ดอกบัวแห่งความหวัง ฝั่งฝันบ้านเรียนชวนชื่น

แสดงความคิดเห็น

ดอกบัวประดิษฐ์จากฝีมือเด็กออทิสติก

ผลวิจัยโครงการคนไทยมอนิเตอร์ มูลนิธิเพื่อ “คนไทย” 100,000 คนทั่วประเทศ พบว่า หนึ่งในกุญแจสำคัญ ที่จะเปิดประตูไปสู่สังคมที่ดีขึ้น ได้แก่ พลังของครอบครัว รวมไปถึงการศึกษาที่ได้รับการออกแบบเพื่อพัฒนาเยาวชนได้อย่างเต็มศักยภาพและ นี่อาจเป็นอีกชุมชนหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงพลังดังกล่าวได้อย่าง ชัดเจน... ชุมชนพ่อแม่“บ้านเรียนชวนชื่น”...บ้านเรียนสำหรับเด็กพิเศษที่มีอาการออทิสติกแห่งปทุมธานี

เมื่อไม่นานมานี้ ในหน้าจอทีวีมีชื่อของเด็กๆ จากบ้านเรียนชวนชื่นปรากฏขึ้น ด้วยการร้องเพลงหมู่อย่างน่ารักซาบซึ้งใจ ในรายการ “ไทยแลนด์ ก็อตทาเลนต์” อันโด่งดัง พร้อมกับคำพูดเรียกน้ำตาผู้ชมทั่วประเทศ

วันนั้นคุณครูแถลงว่า โรงเรียนกำลังจะต้องปิดตัวลง ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อได้เพราะขาดทุนทรัพย์ เนื่องจากเมื่อราว 7-8 ปีก่อนเกิดไฟไหม้โรงเรียน จึงจำเป็นต้องหาทุนทรัพย์มาซ่อมแซม และสร้างอาคาร แต่เดิมนั้น บ้านเรียนชวนชื่นอยู่ใต้เงาของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง พึ่งพาทุนทรัพย์จากบริษัทแห่งนี้ แต่บริษัทดังกล่าวต้องมาประสบมรสุมในยุคฟองสบู่แตกทำให้ต้องปิดกิจการและเป็นหนี้ธนาคาร

หลังออกรายการทีวี ยอดวิวในเฟซบุ๊กพุ่งแรงและคลิปการแสดงของเด็กๆที่นำลงเว็บไซต์ยูทูบ มีผู้ชมเป็นแสนวิว... น้ำใจและแรงศรัทธาของผู้คนหลั่งไหลไปยังบ้านเรียนชวน ชื่นในรูปของ “การบริจาค” หากแต่ฝ่ายบริหารของโรงเรียน“ปฏิเสธ”โดยสิ้นเชิง

เหตุผล เพราะไม่ได้ต้องการขอเงินฟรี สิ่งที่ทำลงไปเพียงแค่ขอที่ยืนให้กับเด็กๆ และให้สังคมยอมรับถึงความสามารถของเด็กกลุ่มนี้ ในงานวิจัยเกี่ยวกับเด็กพิเศษได้แบ่งเด็กเหล่านี้ออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มที่หนึ่ง...เป็นพวกที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ต้องมีพ่อแม่หรือคนดูแลตลอดเวลา กลุ่มที่สอง...สามารถช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง อาบน้ำ กินข้าว แปรงฟันได้ แต่ไม่สามารถทำงานได้ และ กลุ่มที่สาม...สามารถดูแลตัวเองและทำงานที่ไม่ซับซ้อนได้ เด็กกลุ่ม ที่ 3 นี้ คือ เหตุผลที่ทำให้ทางโรงเรียนจัดทำกิจกรรมและคิดโครงการฝึกอาชีพให้กับเด็กๆ ผ่านการทำสินค้าของที่ระลึกโดยฝีมือเด็กพิเศษที่เรียกว่า “บัวมหามิตร”เพื่อแลกเปลี่ยนกับจิตศรัทธาของผู้คน

