เล่าสารพัดปัญหา-อุปสรรค ทำคนพิการเข้าไม่ถึงสิทธิบัตรทอง
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จัดเสวนาและรับฟังความคิดเห็น “ช่วยกันปลดล็อก ดูแลคนพิการในเขตเมือง เข้าถึงสิทธิสุขภาพ เข้าถึงสิทธิบัตรทองอย่างเท่าเทียม” เมื่อวันที่ 5 มี.ค. 2568 ที่ผ่านมา โดยเป็นการรับฟังความคิดเห็นตามมาตรา 18 (13) แห่ง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 2545 ซึ่ง สปสช. ดำเนินการเป็นประจำทุกปี
ศ.นพ.รณชัย คงสกนธ์ ประธานอนุกรรมการสื่อสารสังคมและรับฟังความคิดเห็นผู้ให้บริการและผู้รับบริการ กล่าวว่า ปัจจุบันหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) ได้สร้างความครอบคลุมและทั่วถึงในการเข้ารับบริการสาธารณสุขให้กับประชาชนทุกกลุ่ม รวมถึงคนพิการแล้วก็ตาม แต่ที่ผ่านมายังพบคนพิการในเขตเมืองที่ยังคงเผชิญกับปัญหาอุปสรรคการใช้สิทธิบัตรทอง ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง การเข้าถึงสถานพยาบาล ขาดสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ทางลาด ลิฟท์ ห้องน้ำ อุปกรณ์เครื่องช่วยความพิการต่างๆ หรือแม้แต่ขนส่งสาธารณะที่ยังไม่เหมาะสมสำหรับคนพิการ ตลอดจนปัญหาการเข้าถึงข้อมูลสิทธิสุขภาพที่คนพิการพึงได้รับ ข้อจำกัดการใช้เทคโนโลยีต่างๆ รวมถึงการเข้าใจต่อคนพิการในด้านต่างๆของบุคลากรทางการแพทย์ซึ่งส่งผลในการให้บริการอย่างเหมาะสม
“หวังว่าการรับฟังความคิดเห็นในวันนี้ จะนำมาซึ่งข้อเสนอในการปลดล็อกแก้ปัญหาแก่คนพิการในเขตเมือง และเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่จะช่วยให้คนพิการสามารถเข้าถึงสิทธิสุขภาพได้อย่างแท้ และไม่เฉพาะแค่ใน กทม. แต่ข่อเสนอเหล่านี้จะมีผลต่อคนพิการกว่า 2 ล้านคนทั่วประเทศต่อไป” ศ.นพ.รณชัย กล่าว
ภาณุมาศ สุขอัมพร ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและที่ปรึกษามูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กล่าวว่า สปสช. มีสิทธิประโยชน์ครอบคลุมเกือบทุกมิติ แต่คนพิการรับรู้สิทธิของตัวเองแล้วหรือยัง และผู้ให้บริการรู้หรือไม่ว่าคนพิการมีสิทธิอะไรและต้องดูแลอย่างไร เช่น คนหูหนวกไปรอรับบริการที่โรงพยาบาล แต่เจ้าหน้าที่ไม่ทราบ เรียกคิวแล้วไม่ได้ยิน เลยต้องรอทั้งวันจนทุกคนกลับกันหมด ฟังดูตลกแต่คงขำไม่ออก รวมทั้งการเรียกเอกสารหลักฐานต่างๆ บางครั้งเอกสารไม่ครบต้องกลับไปเอามาให้อีก ทั้งที่คนพิการไม่สะดวกเดินทาง ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงบริการได้
