ช่วยน้ำท่วมกทม.ขาติดเชื้อ-ตัดทิ้ง ยังสู้เลี้ยงลูก3คนลำพัง

ช่วยน้ำท่วมกทม.ขาติดเชื้อ-ตัดทิ้ง ยังสู้เลี้ยงลูก3คนลำพัง

เวทนา พ่อพิการสุรินทร์ใจสู้ แม้ขาขวาโดนตัดทิ้งเพราะติดเชื้อจากการไปช่วยน้ำท่วมใหญ่ กทม. แถมเมียทิ้งหนีไป ต้องเลี้ยงลูกเล็ก 3 คน สุดลำบากขนาดไข่ 1 ฟองยังต้องหารกัน 4 ชีวิต

เมื่อวันที่ 18 ส.ค. ที่บ้านโคกสำโรง คุ้มโคกเจริญ สพฐ 208 หมู่ 9 ต.ราม อ.เมืองสุรินทร์ พบครอบครัวหนึ่งมีฐานะยากจน ไม่มีแม้ข้าวสารจะกรอกหม้อ อาศัยอยู่ 4 คน พ่อกับลูก ทราบชื่อคือ นายอนุชิต นิราชโศรก อายุ 36 ปี พิการขาขวาขาด ป่วยเป็นโรคธาลัสซีเมีย โรคเมลิออยด์ และม้ามโต ส่วนลูกอีก 3 คนๆแรก ด.ญ.กัลยา นิราชโศรก อายุ 14 ปี (ไม่ได้ศึกษาต่อ) คนที่ 2 ด.ช.พงศกร นิราชโศรก อายุ 9 ขวบ เรียนชั้น ป.3 และคนที่ 3 ด.ช.จิรายุ นิราชโศรก อายุ 6 ขวบ เรียนชั้นอนุบาล 3

โดยบ้านหลังนี้ ด.ญ.กัลยา ได้รับบ้านพระราชทานจากในหลวง ร.9 เมื่อปี 2558 ภายในบ้านมีอุปกรณ์เครื่องใช้ฟ้าที่รับบริจาคมาพร้อมบ้านหลังใหม่ มีตู้เย็น เตาแก็ส กระทะไฟฟ้า และพัดลม ทั้งหมดถูกจัดอย่างเป็นระเบียบสะอาดเรียบร้อย มีห้องครัวและห้องน้ำในตัว มีข้าวสารที่ไปขอมาจากวัด และอุปกรณ์ทำครัว ส่วนอาหารวันนี้มีเพื่อนบ้านเอาไข่มาให้ 2 ฟอง

ซึ่งพบว่า ด.ช.พงศกร กำลังล้างจานอย่างขยันขันแข็ง และเข้าครัวทำกับข้าว โดยใช้กระทะไฟฟ้าทอดไข่ไก่ 1 ฟอง (แก็สหมดถังไม่มีเงินเติม) ลีลาในการทอดมีความชำนาญดีการหยิบจับกระฉับกระเฉง ต่อมา ด.ช.จิรายุ หยิบซีอิ๊วขาวมาเทราดลงที่ข้าวนั่งคลุกกินด้วยความหิวอย่างเอร็ดอร่อย และได้นำไปแบ่งให้พ่อและพี่ชาย คนละ คำ 2 คำ เพื่อกินคลายหิว เพราะทั้งครอบครัวไม่ได้ทานข้าวเช้า ส่วนข้าวเที่ยงก็ทานข้าวคลุกซีอิ๊วขาว

ปกติแล้วงานบ้านทุกอย่างพี่สาวคนโตคือ ด.ญ.กัลยา จะเป็นผู้ดูแลทุกอย่างแต่เคราะห์ร้ายถูกสุนัขกัดที่นิ้วมือทั้ง 2 ข้างและที่ท้อง จนทำให้ไม่สามารถทำงานหนักได้และโดนน้ำไม่ได้ ภาระทุกอย่างจึงตกไปอยู่ที่น้องชายคนกลางคือ ด.ช.พงศกร

ทุกๆเช้า นายอนุชิต บิดา กับลูกชายคนเล็กจะขับขี่รถ จยย.พ่วงข้างไปรอรับพระที่ออกไปบิณฑบาต ใช้ขาซ้ายที่มีอยู่สตาร์ทเครื่อง ใส่เกียร์ ออกเดินทางจากบ้านไปวัดระยะทางกว่า 1 กม. โดยรับพระบิณฑบาตระยะทางไกลกว่า 3 หมู่บ้าน และจะกลับมาพร้อมกับข้าวมื้อที่อร่อยที่สุด หลังจากที่หลวงพ่อฉันท์เสร็จก็จะแบ่งอาหารให้นายอนุชิต เอากลับมาทานกับลูกๆที่บ้าน

นายอนุชิต เล่าว่า เมื่อปี 54 ที่น้ำท่วมใหญ่ใน กทม. ตนเลยไปช่วยหน่วยทหาร ทางทหารเลยให้ตนช่วยลากเรือพลาสติกขนอาหารไปแจกจ่ายให้ประชาชนตามซอยต่างๆ และรับส่งคนเข้าคนออก รวมทั้งเดินลุยน้ำลึกเท่าคอคอยลากเรือไปมา อาสาช่วยอยู่ 3 เดือน ส้นเท้าขวาเป็นแผลเสียดสี จึงเกิดอาการติดเชื้อ และขาขวาก็เริ่มมีสีคล้ำจนกลายเป็นสีดำในที่สุด เลยเข้ารับการรักษาที่ รพ.ในเขตกรุงเทพ และกลับมารักษาตัวที่สุรินทร์ ทีมแพทย์ระบุ ว่าขาเป็นสีดำจะลุกลามขึ้นวันละ 1 ซม