นพ.ระพล พูลสวัสดิ์กิติกูล นายแพทย์ผู้ชำนาญการ รักษาการผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี คุณพ่อน้องเบส ประธานกลุ่มพ่อแม่บ้านเรียนชวนชื่น เล่าว่า “เราคิดว่า ถ้าเราเอาเด็กมาฝึกให้เขาสามารถทำอะไรได้จะลดภาระของครอบครัว คนรอบข้างและลดภาระของสังคมลงได้ เด็กแต่ละคนมีศักยภาพไม่เหมือนกัน ถ้าเราจะให้เขาอยู่บ้านก็มีค่าเป็นศูนย์โครงการนี้เขาจะได้เรียนรู้ว่าเขาสามารถทำอะไรได้บ้าง”

สอดคล้องไปกับความเชื่อของผู้บริหาร โรงเรียนว่าแนวคิดของระบบการศึกษาไทยยังไม่สามารถตอบคำถามให้กับเด็กกลุ่ม นี้ได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเรียนร่วมกับเด็กปกติซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่ควรมีมาตรฐานที่ชัดเจนว่าเด็กออทิสติกควรเรียนรู้แบบไหน

วัดได้จากเด็กออทิสติกบางคนที่ได้ร่วมเรียนในสายวิชาชีพ มีการออกใบประกาศนียบัตรรับรองการศึกษาให้ ไม่ว่าจะในระดับใดก็ตาม ซึ่งอาจทำให้พ่อแม่หลงเข้าใจผิดว่า ลูกสามารถออกไปทำงานทัดเทียมกับคนอื่นๆได้แต่ในความเป็นจริงการบวกเลขอย่างง่ายๆเด็กกลุ่มนี้ยังทำได้ยาก

แนวคิดนี้จึงทำให้กลุ่ม พ่อแม่ที่นี่รวมตัวกันระดมเงินทุนได้ราว 2 ล้านบาท สร้างโครงการ “บัวมหามิตร” ขึ้นเมื่อ 4 เดือนก่อน โดยพัฒนามาจากชิ้นงานของ “ครูทองหล่อ” ศิลปินผลิตดอกบัวโลหะจาก จ.สุรินทร์ร่วมกับต้นแบบจาก“สวนบัวฟ้า”เว็บไซต์แหล่งรวมพันธุ์บัวที่มีอยู่ทั่วประเทศไทย

“เราพบว่า เด็กออทิสติกมีพฤติกรรมหนึ่งคือ ชอบทุบ เราจึงนำพฤติกรรมนี้แปลงศักยภาพมาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์โดยให้หันมาทุบ แผ่นโลหะแทนที่จะไปทุบอย่างอื่น เป็นวิชาชีพที่เด็กสามารถทำออกมาได้สวยงามเหมือนจริงและใช้ประโยชน์ได้ด้วยการนำไปประกอบกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ง่ายๆ”

นอกจากนั้นยังมีการพัฒนารูปแบบของดอกบัวประดิษฐ์นี้ไม่ให้เกิดอันตราย โดยการลบคม ลบมุมแหลมให้เหมาะกับเด็กๆ และเลือกต้นแบบบัวพันธุ์ดีที่ได้รับรางวัลระดับโลกอย่าง พันธุ์ควีนสิริกิติ์ พันธุ์วันวิสาข์ และพันธุ์สวยๆอีกกว่า20สายพันธุ์ “ทั้งหมดเราคิดเองมีลุงทองหล่อมาเริ่มต้นให้ โดยเด็กๆจะได้เรียนรู้ว่า สายพันธุ์บัวไทยเป็นอย่างไร เราทำเหมือนจริงลักษณะสีสันตามบัวจริงๆจนถึงวันนี้เราทำเว็บไซต์ขายงานเลย”คุณครูของเด็กๆบอก

ผลิตผลจากแนวคิดออกมาเป็นบัวโลหะสีเหมือนจริงใน รูปแบบต่างๆ ตอบแทนเงินบริจาค โดย 500 บาทจะได้เชิงเทียนไฟอิเล็กทรอนิกส์สำหรับเวียนเทียน...800 บาท สำหรับบัวชุดเล็กพร้อมรูปถ่ายและรายละเอียดของบัวพันธุ์นั้นๆ นอกจากนั้นยังมีในราคา 1,500 บาท และราคา 3,000 บาท สำหรับไซส์ใหญ่สุด

