เสียงเหยื่อเมาแล้วขับที่ขอสู้ รอดตายแต่พิการตลอดกาล

เสียงเหยื่อเมาแล้วขับที่ขอสู้ รอดตายแต่พิการตลอดกาล

สัปดาห์นี้เปิดนาทีชีวิต หญิงสาวเล่าชั่วพริบตาหลังซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์เพื่อน รู้ตัวอีกทีเป็นพิการ เหตุเพื่อนเมาแล้วขับ ฝากเป็นอุทาหรณ์ปีใหม่กลับบ้านเดินทางปลอดภัย

วันหนึ่งถนนที่เธอคุ้นเคยและใช้เป็นเส้นทางกลับบ้านเป็นประจำ ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งไปตลอดกาล เพียงเพราะผู้ขับขี่ “เมาแล้วขับ” และหากวันนั้นเธอไม่ได้สวมหมวกกันน็อก เธอก็อาจไม่มีโอกาสได้มาถ่ายทอดเรื่องราว เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับใครอีกหลายคนในวันนี้

“วันนั้นเป็นเวลาประมาณ 3 ทุ่มเศษๆ นุชนั่งรอรถอยู่ริมถนนย่านบางแค เพื่อจะกลับเข้าบ้าน หลังจากไปทำธุระข้างนอกมา” นี่เป็นคำบอกเล่าของ “นุชจรี เหมราช” วัย 39 ปี เหยื่อบนท้องถนน จากเหตุการณ์เมาแล้วขับ ที่สะท้อนภาพความทรงจำในวันนั้นได้อย่างชัดเจน

โชคไม่ดีที่วันนั้นฝนตกหนัก ทำให้ต้องรอรถนานมากจนถึง 4 ทุ่มก็ยังไม่มีรถประจำทางมา ความบังเอิญทำให้มีเพื่อนขี่รถจักรยานยนต์ผ่านมาพอดี ซึ่งได้เอ่ยปากอาสาพาไปส่งที่บ้าน โดยที่เธอนั้นไม่ทราบว่า...เพื่อนคนนี้ได้ดื่มเหล้ามา ทันทีที่เธอสวมหมวกกันน็อกและล็อกสายรัดใต้คาง รถออกตัวไปได้เพียงไม่นาน จู่ๆ วินาทีที่รถจักรยานยนต์พุ่งชนกับรถกระบะที่จอดติดไฟแดงอยู่ด้านหน้าอย่างแรงก็เกิดขึ้น

ทุกอย่างมืดดับไปราวกับร่างกายถูกปิดสวิตช์ “นุชรู้ตัวอีกทีตอนที่กู้ภัยลากตัวออกจากใต้ท้องรถกระบะ และส่งโรงพยาบาล ตอนนั้นชาไปหมดทั้งตัวไม่รู้สึกอะไร ได้ยินพี่ๆ กู้ภัยบอกว่าหมวกกันน็อกแตกละเอียด”

หากเธอไม่สวมหมวกกันน็อก ศีรษะอาจไปกระแทกกับเพลาใต้ท้องรถกระบะหรือพื้นถนนจนเสียชีวิต หรือไม่สมองอาจถูกกระทบกระเทือน สุดท้ายก็คงไม่พ้นกลายเป็น “ผู้ป่วยติดเตียง” โดยเธอมารู้ทีหลังจากตำรวจว่า เพื่อนที่ขี่รถมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดสูง ขับเร็วและฝนตกหนัก จึงเสียหลักชนเข้ากับท้ายรถกระบะ ทำให้ตัวเธอกระเด็นเข้าไปใต้ท้องรถ จนกระดูกคอแตกทับเส้นประสาท ส่วนเพื่อนก็อาการสาหัส

“นุชยังจำภาพเหตุการณ์ในครั้งนั้น...จำได้ไม่ลืมที่ตัดสินใจซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ ที่จำได้คือพอติดสายล็อกที่หมวกเสร็จ เหมือนเรากะพริบตาแค่นั้นเองค่ะ ก็เกิดอุบัติเหตุ แล้วก็ได้ยินเสียงคนโวยวายอะไรสักอย่างแต่ฟังไม่ออก และก็มองไปรอบๆ เห็นแต่ความมืดจนเห็นแสงสว่าง แต่ขยับตัวไม่ได้”

ในวันที่เธอฟื้นลืมตาขึ้นมาสภาพร่างกายของเธอได้เปลี่ยนไป เธอกลายเป็น...ผู้พิการ แม้ขณะนั้นอายุเพียง 15 ปี และเหตุการณ์ผ่านมาแล้วกว่า 24 ปี แต่มันยังไม่ลบเลือนไปจากความทรงจำที่แสนโหดร้าย

