จากชายที่ต้องกลายเป็นคนพิการในชั่วข้ามคืน มาเป็นผู้นำกลุ่มพุทธวจนในกรุงเบอร์ลินได้อย่างไร

จากชายที่ต้องกลายเป็นคนพิการในชั่วข้ามคืน มาเป็นผู้นำกลุ่มพุทธวจนในกรุงเบอร์ลินได้อย่างไร

สรรพสิทธิ์ จิตรจันทร์ ต้องกลายเป็นคนที่พูดไม่ได้ในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน การใช้ชีวิตแบบ ปล่อยวางและยึดธรรมะเป็นหลัก ทำให้เขาฝ่ามรสุมชีวิตที่ต้องเผชิญตั้งแต่ในช่วงวัยรุ่นมาได้

สรรพสิทธิ์ มาจากครอบครัวที่มีฐานะยากจนใน อ. พิบูลมังสาหาร จ. อุบลราชธานี เขาเป็นลูกคนกลางในจำนวน 3 คน พ่อซึ่งเป็นบุคคลที่เขายึดถือเป็นแบบอย่าง ล้มป่วยและเสียชีวิตขณะเขามีอายุได้เพียง 14 ปี เหลือเพียงเขากับพี่และน้องที่อยู่กับแม่

ชั่วข้ามคืน

จากเด็กอีสานสรรพสิทธิ์ ตัดสินใจมุ่งหน้าสู่ภาคตะวันออก ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนในจังหวัดชลบุรี ระหว่างที่เรียนชั้น ปวช.ปีที่ 3 สรรพสิทธิ์เคยป่วยเป็นไข้จนต้องหยุดเรียนหลายสัปดาห์ และอาศัยเพียงยาแก้ปวดบรรเทาอาการ

จากชายที่ต้องกลายเป็นคนพิการในชั่วข้ามคืน มาเป็นผู้นำกลุ่มพุทธวจนในกรุงเบอร์ลินได้อย่างไร

ในช่วงที่เขาป่วยอยู่ เขาทราบข่าวว่าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จไปยัง อ.นาเกลือ จ.ชลบุรี เขารีบขี่มอเตอร์ไซค์เพื่อไปรับเสด็จที่โรงเรียน แต่เมื่อไปถึงเขากลับเป็นลมหมดสติ และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลบางละมุง เมื่อฟื้นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น เขาพบว่าตัวเองพูดไม่ได้อีกแล้ว

"วันนั้นหน้ามืด ตาลาย แขนขาไม่มีแรง และเป็นลมหมดสติไป ถูกพาส่งโรงพยาบาลไม่รู้สึกตัวอยู่ 2 วัน พอได้สติก็พูดไม่ได้แล้ว" สรรพสิทธิ์เขียนเล่าเรื่องราวผ่านจอไอแพด ซึ่งเป็นวิธีการสื่อสารแทนการพูดที่สะดวกสำหรับเขา

ครอบครัวตัดสินใจรับตัวเขากลับไปอยู่อุบลฯ เขาไปหาหมอ แต่ไม่ได้รับการตรวจรักษาอย่างละเอียด เพราะไม่มีเงิน หมอทำได้แค่ให้ยาตามอาการ

"แม่พากลับอุบลฯ ไปโรงพยาบาล แต่ต้องเสียค่าตรวจ 5,000 บาท ไม่มีเงินจะซื้อชีวิตเลยต้องกลับบ้านไป แบบหมดหวัง นึกถึงวันนั้นทีไรก็ร้องไห้ทุกที" สรรพสิทธิ์เล่า

ช่วงที่ป่วยใหม่ ๆ เขามีสติและรู้ตัวดี แต่ร่างกายไม่มีแรง เดินเหินไม่คล่อง หมอบอกเขาว่าหมดทางรักษา เพราะไม่ทราบสาเหตุ เขาหันไปพึ่งแพทย์แผนโบราณ แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น ความรู้สึกอึดอัดที่พูดไม่ได้ ทำให้รู้สึกทุกข์กายทุกข์ใจจนอยากตาย

ฝันสลายเมื่อกลายเป็นคนพิการ

ในวัยเด็กสรรพสิทธิ์มีอาชีพในฝันหลายอย่าง ทั้งครู นักธุรกิจ อัยการ พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน และมัคคุเทศก์ แต่เมื่อมาป่วย เขารู้ดีว่าความฝันเหล่านั้นพังทลายลงแล้ว มีเพื่อนคนหนึ่งแนะนำให้เรียน ฝึกอาชีพสำหรับคนพิการ แต่เขากลับรู้สึกโกรธ เพราะทำใจยอมรับความพิการไม่ได้ และปล่อยเวลาล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ เพียงหวังว่าจะหายเป็นปกติสักวันหนึ่ง

แต่เพื่อนคนเดิมยังคอยให้กำลังใจ และให้ข้อคิดว่าการมีความรู้ด้านวิชาชีพ จะทำให้สามารถมีรายได้เป็นของตัวเอง ไม่ต้องเป็นภาระของใคร เขาจึงตัดสินใจลุกขึ้นสู้