ผลงานนี้ จึงนับได้ว่า เป็นครั้งแรกของโลกที่เด็กพิเศษออกมาทำงานฝีมืออวดสังคมว่า เขาสามารถผลิตสินค้าได้สวยงามและมีคุณค่า ประธานกลุ่มย้ำว่า รัฐเองก็มีแนวคิดการศึกษาแบบคู่ขนานให้เด็กธรรมดาและเด็กพิเศษเรียนร่วมกัน สำหรับบ้านเรียนของเราผู้บริหารในเขตพื้นที่การศึกษาก็สนใจมาดูงาน อยากให้เราเป็นศูนย์เรียนรู้เป็นนวัตกรรมใหม่ แต่เราไม่ได้ตอบรับ เพราะสำหรับเราไม่ใช่แค่เด็กมาเรียนแต่พ่อแม่ต้องมาเรียนรู้ด้วยจะมาให้เด็ก ไปร้อยมะลิร้อยมาลัยเป็นอาชีพ อย่างนี้ไม่ได้ให้คุณค่ากับเด็ก ทางเราคิดว่า...จะทำอย่างไรให้เขามีแนวทางของตน

แนวโน้มประเทศของเรา เจริญขึ้น ประเทศก็พัฒนาขึ้น อีกหน่อยเด็กออทิสติกต้องออกไปในสังคม ไปทำงานร่วมกับคนปกติได้ สิ่งที่เราต้องทำคือ เราต้องยอมรับสมรรถภาพของเด็กเหล่านี้ก่อนว่าเขาทำอะไรได้แค่ไหน และเขาต้องมีที่ยืนอย่างเหมาะสม พวกเขาต้องดูแลตัวเองได้...“ผมไม่ได้คาดหวังว่า ลูกจะเติบโตไปทำงานเป็นผู้บริหารผมหวังแค่ให้เขาอยู่ในสังคมได้โดยไม่เป็นภาระกับใคร”

คุณแม่ของลูกออทิสติกท่านหนึ่ง กล่าวว่า “ครอบครัวเป็นสถาบันที่สำคัญที่สุด ถ้าพ่อแม่พี่น้องไม่ยอมรับแล้วเด็กจะอยู่ตรงไหน ถ้าเรายอมรับได้ สังคมภายนอกก็ยอมรับได้ ทุกคนต้องมีส่วนร่วมแล้วพาเขาออกสู่สังคมภายนอก ค่อยๆก้าวตามศักยภาพเด็ก ปลูกฝังกันตั้งแต่เล็กเขาจะเข้มแข็ง พ่อแม่ต้องเรียนรู้ไปพร้อมเด็กแยกกันไม่ได้ ตอนนี้ปัญหาไม่ใช่แต่เด็กพิเศษ เด็กปกติก็มีปัญหาเยอะมาก ถ้าไม่ดูแลกันดีๆ มันจะไปเติมปัญหาสังคมในองค์กรก็เช่นกันต้องช่วยกัน”

คุณหมอย้ำชัดว่า “สถาบันครอบครัวเป็นจุดเริ่มต้น เป็นเซลล์ที่มารวมกันเป็นเนื้อเยื่อเป็นอวัยวะ เมื่อสังคมแข็งแรง ประเทศชาติก็แข็งแรง” นี่อาจเป็นอีกหนทางหนึ่ง ในการผลักดันพัฒนาสังคมไทย โดยมีพ่อแม่เป็นพลังสำคัญไม่ว่าลูกจะเป็นเด็กพิเศษหรือเด็กปกติก็ตาม.

