น.1 แจงเหตุไม่แจ้ง “ฆ่าโดยไตร่ตรอง” แก๊งโจ๋รุมชายพิการ ชี้หลักฐานไม่ถึง ยันลูกตำรวจผิดก็ว่าไปตาม กม.
น.1 แจงไม่แจ้งข้อหา “ฆ่าโดยไตร่ตรอง” กลุ่มวัยรุ่นรุมทำร้ายชายพิการเสียชีวิต เหตุหลักฐานที่ปรากฏยังไม่ถึง หากจะแจ้งข้อหาดังกล่าวต้องมีเจตนาที่ตระเตรียมไว้ล่วงหน้าก่อนมาก่อเหตุ รับสอบปากคำ 6 ผู้ต้องหารับต้องการมาช่วยเพื่อนฝากให้ปรับมุมมองลูกหลานใครผิดก็ต้องดำเนินคดียันให้ความสำคัญและเชื่อพยานฝั่งผู้ตาย
เมื่อวันที่ (16 พ.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รรท.ผบช.น. พร้อม พล.ต.ต.นันทชาติ ศุภมงคล ผบก.น.4 พ.ต.อ.น้ำเพชร ทรัพย์อุดม ผกก.(สอบสวน) บก.น.4 พ.ต.อ.ชัยรพ จุณณวัตต์ ผกก.สน.โชคชัย พร้อมทีมพนักงานสอบสวน สน.โชคชัย ร่วมแถลงข่าวชี้แจงกรณีกลุ่มวัยรุ่น 7 คนรุมทำร้ายชายพิการเสียชีวิต โดยเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาทนายความเข้าร้องเรียนต่อ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดาผบ.ตร.ให้แจ้งข้อหาเพิ่มว่าฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามป.อาญา289
พล.ต.ท.ศานิตย์กล่าวว่า ขอทำความเข้าใจกับประชาชนที่ยังไม่รู้ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ต้องดำเนินการไปร่วมกัน ตนยืนยันได้ว่าหากไม่ใช่ลูกตำรวจผู้ต้องหาทั้ง 6 คนคงยังหลบหนีอยู่ รวมถึงผู้ต้องหาหญิงอีก 1 รายก็คงไม่เข้ามอบตัวและรับทราบข้อหา โดยขณะนี้ทั้ง 7 รายถูกแจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา, บุกรุกเคหสถาน และพกพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งในกรณีที่มีการร้องขอให้ตำรวจเพิ่มเป็นข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้น ต้องดูจากพยานหลักฐาน และข้อเท็จจริง โดยขณะนี้ข้อเท็จจริงที่ปรากฏยังไปไม่ถึงตรงนั้น และยังไม่สามารถแจ้งข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนได้ แต่ยืนยันว่าขณะนี้ยังอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานหากพบข้อเท็จจริงเพิ่มที่นำไปสู่การเพิ่มข้อหาได้นั้นตนก็จะเพิ่มอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ขอชี้แจงว่าการที่จะเข้าสู่ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้น ต้องพบว่าการก่อเหตุดังกล่าวมีการคิดมาก่อน มีการตระเตรียมการไว้ล่วงหน้าก่อนจะมาฆ่า แต่กรณีดังกล่าวนั้นแม้จะฝั่งผู้ต้องหาจะโทรศัพท์เรียกเพื่อนให้มาช่วยขณะที่กำลังต่อสู้กับผู้เสียชีวิต แต่ต้องพิจารณาว่าการที่เพื่อนมาช่วย แม้ว่าจะนำอาวุธติดตัวมาด้วยนั้น เป็นการนำมาเพื่อป้องกันตัวเองและมาช่วยเพื่อน หรือมีเจตนามาฆ่าผู้ตายอยู่แล้ว แต่จากการสอบปากคำชายทั้ง 6 คนให้การว่าทุกคนเพียงต้องการมาช่วยเพื่อน และป้องกันตัว ไม่ได้ตั้งใจเอาอาวุธมาเพื่อฆ่าผู้ตายเมื่อข้อเท็จจริงจากหลักฐานและการสอบปากคำเป็นเช่นนี้จะให้แจ้งข้อหาเพิ่มได้อย่างไร