“การปลดล็อกของผมคือต้องทำให้คนพิการได้รับรู้ถึงสิทธิที่มีอยู่ หรืออาจมี Center เพื่อให้คนพิการได้เข้าถึงสิทธิได้โดยง่าย และคิดว่าการประชาสัมพันธ์ให้คนพิการ 2 ล้านกว่าคนได้รับรู้ถึงสิทธินั้นไม่ใช่เรื่องยาก รวมทั้งงบประมาณที่ใช้ก็ไม่น่าจะมากด้วย”
ภาณุมาศ กล่าวว่า ผู้พิการในเขต กทม. อยากให้ใช้แอพพลิเคชัน “หมอ กทม.” นัดหมายเข้ารับบริการ เพื่อที่ทางโรงพยาบาลจะได้ทราบและเตรียมดูแล และหากมีปัญหาติดขัดก็สามารถร้องเรียนได้ที่ช่องทาง Traffy Fondue เพราะเป็นช่องทางที่ได้ผลมาก
หฤทัย ศิริสินอุดมกิจ ผู้เชี่ยวชาญด้านการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวว่า พก. ดำเนินการหลายด้านเพื่อให้คนพิการเข้าถึงสิทธิง่ายขึ้น เช่น การอัพเดตข้อมูลบัตรคนพิการอัตโนมัติ ลดภาระการแจ้งสิทธิเอง ซึ่งคาดว่าจะเสร็จในเดือน ก.ค. นี้ นอกจากยังร่วมมือกับ กทม. พัฒนา One Stop Service เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการประเมินความพิการ แพทย์สามารถส่งใบประเมินทางออนไลน์และออกบัตรรับรองได้ทันที รวมถึงการโอนข้อมูลเบี้ยคนพิการจากโรงพยาบาลไปสำนักงานเขตโดยอัตโนมัติ ลดขั้นตอนการยื่นเอกสาร ทั้งหมดนี้จะขยายไปทั่วประเทศในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลคนพิการยังแยกอยู่ในหน่วยงานต่าง ๆ เช่น การศึกษา สุขภาพ และแรงงาน รัฐบาลจึงมีมติจัดทำข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) สำหรับกลุ่มเปราะบาง โดยเริ่มจากคนพิการเพราะมีความพร้อมของข้อมูล
นอกจากนี้ หฤทัย ยังมีข้อเสนอถึงฝ่ายสาธารณสุข ใช้ระบบประเมินระดับความรุนแรงของความพิการคล้ายแบบ ADL เพื่อกำหนดนโยบายที่ตรงจุด เช่น หากคนพิการส่วนใหญ่อยู่ในระดับรุนแรงน้อย ก็ควรเน้นการส่งเสริมศักยภาพ แต่หากเป็นระดับรุนแรงมาก ก็ควรเน้นด้านการฟื้นฟู นอกจากนี้ขอให้แพทย์ระบุสาเหตุของความพิการในกระบวนการประเมิน เนื่องจากปัจจุบันมีข้อมูลส่วนนี้เพียง 1 ล้านรายการจากจำนวนคนพิการทั้งหมด
วันเสาร์ ไซยกุล กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) และเครือข่ายคนพิการรักสุขภาพ กล่าวว่า ปัจจุบันมีบัตรทองสิทธิประโยชน์บริการฟื้นฟูคนพิการ 25 รายการ แต่ในทางปฏิบัติยังไม่สามารถจัดบริการให้ครอบคลุม เนื่องจากบุคลากรทางการแพทย์ไม่พร้อม รวมทั้งไม่มีรหัสการเบิกจ่ายกับ สปสช. จึงเป็นโจทย์ที่ต้องปลดล็อก หากทำได้จะช่วยแก้ปัญหาติดขัดการรับบริการที่โรงพยาบาลให้กับคนพิการได้
“เวทีสื่อสารรับฟังความคิดเห็นเป็นช่องทางสำคัญ อยากให้คนพิการเข้ามาร่วมให้ความเห็นกันเพื่อสะท้อนความต้องการของตนเอง เพราะหลายๆ สิทธิประโยชน์ที่ผ่านมาก็พัฒนามาจากการรับฟังความคิดเห็นนี้ เช่น บริการรถรับส่งผู้พิการไปยังหน่วยบริการ หรือการทบทวนรายการอุปกรณ์ช่วยความพิการ 76 รายการเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพบริบทใน” บอร์ด สปสช. กล่าว