ขอบคุณ... http://www.thairath.co.th/column/pol/page1scoop/378241

ไทยรัฐออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 25 ต.ค.56

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 25 ต.ค.56
วันที่โพสต์: 25/10/2556 เวลา 05:34:16 ดูภาพสไลด์โชว์ ดอกบัวแห่งความหวัง ฝั่งฝันบ้านเรียนชวนชื่น

แสดงความคิดเห็น

รอตรวจสอบ
จัดฟอร์แม็ต ดูการแสดงผล

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

ยกเลิก

รายละเอียดกระทู้

ดอกบัวประดิษฐ์จากฝีมือเด็กออทิสติก ผลวิจัยโครงการคนไทยมอนิเตอร์ มูลนิธิเพื่อ “คนไทย” 100,000 คนทั่วประเทศ พบว่า หนึ่งในกุญแจสำคัญ ที่จะเปิดประตูไปสู่สังคมที่ดีขึ้น ได้แก่ พลังของครอบครัว รวมไปถึงการศึกษาที่ได้รับการออกแบบเพื่อพัฒนาเยาวชนได้อย่างเต็มศักยภาพและ นี่อาจเป็นอีกชุมชนหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงพลังดังกล่าวได้อย่าง ชัดเจน... ชุมชนพ่อแม่“บ้านเรียนชวนชื่น”...บ้านเรียนสำหรับเด็กพิเศษที่มีอาการออทิสติกแห่งปทุมธานี เมื่อไม่นานมานี้ ในหน้าจอทีวีมีชื่อของเด็กๆ จากบ้านเรียนชวนชื่นปรากฏขึ้น ด้วยการร้องเพลงหมู่อย่างน่ารักซาบซึ้งใจ ในรายการ “ไทยแลนด์ ก็อตทาเลนต์” อันโด่งดัง พร้อมกับคำพูดเรียกน้ำตาผู้ชมทั่วประเทศ วันนั้นคุณครูแถลงว่า โรงเรียนกำลังจะต้องปิดตัวลง ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อได้เพราะขาดทุนทรัพย์ เนื่องจากเมื่อราว 7-8 ปีก่อนเกิดไฟไหม้โรงเรียน จึงจำเป็นต้องหาทุนทรัพย์มาซ่อมแซม และสร้างอาคาร แต่เดิมนั้น บ้านเรียนชวนชื่นอยู่ใต้เงาของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง พึ่งพาทุนทรัพย์จากบริษัทแห่งนี้ แต่บริษัทดังกล่าวต้องมาประสบมรสุมในยุคฟองสบู่แตกทำให้ต้องปิดกิจการและเป็นหนี้ธนาคาร หลังออกรายการทีวี ยอดวิวในเฟซบุ๊กพุ่งแรงและคลิปการแสดงของเด็กๆที่นำลงเว็บไซต์ยูทูบ มีผู้ชมเป็นแสนวิว... น้ำใจและแรงศรัทธาของผู้คนหลั่งไหลไปยังบ้านเรียนชวน ชื่นในรูปของ “การบริจาค” หากแต่ฝ่ายบริหารของโรงเรียน“ปฏิเสธ”โดยสิ้นเชิง เหตุผล เพราะไม่ได้ต้องการขอเงินฟรี สิ่งที่ทำลงไปเพียงแค่ขอที่ยืนให้กับเด็กๆ และให้สังคมยอมรับถึงความสามารถของเด็กกลุ่มนี้ ในงานวิจัยเกี่ยวกับเด็กพิเศษได้แบ่งเด็กเหล่านี้ออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มที่หนึ่ง...เป็นพวกที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ต้องมีพ่อแม่หรือคนดูแลตลอดเวลา กลุ่มที่สอง...สามารถช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง อาบน้ำ กินข้าว แปรงฟันได้ แต่ไม่สามารถทำงานได้ และ กลุ่มที่สาม...