“หมอถามว่าชื่ออะไร พ่อแม่ชื่ออะไรก็ตอบได้หมดค่ะ และก็ถามนุชวนอยู่หลายครั้งค่ะ ตอนนั้นก็งงกับหมออยู่ว่าถามทำไม” และตำรวจยังบอกอีกว่า “ดีนะที่ใส่หมวกกันน็อก” เหตุการณ์ครั้งนั้นมันทำให้เธอคิดว่า อุบัติเหตุเกิดได้ทุกวินาที แต่ขึ้นอยู่กับว่าอุบัติเหตุครั้งนั้นมันสร้างบาดแผลทำให้เราเจ็บปวดใจและกายมากน้อยแค่ไหน ความกลัวที่ต้องเผชิญกับคำว่า พิการไปตลอด เราจะก้าวข้ามผ่านความพิการลุกขึ้นเริ่มนับ 1 ได้อีกเมื่อไหร่กัน

โดยกำลังใจจากครอบครัว คือ...แรงผลักดันให้มีลมหายใจต่อไป ซึ่งเธอบอกว่า “หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น นุชต้องหยุดพักการเรียน รักษาตัวที่ห้องฉุกเฉิน 3 เดือน จากนั้นนอนโรงพยาบาลเกือบปี ทำกายภาพต่อเนื่อง” สิ่งหนึ่งที่ชื่นชอบเรียนแล้วมีความสุขมากๆ คือ “ภาษา” ความฝันที่อยากเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินต้องจบลง แต่เมื่อชีวิตถูกกำหนดให้เป็นพิการ จนกระทั่งปี 51 ถึงปัจจุบันเธอได้ใช้ความรู้ที่มีอยู่ ทำงานเป็น call center ของบริษัทกลาง คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ซึ่งเป็นโครงการช่วยเหลือคนพิการให้มีงานทำ เนื่องจากสามารถทำงานที่บ้านได้ และคอยย้ำบอกทุกคนผ่านเสียง เพียงหวังให้ผู้อื่นไม่ประสบกับความโชคร้ายเหมือนอย่างเธอ

เรื่องราวของเธอที่เกิดอุบัติเหตุช่วงปลายปี 2536 นับเป็นเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตของเธอไปตลอดกาล ทุกวันนี้เพื่อนคนนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกัน แต่แม่ของเธอก็คอยพูดคุยและให้กำลังใจจนตอนนี้กลับมาลุกขึ้นเริ่มนับ 1 ใหม่ได้ มีงานทำสามารถดูแลตัวเองและดูแลแม่ได้ และที่เธอไม่เคยลืม คือ “หมวกกันน็อก” เพื่อนที่แม้ไม่มีชีวิต แต่วันนั้นช่วยรักษาชีวิตเธอไว้จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น

“นุชเคยคิดอยากฆ่าตัวตาย ช่วงแรกก็รู้สึกเสียใจ รู้สึกท้อแท้ มันบอกไม่ถูกค่ะ จากคนที่เดินได้ปกติ ช่วยเหลือพ่อแม่ได้ กลับมาเป็นภาระให้พ่อแม่ และที่รู้สึกแย่ไปกว่านั้นคือสงสารแม่ค่ะ เพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระของพ่อแม่ ทำให้แม่ต้องหยุดงานเพื่อดูแลเรา พ่อก็ต้องเป็นเรี่ยวแรงสำคัญเพียงคนเดียว ทำงานเลี้ยงดูลูกๆ ทั้ง 3 คน แต่กำลังใจจากครอบครัว ทำให้เราฉุกคิด และอยากกลับมาช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุด”

ช่วงเทศกาลปีใหม่ที่จะมาถึง เธอจึงอยากเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยกระตุกความคิด และปรับพฤติกรรมการใช้รถใช้ถนนของคนในสังคม...รำลึกถึงผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรบนท้องถนนแห่งโลก (World Day of Remembrance for Road Traffic Victims) ตามโครงการความคิดริเริ่มเพื่อความปลอดภัยทางถนนทั่วโลก โดยมูลนิธิบลูมเบิร์กเพื่อสาธารณประโยชน์ (Bloomberg Philanthropies Initiative for Global Road Safety)

“นุชอยากให้ทุกคนที่ใช้รถใช้ถนน ตระหนักถึงความปลอดภัยในการใช้รถ ใส่หมวกกันน็อก คาดเข็มขัดนิรภัย มีวินัย เคารพกฎจราจร ไม่ประมาท คุณทำได้ เพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นแค่เสี้ยววินาทีความสูญเสียก็เกิดขึ้นแล้ว ขอให้ปีใหม่นี้กลับบ้านเดินทางปลอดภัย เมาไม่ขับนะคะ”

ขอบคุณ... https://www.dailynews.co.th/article/684964

ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 30 ธ.ค.61
วันที่โพสต์: 2/01/2562 เวลา 10:16:22 ดูภาพสไลด์โชว์ เสียงเหยื่อเมาแล้วขับที่ขอสู้ รอดตายแต่พิการตลอดกาล