บริหารความหลากหลาย กลยุทธ์สร้างคนเติบโตอย่างสมดุล

บริหารความหลากหลาย กลยุทธ์สร้างคนเติบโตอย่างสมดุล

ปัจจุบันเรื่องความหลากหลาย (diversity) ของพนักงานในองค์กรทวีความสำคัญ และมีบทบาทมากขึ้นในสังคม ไม่ว่าจะเป็นความหลากหลายทางเชื้อชาติ เพศ ความพิการ และอายุ ซึ่งถือเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งขององค์กรในการบริหารจัดการความหลากหลายนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการทำงาน

ขณะเดียวกันจากสถานการณ์รอบตัวที่เกิดขึ้น รวมถึงกระแสสังคมต่าง ๆ ผลักดันให้ผู้คนเกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต แนวคิด และทัศนคติอยู่ตลอดเวลา“การสร้างความสมดุลที่หลากหลาย” ให้เกิดขึ้นในองค์กร และสอดคล้องกับการทำงานในสังคมยุคใหม่ จึงกลายเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญในการผลักดันองค์กรให้สามารถบรรลุเป้าหมาย และประสบความสำเร็จ

“ณัฏฐณิชา วรวรรณเศรษฐ์” รองประธานอาวุโสฝ่ายสนับสนุนการบริหารงานในองค์กร แบรนด์ ซันโทรี่ ประเทศไทย และอินโดไชน่า กล่าวว่า แนวคิดการบริหารความแตกต่าง (diversity and inclusion) หรือ D&I ของกลุ่มบริษัทซันโทรี่นั้น ถูกขับเคลื่อนภายใต้ค่านิยมหลัก “Yatte Minahare” จิตวิญญาณแห่งความทะเยอทะยานที่จะฝันให้ยิ่งใหญ่ ท้าทายสิ่งใหม่ ไม่เคยยอมแพ้ และยอมรับแนวคิดที่หลากหลาย รวมถึงมีความพยายามที่จะเพิ่มศักยภาพสูงสุดให้แก่พนักงานในสภาพแวดล้อมที่เปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์

“เพราะตระหนักถึงความแตกต่างและความหลากหลายทั้งในด้านเชื้อชาติ เพศ ความพิการ และอายุ การบริหารความหลากหลายอย่างสมดุลให้แก่พนักงาน จึงกลายเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน”

ทั้งนั้นเพราะแบรนด์ ซันโทรี่ ประเทศไทย มุ่งให้ความสำคัญกับแนวคิด D&I ในการบริหารจัดการองค์กร และทรัพยากรบุคคลอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการบริหารความหลากหลายอย่างสมดุล ด้วยการนำ 4 แนวทางการส่งเสริมความหลากหลายของบริษัทแม่มาสานต่อ ได้แก่

หนึ่ง ก้าวข้ามเรื่องเชื้อชาติ ปัจจุบันบริษัทมีพนักงานชาวต่างชาติจากหลายประเทศ ทั้งจากทวีปยุโรป อาทิ อิตาเลียน, สวีดิช, รวมถึงทวีปเอเชีย เช่น ไต้หวัน, ฟิลิปปินส์, เมียนมา, เวียดนาม, กัมพูชา, สิงคโปร์ เป็นต้น

สอง ก้าวข้ามเรื่องเพศ บริษัทมีพนักงานผู้หญิงที่เป็นผู้บริหารระดับสูงในสัดส่วนสูงเกินร้อยละ 50

สาม ก้าวข้ามความพิการ บริษัทมีนโยบายจ้างงานผู้พิการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553

สี่ ก้าวข้ามเรื่องอายุ พนักงานของบริษัทนั้นมีหลากหลายเจเนอเรชั่น โดยเจเนอเรชั่นที่มีจำนวนมากที่สุด คือ กลุ่ม Gen Y มีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 66 ตามมาด้วยกลุ่ม Gen X มีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 30 และเจเนอเรชั่นอื่น ๆ อีกร้อยละ 4 ทั้งนี้ บริษัทวางแผนและตั้งเป้าการจ้างงานบุคคลที่มีความหลากหลายมากขึ้นในอนาคต

นอกจากนั้น “ณัฏฐณิชา” ยังกล่าวถึงหลักการทำงานที่ประสบความสำเร็จว่า ปรัชญาในการทำงานที่แบรนด์ ซันโทรี่ ประเทศไทย คือ การทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เพื่อให้บริษัทบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ รวมถึงให้ความสำคัญกับเรื่องการสร้างพลัง (empowerment) การสร้างทีมที่มีศักยภาพสูง (high performing team) และการทำงานร่วมกันเป็นทีม (one team) เพราะเราต้องการสร้างบริษัทให้เป็นองค์กรที่น่าทำงานด้วยที่สุด