จากชายที่ต้องกลายเป็นคนพิการในชั่วข้ามคืน มาเป็นผู้นำกลุ่มพุทธวจนในกรุงเบอร์ลินได้อย่างไร

รรพสิทธิ์ผ่านการสอบคัดเลือกได้เข้าเรียน ร.ร. อาชีวพระมหาไถ่ หลักสูตรการพัฒนาระบบสารสนเทศ

"หลังป่วย 4 ปี ต้องไปอยู่โรงเรียนกินนอนคนพิการที่พัทยา รับตัวเองไม่ได้ที่ต้องไปใช้ชีวิตกับคนพิการเยอะ เพราะคิดว่าเราไม่ใช่คนพิการ"

การใช้ชีวิตที่นี่ทำให้สรรพสิทธิ์เริ่มเปิดใจรับความหลากหลายในชีวิต รู้สึกประทับใจในความรัก ความเมตตา ความอบอุ่นที่ได้รับ และเริ่มรู้สึกปลงมากขึ้น

โชคชะตาเล่นตลกอีกครั้ง

ในปี 2552 สรรพสิทธิ์ได้พบกับคนรักชาวเยอรมันที่เมืองไทย หลังจากคบหากันได้ระยะหนึ่งทั้งสองคน ตัดสินใจย้ายมาใช้ชีวิตที่กรุงเบอร์ลินในปี 2554 ด้วยความหวังว่าจะได้รับการรักษาจากแพทย์ที่เยอรมนี และอาจมีโอกาสหายขาดได้ แต่คนรักของเขากลับเสียชีวิตลงอย่างกะทันหันในปีถัดไป

"ป๋าเป็นไข้ จริง ๆ หายดีแล้ว แต่ไปหาหมอเพื่อความมั่นใจ หมอให้นอนพักที่โรงพยาบาล ตั้งใจว่าจะ กลับบ้านวันรุ่งขึ้น แต่นอนตายไปเฉย ๆ" แพทย์ลงความเห็นว่าคนรักเสียชีวิต จากภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน

หลังจากนั้นสรรพสิทธิ์ก็ใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเบอร์ลินโดยลำพัง ใช้เวลาว่างเรียนภาษาเยอรมัน และลงทะเบียนเรียนคณะนิติศาสตร์ที่ ม. รามคำแหง เขาบินกลับไปสอบที่ไทยปีละ 2 ครั้ง

สามปีหลังการเสียชีวิตของสามี สรรพสิทธิ์เริ่มศึกษาธรรมะและพุทธวจน (คำสอนจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า) และนำคำสอนเหล่านั้นมาเป็นหลักในการดำเนินชีวิต เขาเรียนธรรมะจากหนังสือและ ฟังเทปบรรยายธรรม

"หลายคนบอกว่าสงสาร ก็ขอขอบคุณในน้ำใจที่มีเมตตา แต่อยากให้ทุกคนเก็บเรื่องราวของผม เป็นเครื่องเตือนสติว่าโลกนี้ไม่มีอะไรที่มั่นคงถาวรและอยู่กับเราได้ตลอด"

พบทางสว่าง

ปัจจุบันสรรพสิทธิ์เป็นผู้นำกลุ่มพุทธวจนที่กรุงเบอร์ลิน ที่มีชาวไทยและต่างชาติมาร่วมแลกเปลี่ยน ความรู้และสนทนาธรรมกันที่บ้านของเขาเดือนละครั้ง

"ความสุขของผมคือการได้อยู่กับธรรมะ ได้ฟังได้ศึกษา ปฏิบัติ เผยแผ่ตามโอกาส มีความสุขที่ได้อยู่กับ พุทธวจน ไม่มีอะไรจะประเสริฐไปกว่านี้แล้ว คนเราเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมไปพร้อมกันได้"

ทุกวันนี้เขาปล่อยวางในเรื่องความป่วยของตัวเอง

"อย่าประมาทกับชีวิต วันนี้อาจแข็งแรง รูปร่างหน้าตาดี มีความสุข มีแฟน มีเพื่อน แต่พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรไม่รู้ ใครรักคุณ คุณรักใคร จงทำดีกับพวกเขาให้มาก ๆ คนที่ด้อยกว่าเราในวันนี้ วันข้างหน้าอาจเป็นคนที่เหนือกว่าคุณ ควรใช้ชีวิตด้วยการเผื่อใจ เปิดใจ และแบ่งใจ เชื่อว่าการทำความดีจะส่งผลให้เรามีชีวิตที่ดีกว่าเดิม"

ขอบคุณ... https://www.bbc.com/thai/features-45559806

ที่มา: bbc.com /มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 23 ต.ค.61
วันที่โพสต์: 25/10/2561 เวลา 10:33:50 ดูภาพสไลด์โชว์ จากชายที่ต้องกลายเป็นคนพิการในชั่วข้ามคืน มาเป็นผู้นำกลุ่มพุทธวจนในกรุงเบอร์ลินได้อย่างไร