"กระทั่งลุกลามเกินเยียวยา สุดท้ายต้องตัดขาที่ติดเชื้อทิ้ง ต่อมา รพ.ที่สุรินทร์ ได้ส่งตัวไปรักษาต่อที่ รพ.ใน กทม.เพื่อรักษาอาการติดเชื้อกว่า 2 ปี หมอบอกว่าผมมีภูมิต้านทานต่ำ เพราะเป็นโรคธาลัสซีเมีย (โรคโลหิตจาง) หลังจากหมออนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาล ผมและครอบครัวก็ย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านแฟนที่ จ.ศรีสะเกษ แล้วจึงย้ายเข้ามาอยู่ที่สุรินทร์ อยู่ได้ระยะหนึ่ง แฟนผมไม่สามารถทนความลำบากที่ได้ จึงขอไปมีครอบครัวใหม่ มีลูกใหม่ ทิ้งลูกไว้ให้ผมเลี้ยงดูทั้ง 3 คน ตอนนี้ต้องพึ่งยาคลายเครียดแก้โรคซึมเศร้า"

พ่อพิการเลี้ยงเดี่ยว เล่าอีกว่า ตอนนั้นไม่รู้จะทำมาหากินอะไร จึงไปส่งพระบิณฑบาตและพระก็จะแบ่งอาหารมาให้ ก็เอามาให้ลูกๆกัน จะกินได้แค่ 2 มื้อคือเช้า-เที่ยง เพราะเป็นกับข้าวสำเร็จ เก็บได้ไม่เกินเที่ยง ส่วนอาหารเย็นก็หาซื้อกับข้าวทำกินเอง ปัจจุบันนี้ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเหมือนเมื่อก่อนจึงไม่สามารถออกไปส่งพระได้ รายได้ตอนนี้มีแค่เงินเดือนผู้พิการ 800 บาท และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เวลาที่ต้องเข้าโรงพยาบาลก็ต้องไปหาหยิบยืม ตอนนี้มีโรคประจำตัวอยู่หลายโรค ซึ่งถ่ายทอดทางพันธุกรรมและลูกสาวคนโตก็ได้รับโรคนี้ด้วย ต้องไปรับเลือดทุกเดือน ตน 1 ครั้ง ลูกอีก 1 ครั้ง ทุกครั้งต้องขี่รถพ่วงข้างพาลูกๆไปทุกคน เพราะทิ้งลูกคนเล็กไว้ไม่ได้ ระยะทาง16 กม. วันไหนขี่ไม่ไหว ต้องให้ลูกสาวขี่แทน

"ลูกสาวคนโตอายุ14 ปี เรียนชั้น ม.1 โรงเรียนประจำตำบล แต่ลูกไม่ได้ไปเรียนเพราะไม่มีเงินให้ลูกไปเรียนประมาณปีกว่าๆแล้ว อีกอย่างลูกสาวต้องเข้าไปรับเลือดด้วยและตต้องดูแลผม เพราะม้ามผมเริ่มโตเลยเกิดอาการเจ็บปวดที่ท้องทำอะไรไม่ได้เลย กินข้าวก็ปวดเพราะกระเพาะขยายตัวไปโดนม้าม เดินได้ไม่ถึง 10 เมตร แต่ละวันลูกสาวต้องรับผิดชอบงานบ้านทุกอย่าง ส่วนโรคที่ 2 คือโรคโรคเมลิออยด์ อาการมีไข้สูงจนต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล"

นายอนุชิต เผยทิ้งท้ายว่า หากไม่มีกับข้าวลูกๆ ก็จะราดซอสคลุกข้าวกินเปล่าๆ บางครั้งเพื่อนบ้านสงสาร เอาอาหารมาแบ่งบ้าง สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือ แพทย์ให้ตัดสินในว่าจะผ่าม้ามหรือไม่ หากไม่ผ่าทางโรงพยาบาลก็จนปัญญาจะช่วยให้หาย ส่วนตัวของตนก็อยากผ่า เพื่อบ้านที่มาเยี่ยมก็แนะนำให้ผ่า ซึ่งม้ามมันโตมากแล้ว มันดูดเลือดไปหมดเพราะร่างกายไม่สามารถสร้างเลือดเองได้ แต่มันก็ลำบากเรื่องค่าใช้จ่าย เพราะไม่รู้หลังผ้าตัด จะต้องนอนพักรักษาตัวอยู่นานแค่ไหน และลูกคนเล็กกับคนที่ 2 ก็ต้องเรียนด้วยไม่มีใครดูแล เลยทำให้ลำบากใจในการตัดสินใจ และก็ไม่มีเงินที่จะไปนอนรักษาด้วย เมื่อหลายปีก่อนทาง อบต.ส่งชื่อไปขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานสงเคราะห์ ได้มา 2,000 บาท และตอนที่ผู้ว่าฯเดินทางมาที่ ต.ราม ตนก็ได้เงินช่วยเหลืออีก 2,000 บาท

หากผู้ใจบุญมีจิตศรัทธาอยากช่วยเหลือ สามารถโทรฯสอบถามได้ที่เบอร์ของ นายอนุชิต โทรฯ 080-174-5803.

ขอบคุณ... https://www.dailynews.co.th/regional/726532

ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 18 ส.ค.62
วันที่โพสต์: 19/08/2562 เวลา 13:02:45 ดูภาพสไลด์โชว์ ช่วยน้ำท่วมกทม.ขาติดเชื้อ-ตัดทิ้ง ยังสู้เลี้ยงลูก3คนลำพัง