สามารถดูแลตัวเองและทำงานที่ไม่ซับซ้อนได้ เด็กกลุ่ม ที่ 3 นี้ คือ เหตุผลที่ทำให้ทางโรงเรียนจัดทำกิจกรรมและคิดโครงการฝึกอาชีพให้กับเด็กๆ ผ่านการทำสินค้าของที่ระลึกโดยฝีมือเด็กพิเศษที่เรียกว่า “บัวมหามิตร”เพื่อแลกเปลี่ยนกับจิตศรัทธาของผู้คน นพ.ระพล พูลสวัสดิ์กิติกูล นายแพทย์ผู้ชำนาญการ รักษาการผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี คุณพ่อน้องเบส ประธานกลุ่มพ่อแม่บ้านเรียนชวนชื่น เล่าว่า “เราคิดว่า ถ้าเราเอาเด็กมาฝึกให้เขาสามารถทำอะไรได้จะลดภาระของครอบครัว คนรอบข้างและลดภาระของสังคมลงได้ เด็กแต่ละคนมีศักยภาพไม่เหมือนกัน ถ้าเราจะให้เขาอยู่บ้านก็มีค่าเป็นศูนย์โครงการนี้เขาจะได้เรียนรู้ว่าเขาสามารถทำอะไรได้บ้าง” สอดคล้องไปกับความเชื่อของผู้บริหาร โรงเรียนว่าแนวคิดของระบบการศึกษาไทยยังไม่สามารถตอบคำถามให้กับเด็กกลุ่ม นี้ได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเรียนร่วมกับเด็กปกติซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่ควรมีมาตรฐานที่ชัดเจนว่าเด็กออทิสติกควรเรียนรู้แบบไหน วัดได้จากเด็กออทิสติกบางคนที่ได้ร่วมเรียนในสายวิชาชีพ มีการออกใบประกาศนียบัตรรับรองการศึกษาให้ ไม่ว่าจะในระดับใดก็ตาม ซึ่งอาจทำให้พ่อแม่หลงเข้าใจผิดว่า ลูกสามารถออกไปทำงานทัดเทียมกับคนอื่นๆได้แต่ในความเป็นจริงการบวกเลขอย่างง่ายๆเด็กกลุ่มนี้ยังทำได้ยาก แนวคิดนี้จึงทำให้กลุ่ม พ่อแม่ที่นี่รวมตัวกันระดมเงินทุนได้ราว 2 ล้านบาท สร้างโครงการ “บัวมหามิตร” ขึ้นเมื่อ 4 เดือนก่อน โดยพัฒนามาจากชิ้นงานของ “ครูทองหล่อ” ศิลปินผลิตดอกบัวโลหะจาก จ.สุรินทร์ร่วมกับต้นแบบจาก“สวนบัวฟ้า”เว็บไซต์แหล่งรวมพันธุ์บัวที่มีอยู่ทั่วประเทศไทย “เราพบว่า เด็กออทิสติกมีพฤติกรรมหนึ่งคือ ชอบทุบ เราจึงนำพฤติกรรมนี้แปลงศักยภาพมาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์โดยให้หันมาทุบ แผ่นโลหะแทนที่จะไปทุบอย่างอื่น เป็นวิชาชีพที่เด็กสามารถทำออกมาได้สวยงามเหมือนจริงและใช้ประโยชน์ได้ด้วยการนำไปประกอบกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ง่ายๆ” นอกจากนั้นยังมีการพัฒนารูปแบบของดอกบัวประดิษฐ์นี้ไม่ให้เกิดอันตราย โดยการลบคม ลบมุมแหลมให้เหมาะกับเด็กๆ และเลือกต้นแบบบัวพันธุ์ดีที่ได้รับรางวัลระดับโลกอย่าง พันธุ์ควีนสิริกิติ์ พันธุ์วันวิสาข์ และพันธุ์สวยๆอีกกว่า20สายพันธุ์ “ทั้งหมดเราคิดเองมีลุงทองหล่อมาเริ่มต้นให้ โดยเด็กๆจะได้เรียนรู้ว่า สายพันธุ์บัวไทยเป็นอย่างไร เราทำเหมือนจริงลักษณะสีสันตามบัวจริงๆจนถึงวันนี้เราทำเว็บไซต์ขายงานเลย”คุณครูของเด็กๆบอก ผลิตผลจากแนวคิดออกมาเป็นบัวโลหะสีเหมือนจริงใน