเทศดำเนินการ ลั่นหากยุติตั้งครรภ์ต้องอายุครรภ์ไม่เกิน 6 เดือน และเป็นไปตามกฎหมายข้อบังคับแพทยสภา เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ที่กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข มีการประชุมคณะกรรมการพิจารณาแนวทางเวชปฏิบัติการวินิจฉัยและดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่สงสัยติดเชื้อไวรัสซิกา ร่วมกับราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย ผู้แทนสูตินรีแพทย์จากคณะแพทยศาสตร์รามาธิบดี ศิริราช ราชวิถี ฯลฯ รวมทั้งสูตินรีแพทย์จากเอกชน และผู้เชี่ยวชาญกุมารแพทย์ เพื่อพิจารณาหาแนวทางปฏิบัติทางการแพทย์สำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อไวรัสซิกา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทยและของเอเชีย รศ.(พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (รพ.เด็ก) กรมการแพทย์ เป็นประธานกรรมการพิจารณาแนวทางเวชปฏิบัติการวินิจฉัยและดูแลหญิงตั้งครรภ์ฯ กล่าวภายหลังการประชุม ว่า ขณะนี้ยังไม่เห็นว่าในเอเชียมีการวางแนวทางปฏิบัติทางการแพทย์กรณีดูแลหญิงตั้งครรภ์ และเด็กในครรภ์ที่เกี่ยวข้องกับซิกาโดยเฉพาะ เนื่องจากเพราะไทยตรวจพบเด็กหัวเล็กก่อนประเทศอื่นๆ ในเอเชีย จึงรีบดำเนินการหาแนวทางแก้ปัญหาที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย รศ.(พิเศษ) นพ.ทวี กล่าวว่า ซิกาเป็นเชื้อเก่าเจอมา 60 ปี แต่หัวเล็กในเด็กเป็นกลุ่มอาการใหม่ที่เพิ่งเจอ ดังนั้น หัวเล็กจึงเป็นกลุ่มอาการใหม่ แต่ตัวซิกาจริงๆ อาการไม่มาก หายได้เอง และมีเพียงร้อยละ 20 ที่แสดงอาการไข้ ผื่นขึ้น ตาแดง อีกร้อยละ 80 ไม่แสดงอาการ ซึ่งไทยมีการตรวจพบซิกามาหลายปีแล้ว มีรายงาน 5-6 ปี กระทั่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเจอเด็กศีรษะเล็กจากซิกา 2 ราย ส่วนหญิงตั้งครรภ์ที่ทางสำนักระบาดวิทยารายงานก็พบว่า มีการเฝ้าระวังและตรวจเชื้อจนพบหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อ 39 ราย มี 16 รายแสดงอาการ ที่เหลืออีก 23 รายหรือประมาณร้อยละ 60 ไม่แสดงอาการ ขณะที่พบว่ามี 9 รายคลอดทารกออกมาเป็นปกติดี ดังนั้น ไม่ใช่ทุกคน แต่เพื่อให้เป็นแนวทางเดียวกัน จึงได้ออกแนวปฏิบัติดังกล่าวขึ้นเพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์เป็นไกด์ไลน์ในการวินิจฉัยหญิงตั้งครรภ์ ศ.นพ.ภิเศก ลุมพิกานนท์ ประธานราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์ฯ กล่าวว่า ปกติแล้วราชวิทยาลัยฯ ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข มีแนวทางดูแลอยู่แล้ว โดยในหญิงตั้งครรภ์ปกติจะต้องมีการฝากครรภ์ และมาพบแพทย์อย่างน้อย 5 ครั้ง ทำการตรวจเลือดตรวจปัสสาวะว่ามีความผิดปกติหรือไม่ และตรวจอัลตราซาวด์ 1 ครั้งตอนอายุครรภ์ 4-5 เดือนว่ามีอะไรผิดปกติ แต่พอมีการระบาดของซิกาเกิดขึ้น และอาจส่งผลต่อเด็กทารกให้พิการทางสมองได้ โดยจะพบ 1.หัวเล็กกว่าปกติมีผลต่อการพัฒนา และ 2.มีหินปูนไปจับสมอง ซึ่งอาจพบด้วยกันได้ ซึ่งเกิดจากไวรัสไปทำลายปฏิกิริยาทางสมองแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหญิงตั้งครรภ์จะพบความผิดปกติจากซิกาทุกคน ศ.นพ.