ด้านผู้สื่อข่าวถามว่า ทางทนายตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดตำรวจไม่แจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งเป็นข้อหาที่มีโทษหนักกว่า แล้วให้ทางอัยการและศาลเป็นผู้พิจารณาเอง พล.ต.ท.ศานิตย์กล่าวว่า การตั้งข้อหาตามกระแส หรือความรู้สึกส่วนตัว หรือแจ้งไปก่อนดังที่กล่าวนั้น ทำให้พนักงานสอบสวนตกต่ำ เพราะหากคิดเพียงว่าแจ้งไว้ก่อน ทั้งที่ข้อเท็จจริงไม่ได้เป็นตามนั้นก็เสมือนเป็นการกลั่นแกล้ง ลดความน่าเชื่อถือของพนักงานสอบสวน และการทำงานไม่เป็นมืออาชีพ และขอถามกลับกันว่าหากฝั่งผู้ต้องหาเป็นลูกหลานของทุกคน แล้วข้อเท็จจริงที่พบไม่ปรากฏถึงข้อหาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แต่ตำรวจกลับแจ้งข้อหาดังกล่าว ทุกคนจะรู้สึกอย่างไร อย่างไรก็ตามตนยืนยันว่าการแจ้งข้อหาทุกข้อหาต้องเป็นไปตามพฤติการณ์ทางคดี ทั้งนี้ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตาม ป.อาญา ม.288 ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15-20 ปี ขณะที่ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตาม ป.อาญา ม. 289 นั้นระวางโทษประหารชีวิต ซึ่งทั้งสองมาตราก็มีโทษสูงสุดคือประหารชีวิตอยู่แล้ว และก็เหมือนกัน ต่างกันแค่ข้อเท็จจริงเท่านั้นหากการกระทำเข้าข่ายมาตราไหนก็ต้องแจ้งตามมาตรานั้น
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่ มีผู้ต้องหา 4 รายเป็นลูกหลานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้สังคมตั้งข้อสงสัยว่าจะดำเนินคดีไม่เป็นธรรมหรือไม่ พล.ต.ท.ศานิตย์กล่าวว่า ตนอยากให้ทุกคนทำใจเป็นกลาง ไม่อยากให้มองว่าเป็นลูกหลานตำรวจ ลูกหลานนักข่าว หรือลูกหลานข้าราชการหรือคนใหญ่โต แต่อยากให้มองว่าเป็นลูกหลานประชาชนธรรมดา เมื่อผิดก็ต้องถูกดำเนินคดี แต่ก็ต้องให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ต้องหาด้วย ดังที่ตนบอกว่าคดีดังกล่าวตำรวจให้ความสำคัญและเชื่อฝั่งผู้ตายอยู่แล้ว จะเห็นได้จากภาพกล้องวงจรปิดที่กรณีผู้ต้องหาบุกเข้าไปในร้านนั้น จากกล้องปรากฏภาพผู้ต้องหาเพียง 2 คน แต่หลานชายผู้ตายยืนยันว่า 4 คน ตำรวจก็ตั้งข้อหาบุกรุก 4 คนตามที่ฝั่งผู้ตายยืนยัน ส่วนหญิงที่ถูกจับอีก 1 รายนั้น เมื่อทางฝั่งผู้ตายยืนยันว่ามีการพูดยุงยง พร้อมยังมีพยานที่เป็นคนถ่ายคลิปยืนยัน ตนก็แจ้งข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ด้วย เพราะก็เปรียบเสมือนตัวการให้ก่อเหตุดังกล่าวเช่นกันตนจึงยืนยันว่าตำรวจให้ความเป็นธรรมและเชื่อทางฝั่งผู้ตายและพยานมากกว่าอยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า ผู้ตายผิดอะไรหรือไม่ พล.ต.ท.ศานิตย์กล่าวว่า มีข้อเท็จจริงอยู่แล้ว เชื่อว่าหลายคนคงทราบเหตุการณ์ก่อนหน้าที่จะมีการแทงฟันกันจนถึงแก่ความตายว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก่อนบ้าง รายละเอียดตรงนั้นตนขอไม่พูดถึง เพราะไม่อยากให้กระทบจิตใจใคร และเนื่องจากผู้ตายพูดไม่ได้ และเป็นการให้เกียรติผู้ตายจึงขออนุญาตไม่พูดถึงรายละเอียดดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ผู้เสียหายสามารถเป็นโจทก์ร่วมได้หากรู้สึกว่าคดีดังกล่าวไม่ได้รับความเป็นธรรม
ขอบคุณ... http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9590000049309 (ขนาดไฟล์: 166)
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