รูปแบบต่างๆ ตอบแทนเงินบริจาค โดย 500 บาทจะได้เชิงเทียนไฟอิเล็กทรอนิกส์สำหรับเวียนเทียน...800 บาท สำหรับบัวชุดเล็กพร้อมรูปถ่ายและรายละเอียดของบัวพันธุ์นั้นๆ นอกจากนั้นยังมีในราคา 1,500 บาท และราคา 3,000 บาท สำหรับไซส์ใหญ่สุด ผลงานนี้ จึงนับได้ว่า เป็นครั้งแรกของโลกที่เด็กพิเศษออกมาทำงานฝีมืออวดสังคมว่า เขาสามารถผลิตสินค้าได้สวยงามและมีคุณค่า ประธานกลุ่มย้ำว่า รัฐเองก็มีแนวคิดการศึกษาแบบคู่ขนานให้เด็กธรรมดาและเด็กพิเศษเรียนร่วมกัน สำหรับบ้านเรียนของเราผู้บริหารในเขตพื้นที่การศึกษาก็สนใจมาดูงาน อยากให้เราเป็นศูนย์เรียนรู้เป็นนวัตกรรมใหม่ แต่เราไม่ได้ตอบรับ เพราะสำหรับเราไม่ใช่แค่เด็กมาเรียนแต่พ่อแม่ต้องมาเรียนรู้ด้วยจะมาให้เด็ก ไปร้อยมะลิร้อยมาลัยเป็นอาชีพ อย่างนี้ไม่ได้ให้คุณค่ากับเด็ก ทางเราคิดว่า...จะทำอย่างไรให้เขามีแนวทางของตน แนวโน้มประเทศของเรา เจริญขึ้น ประเทศก็พัฒนาขึ้น อีกหน่อยเด็กออทิสติกต้องออกไปในสังคม ไปทำงานร่วมกับคนปกติได้ สิ่งที่เราต้องทำคือ เราต้องยอมรับสมรรถภาพของเด็กเหล่านี้ก่อนว่าเขาทำอะไรได้แค่ไหน และเขาต้องมีที่ยืนอย่างเหมาะสม พวกเขาต้องดูแลตัวเองได้...“ผมไม่ได้คาดหวังว่า ลูกจะเติบโตไปทำงานเป็นผู้บริหารผมหวังแค่ให้เขาอยู่ในสังคมได้โดยไม่เป็นภาระกับใคร” คุณแม่ของลูกออทิสติกท่านหนึ่ง กล่าวว่า “ครอบครัวเป็นสถาบันที่สำคัญที่สุด ถ้าพ่อแม่พี่น้องไม่ยอมรับแล้วเด็กจะอยู่ตรงไหน ถ้าเรายอมรับได้ สังคมภายนอกก็ยอมรับได้ ทุกคนต้องมีส่วนร่วมแล้วพาเขาออกสู่สังคมภายนอก ค่อยๆก้าวตามศักยภาพเด็ก ปลูกฝังกันตั้งแต่เล็กเขาจะเข้มแข็ง พ่อแม่ต้องเรียนรู้ไปพร้อมเด็กแยกกันไม่ได้ ตอนนี้ปัญหาไม่ใช่แต่เด็กพิเศษ เด็กปกติก็มีปัญหาเยอะมาก ถ้าไม่ดูแลกันดีๆ มันจะไปเติมปัญหาสังคมในองค์กรก็เช่นกันต้องช่วยกัน” คุณหมอย้ำชัดว่า “สถาบันครอบครัวเป็นจุดเริ่มต้น เป็นเซลล์ที่มารวมกันเป็นเนื้อเยื่อเป็นอวัยวะ เมื่อสังคมแข็งแรง ประเทศชาติก็แข็งแรง” นี่อาจเป็นอีกหนทางหนึ่ง ในการผลักดันพัฒนาสังคมไทย โดยมีพ่อแม่เป็นพลังสำคัญไม่ว่าลูกจะเป็นเด็กพิเศษหรือเด็กปกติก็ตาม. ขอบคุณ... http://www.thairath.co.th/column/pol/page1scoop/378241 ไทยรัฐออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 25 ต.ค.56

จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย

  1. เพิ่ม
  2. เพิ่ม ลบ
  3. เพิ่ม ลบ
  4. เพิ่ม ลบ
  5. เพิ่ม ลบ
  6. เพิ่ม ลบ
  7. เพิ่ม ลบ
  8. เพิ่ม ลบ
  9. เพิ่ม ลบ
  10. ลบ
เลือกการตกแต่งที่ต้องการ

ตกลง ยกเลิก

รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)

Waiting...