โดยมีบุคลากรที่มีคุณภาพที่จะช่วยกันสร้างความแตกต่างให้กับองค์กร และต้องส่งเสริมให้พนักงานมีความรัก และผูกพันกับองค์กรควบคู่กันไปผ่าน 4 เรื่องหลัก ได้แก่

1) การสร้างแรงจูงใจด้วยการแข่งขัน และมอบรางวัลต่าง ๆ ให้แก่พนักงาน

2) การสร้างแบรนด์ขององค์กร และการสร้างพันธสัญญาทางใจของพนักงานต่อแบรนด์

3) การเพิ่มศักยภาพหรือขีดความสามารถของคนให้ได้มากที่สุด ผ่านการบริหารจัดการองค์กรที่ดี

และ 4) การสร้างองค์กรที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการดำเนินธุรกิจ

ที่สำคัญ “ณัฏฐณิชา” ยังมองเทรนด์การบริหารทรัพยากรบุคคลต่อไปจะมุ่งสู่ยุคดิจิทัลมากขึ้น เพราะการบริหารทรัพยากรบุคคลในปัจจุบันมีความซับซ้อนมากขึ้นจึงต้องปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งบริษัทต้องทันสมัยอยู่เสมอ เพื่อนำสิ่งเหล่านี้มาพัฒนาในทุกเรื่อง

ยิ่งในยุคนี้ต้องรู้จักใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และข้อมูลต่าง ๆ หรือที่เรียกว่า big data มาวิเคราะห์ เพื่อหา solution ในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ทุกอย่างต้องเป็น employees centric โดยให้พนักงานเป็นศูนย์กลางสิ่งต่าง ๆ หรือในเวลาที่เราต้องสร้างสรรค์โปรแกรมใหม่ ๆ

“ยกตัวอย่างเช่น สถานการณ์โควิด-19ที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ ถือเป็นสิ่งที่ท้าทายการทำงานในการบริหารจัดการคนในองค์กรเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการทำงานทางไกล บริษัทต่าง ๆ กำลังคุ้นเคยกับการให้พนักงานทำงานที่บ้าน

หรือการทำงานแบบ hybrid workplace สลับการทำงานทางไกลกับการทำงานที่ออฟฟิศ ประสบการณ์ใหม่ในการสื่อสารองค์กร ทุกอย่างเป็น virtual เราจึงต้องลงทุนกับเทคโนโลยี เพื่อทำให้การสื่อสารภายในองค์กรมีประสิทธิภาพ การส่งเสริมความหลากหลาย”

“ถ้ามีการบริหารจัดการความหลากหลายที่ดีจะทำให้บริษัทสามารถสร้างวัฒนธรรมที่คนกล้าคิด กล้าแสดงออก มีความผูกพันกับองค์กรในระยะยาว และการดูแลสุขภาพพนักงานทั้งร่างกายและจิตใจ

การทำงานช่วงโควิด-19 สร้างความกังวลให้พนักงานค่อนข้างมาก เราจึงจัดหาอุปกรณ์ป้องกันโควิด ทั้งจัดหาวัคซีน ชุดตรวจ รวมทั้งให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพตัวเอง เพื่อให้พนักงานได้ผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการทำงาน”

“เพราะความหลากหลายในองค์กรมีผลเชิงบวกต่อภาพลักษณ์โดยรวมขององค์กรอย่างเห็นได้ชัด ปัจจุบันองค์กรระดับโลกให้ความสำคัญกับความหลากหลายในองค์กรค่อนข้างมาก ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อองค์กร ทำให้องค์กรเข้าใจลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่มีวัฒนธรรมแตกต่างกัน

นอกจากนี้ ความหลากหลายถือเป็นอีกวิธีหนึ่งในการสร้างแบรนด์ภาพลักษณ์องค์กร (employer branding) ที่จะดึงดูดผู้สมัครให้เข้ามาสมัครงาน และตัดสินใจเลือกทำงานกับองค์กรมากขึ้น”

นับว่าน่าสนใจทีเดียว

ขอบคุณ... https://www.prachachat.net/csr-hr/news-789549

ที่มา: prachachat.net /มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 30 ต.ค.64
วันที่โพสต์: 1/11/2564 เวลา 10:36:12 ดูภาพสไลด์โชว์ บริหารความหลากหลาย กลยุทธ์สร้างคนเติบโตอย่างสมดุล