ดร.สุชญา เฑียรแสงทอง ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อเด็กพิการ ระบุว่า ล็อกแรก คือเรื่องความรู้จริงๆ เพราะในมิติทางการแพทย์และสิทธิประโยชน์ ประเทศไทยถือว่ามีเยอะ แต่ครอบครัวไม่ค่อยทราบ ยิ่งในต่างจังหวัดยิ่งรู้น้อยมาก ดังนั้นต้องให้ข้อเท็จจริงและทำให้ครอบครัวเข้าใจว่าการจดทะเบียนคนพิการไม่ใช่การตีตรา แต่ช่วยให้บุตรหลานของตนได้รับสิทธิประโยชน์ ส่วนล็อกต่อมาคือหน่วยบริการแต่ละแห่งมีความเชี่ยวชาญต่างกัน บางหัตถการไปต่างจังหวัดแล้วหาบุคลากรทำให้ไม่ได้ ต้องกลับมาโรงพยาบาลประจำและต้องเป็นหมอคนเดิมที่ทำให้ รวมทั้งกิจกรรมฟื้นฟู 25 รายการก็จำเป็นสำคัญมากสำหรับเด็กพิการ อาจต้องบูรณาการให้มีการจัดบริการที่ทั่วถึงและเด็ก 1 คนสามารถรับบริการได้หลากหลาย
นอกจากนี้ กายอุปกรณ์ก็มีความสำคัญ อยากฝาก สปสช. ว่า รถเข็นตามสิทธิประโยชน์เป็นรถเข็นมาตรฐาน แต่สำหรับเด็กพิการรุนแรงต้องใช้รถเข็นเฉพาะ ดังนั้นอยากให้พิจารณาปลดล็อกในเรื่องนี้ด้วย
กรรณิการ์ วงเพ็ญ คนพิการทางสายตา ตัวแทนประชาคมคนพิการกรุงเทพมหานคร และอาสาสมัครคนพิการฝ่ายทะเบียน สำนักงานเขตดุสิต กล่าวว่า ในอดีตตนไปรับบริการที่โรงพยาบาลก็ไม่ได้ใช้สิทธิ เพราะไม่ทราบสิทธิเลย เนื่องจากสื่อไม่เอื้ออำนวย แม้จะมีสื่ออักษรเบรลล์ แต่ต้นทุนที่สูงจึงมีการผลิตที่จำกัด หรือเวลาโทรสายด่วน สปสช. 1330 กดเลข 13 หลักก็ไม่ทันในวลาที่กำหนด เป็นต้น นอกจากนี้คนพิการที่ยังไม่มีโอกาสได้ใช้เทคโนโลยีระดับสูงที่มีมากและต้องใช้ระบบเดิมๆ แบบการโทรศัพท์ ดังนั้นอย่างแรกจึงอยากให้ สปสช. ปลดล็อก ในเรื่องการกำหนดเวลาในการกดรหัส หรือเลขบัตรประชาชน หรือขยายเวลาให้นานขึ้นอีก หรือมีช่องทางพิเศษสำหรับคนพิการไปเลย นอกจากนี้อยากให้ สปสช. รับคนพิการเข้ามาทำงานและใช้ประโยชน์ ด้วยการกระจายลงไปอบรมแก่ผู้พิการ ผู้ที่ยังไม่ทราบข้อมูลการเข้าถึงบริการ รวมทั้งเป็นแรงบันดาลใจให้แก่เพื่อนคนพิการด้วย
ประเด็นต่อมา ผู้ป่วยติดเตียงที่จำเป็นต้องรับการรักษาเร่งด่วนแต่ไม่สามารถใช้สิทธิบัตรทองได้ เนื่องจากบัตรประชาชนหรือเอกสารบางอย่างอาจหมดอายุ อยากให้มีนโยบายให้สายด่วน 1330 ประสานการรักษาเร่งด่วน โดยไม่ต้องรอให้ทำเอกสารใหม่แล้วเสร็จถึงจะใช้สิทธิได้
“สื่อต่างๆ ที่ออกจาก สปสช. อยากให้สื่อ 1 สื่อสำหรับคนทุกคน คือ มีทั้งเสียงสำหรับคนตาบอด มีตัวอักษรบรรยายสำหรับคนหูหนวก เป็นต้น” กรรณิการ์ กล่าว