ภิเศก กล่าวอีกว่า แต่เพื่อความรัดกุมในการดำเนินการวินิจฉัยโรคในแนวทางดังกล่าว จะแบ่งหญิงตั้งครรภ์ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มที่มีอาการจากการติดเชื้อไวรัสซิกา คือ มีไข้ มีผื่น ปวดข้อ ตาอักเสบ เมื่อมีอาการก็ต้องรีบตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะยืนยันว่ามีการติดเชื้อหรือไม่ รวมทั้งต้องมีการทำอัลตราซาวด์ 18-20 สัปดาห์ และเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดทุกเดือน และหากพบความผิดปกติสมองเล็ก ซึ่งมีเกณฑ์มาตรฐานอยู่ในแต่ละอายุครรภ์ ซึ่งหากพบความผิดปกติจะส่งให้ผู้เชี่ยวชาญดูแลต่อไป และ 2.กลุ่มที่ไม่มีอาการ จะทำอัลตราซาวด์ 2 ครั้ง โดยครั้งแรกที่อายุครรภ์ 18-20 สัปดาห์ และทำครั้งที่ 2 ช่วงอายุครรภ์ 28-30 สัปดาห์ เพื่อดูภาพว่ามีความผิดปกติของศีรษะอย่างไร และดูว่ามีหินปูนจับหรือไม่ แต่อย่าลืมว่าซิกาที่ติดมา หลายคนไม่มีอาการ สิ่งสำคัญจะมีคณะแพทย์ในการดูแลหารือกับครอบครัวแม่ในครรภ์ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีการยุติการตั้งครรภ์จะทำได้หรือไม่ ประธานราชวิทยาลัยสูติฯ กล่าวว่า คนที่ติดเชื้อไวรัสทุกคน ไม่ได้แปลว่าทารกจะมีความผิดปกติ จึงต้องพิสูจน์ด้วยการอัลตราซาวด์ดูว่าหัวเด็กมีความผิดปกติหรือไม่ แต่ข้อลำบากคือ เมื่อติดเชื้อแล้วไม่ได้ทำให้ผิดปกติเลย จึงต้องติดตามการทำอัลตราซาวด์ คล้ายๆกรณีดาวน์ซินโดรม ซึ่งหากพบความผิดปกติทารกในครรภ์ ก็จะยุติตั้งครรภ์ได้ แต่จะต้องมีเกณฑ์ตามกฎหมาย อย่างทารกพิการ มีผลต่อสุขภาพมารดา และต้องปรึกษาหารือระหว่างคณะแพทย์ว่า หากจะทำจะเป็นอันตรายต่อมารดาหรือไม่รวมทั้งต้องปรึกษากับสามีกับครอบครัวด้วย ศ.นพ.ภิเศก กล่าวอีกว่า ปัจจุบันการยุติตั้งครรภ์กรณีทารกผิดปกติในครรภ์นั้น ไม่จำเพาะแค่ซิกา แต่รวมทุกกรณี โดยจะทำได้ในอายุครรภ์ 24 สัปดาห์เป็นเกณฑ์ ปัญหา คือ จะพบความผิดปกติก็ตอนอายุครรภ์มากๆ ทำให้ไม่สามารถทำได้ เพราะอันตรายต่อแม่ และอายุครรภ์มากๆ ก็เหมือนการทำคลอด เมื่อคลอดออกมาแล้วก็มีชีวิตแล้ว ดังนั้น การจะยุติการตั้งครรภ์จะต้องทำให้เร็วที่สุด ซึ่งก็จะตรวจอัลตราซาวด์แรกเริ่ม 18-20 สัปดาห์ และจะตรวจทุกเดือน รวมทั้งจะพิจารณาหัวเด็กว่าเล็กต่ำกว่าค่ามาตรฐาน 3 เปอร์เซ็นต์ไทล์ทางการแพทย์หรือไม่ เมื่อถามว่าปัจจุบันข้อบังคับแพทยสภาให้ดำเนินการยุติตั้งครรภ์ได้ใช่หรือไม่ ศ.นพ.ภิเศก กล่าวว่า ใช่ มีข้อบังคับแพทยสภา แต่ก็จะมีเงื่อนไขต่างๆ ทั้งเรื่องความพิการทารก ทั้งเรื่องสุขภาพของแม่ ของครอบครัว แต่ทั้งหมดต้องมีการปรึกษาหารือระหว่างคณะแพทย์และครอบครัวเป็นหลัก สิ่งสำคัญอยากให้เน้นที่ป้องกันก่อนดีกว่า โดยควรมาฝากครรภ์ให้เร็วที่สุด เพราะบางพื้นที่มาพบแพทย์ช้ามาก บางแห่งพบถึงร้อยละ 30 มาพบแพทย์เมื่ออายุครรภ์หลัง 12 สัปดาห์ไปแล้ว ซึ่งช้าเกินไป เสียโอกาสในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นช่วงที่มีการพัฒนาการของเด็ก ผู้สื่อข่าวถามว่าหากไม่ปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าว จะถือว่าแพทย์ผิดหรือไม่ ศ.นพ.ภิเศก กล่าวว่า ต้องดูหลายๆ อย่าง เพราะแต่ละเรื่องแต่ละกรณีแตกต่างกัน เช่น ให้มาอัลตราซาวด์ แต่ไม่มา เพราะติดภารกิจ หรือการอัลตราซาวด์ ณ เวลานั้น เกิดข้อขัดข้องของเครื่องมือ ซึ่งก็จะมีการพิจารณาเป็นกรณีไป แต่ทั้งหมดแนวทางนี้เพื่อเป็นไกด์ไลน์ให้เท่านั้น ขอบคุณ... http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1475658264
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)