น.1 แจงเหตุไม่แจ้ง “ฆ่าโดยไตร่ตรอง” แก๊งโจ๋รุมชายพิการ ชี้หลักฐานไม่ถึง ยันลูกตำรวจผิดก็ว่าไปตาม กม. น.1 แจงไม่แจ้งข้อหา “ฆ่าโดยไตร่ตรอง” กลุ่มวัยรุ่นรุมทำร้ายชายพิการเสียชีวิต เหตุหลักฐานที่ปรากฏยังไม่ถึง หากจะแจ้งข้อหาดังกล่าวต้องมีเจตนาที่ตระเตรียมไว้ล่วงหน้าก่อนมาก่อเหตุ รับสอบปากคำ 6 ผู้ต้องหารับต้องการมาช่วยเพื่อนฝากให้ปรับมุมมองลูกหลานใครผิดก็ต้องดำเนินคดียันให้ความสำคัญและเชื่อพยานฝั่งผู้ตาย เมื่อวันที่ (16 พ.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รรท.ผบช.น. พร้อม พล.ต.ต.นันทชาติ ศุภมงคล ผบก.น.4 พ.ต.อ.น้ำเพชร ทรัพย์อุดม ผกก.(สอบสวน) บก.น.4 พ.ต.อ.ชัยรพ จุณณวัตต์ ผกก.สน.โชคชัย พร้อมทีมพนักงานสอบสวน สน.โชคชัย ร่วมแถลงข่าวชี้แจงกรณีกลุ่มวัยรุ่น 7 คนรุมทำร้ายชายพิการเสียชีวิต โดยเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาทนายความเข้าร้องเรียนต่อ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดาผบ.ตร.ให้แจ้งข้อหาเพิ่มว่าฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามป.อาญา289 พล.ต.ท.ศานิตย์กล่าวว่า ขอทำความเข้าใจกับประชาชนที่ยังไม่รู้ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ต้องดำเนินการไปร่วมกัน ตนยืนยันได้ว่าหากไม่ใช่ลูกตำรวจผู้ต้องหาทั้ง 6 คนคงยังหลบหนีอยู่ รวมถึงผู้ต้องหาหญิงอีก 1 รายก็คงไม่เข้ามอบตัวและรับทราบข้อหา โดยขณะนี้ทั้ง 7 รายถูกแจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา, บุกรุกเคหสถาน และพกพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งในกรณีที่มีการร้องขอให้ตำรวจเพิ่มเป็นข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้น ต้องดูจากพยานหลักฐาน และข้อเท็จจริง โดยขณะนี้ข้อเท็จจริงที่ปรากฏยังไปไม่ถึงตรงนั้น และยังไม่สามารถแจ้งข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนได้ แต่ยืนยันว่าขณะนี้ยังอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานหากพบข้อเท็จจริงเพิ่มที่นำไปสู่การเพิ่มข้อหาได้นั้นตนก็จะเพิ่มอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ขอชี้แจงว่าการที่จะเข้าสู่ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้น ต้องพบว่าการก่อเหตุดังกล่าวมีการคิดมาก่อน มีการตระเตรียมการไว้ล่วงหน้าก่อนจะมาฆ่า แต่กรณีดังกล่าวนั้นแม้จะฝั่งผู้ต้องหาจะโทรศัพท์เรียกเพื่อนให้มาช่วยขณะที่กำลังต่อสู้กับผู้เสียชีวิต แต่ต้องพิจารณาว่าการที่เพื่อนมาช่วย แม้ว่าจะนำอาวุธติดตัวมาด้วยนั้น เป็นการนำมาเพื่อป้องกันตัวเองและมาช่วยเพื่อน หรือมีเจตนามาฆ่าผู้ตายอยู่แล้ว แต่จากการสอบปากคำชายทั้ง 6 คนให้การว่าทุกคนเพียงต้องการมาช่วยเพื่อน และป้องกันตัว ไม่ได้ตั้งใจเอาอาวุธมาเพื่อฆ่าผู้ตายเมื่อข้อเท็จจริงจากหลักฐานและการสอบปากคำเป็นเช่นนี้จะให้แจ้งข้อหาเพิ่มได้อย่างไร ด้านผู้สื่อข่าวถามว่า ทางทนายตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดตำรวจไม่แจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งเป็นข้อหาที่มีโทษหนักกว่า แล้วให้ทางอัยการและศาลเป็นผู้พิจารณาเอง พล.ต.ท.ศานิตย์กล่าวว่า การตั้งข้อหาตามกระแส หรือความรู้สึกส่วนตัว หรือแจ้งไปก่อนดังที่กล่าวนั้น ทำให้พนักงานสอบสวนตกต่ำ เพราะหากคิดเพียงว่าแจ้งไว้ก่อน ทั้งที่ข้อเท็จจริงไม่ได้เป็นตามนั้นก็เสมือนเป็นการกลั่นแกล้ง ลดความน่าเชื่อถือของพนักงานสอบสวน และการทำงานไม่เป็นมืออาชีพ และขอถามกลับกันว่าหากฝั่งผู้ต้องหาเป็นลูกหลานของทุกคน แล้วข้อเท็จจริงที่พบไม่ปรากฏถึงข้อหาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แต่ตำรวจกลับแจ้งข้อหาดังกล่าว ทุกคนจะรู้สึกอย่างไร อย่างไรก็ตามตนยืนยันว่าการแจ้งข้อหาทุกข้อหาต้องเป็นไปตามพฤติการณ์ทางคดี ทั้งนี้ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตาม ป.อาญา ม.288 ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15-20 ปี ขณะที่ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตาม ป.อาญา ม. 289 นั้นระวางโทษประหารชีวิต ซึ่งทั้งสองมาตราก็มีโทษสูงสุดคือประหารชีวิตอยู่แล้ว และก็เหมือนกัน ต่างกันแค่ข้อเท็จจริงเท่านั้นหากการกระทำเข้าข่ายมาตราไหนก็ต้องแจ้งตามมาตรานั้น ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่ มีผู้ต้องหา 4 รายเป็นลูกหลานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้สังคมตั้งข้อสงสัยว่าจะดำเนินคดีไม่เป็นธรรมหรือไม่ พล.ต.ท.ศานิตย์กล่าวว่า ตนอยากให้ทุกคนทำใจเป็นกลาง ไม่อยากให้มองว่าเป็นลูกหลานตำรวจ ลูกหลานนักข่าว หรือลูกหลานข้าราชการหรือคนใหญ่โต แต่อยากให้มองว่าเป็นลูกหลานประชาชนธรรมดา เมื่อผิดก็ต้องถูกดำเนินคดี แต่ก็ต้องให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ต้องหาด้วย ดังที่ตนบอกว่าคดีดังกล่าวตำรวจให้ความสำคัญและเชื่อฝั่งผู้ตายอยู่แล้ว จะเห็นได้จากภาพกล้องวงจรปิดที่กรณีผู้ต้องหาบุกเข้าไปในร้านนั้น จากกล้องปรากฏภาพผู้ต้องหาเพียง 2 คน แต่หลานชายผู้ตายยืนยันว่า 4 คน ตำรวจก็ตั้งข้อหาบุกรุก 4 คนตามที่ฝั่งผู้ตายยืนยัน ส่วนหญิงที่ถูกจับอีก 1 รายนั้น เมื่อทางฝั่งผู้ตายยืนยันว่ามีการพูดยุงยง พร้อมยังมีพยานที่เป็นคนถ่ายคลิปยืนยัน ตนก็แจ้งข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ด้วย เพราะก็เปรียบเสมือนตัวการให้ก่อเหตุดังกล่าวเช่นกันตนจึงยืนยันว่าตำรวจให้ความเป็นธรรมและเชื่อทางฝั่งผู้ตายและพยานมากกว่าอยู่แล้ว ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า ผู้ตายผิดอะไรหรือไม่ พล.ต.ท.ศานิตย์กล่าวว่า มีข้อเท็จจริงอยู่แล้ว เชื่อว่าหลายคนคงทราบเหตุการณ์ก่อนหน้าที่จะมีการแทงฟันกันจนถึงแก่ความตายว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก่อนบ้าง รายละเอียดตรงนั้นตนขอไม่พูดถึง เพราะไม่อยากให้กระทบจิตใจใคร และเนื่องจากผู้ตายพูดไม่ได้ และเป็นการให้เกียรติผู้ตายจึงขออนุญาตไม่พูดถึงรายละเอียดดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ผู้เสียหายสามารถเป็นโจทก์ร่วมได้หากรู้สึกว่าคดีดังกล่าวไม่ได้รับความเป็นธรรม ขอบคุณ... http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9590000049309
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)