ชีวิตนี้เพื่อพ่อ! หนุ่มตาบอดยอดกตัญญู ดูแลพ่อติดเตียง ขอทำหน้าที่จนลมหายใจสุดท้าย
"สำเริง" หนุ่มใหญ่พิการตาบอดลูกกตัญญู แม้ต้องอยู่ในโลกมืด แต่ขอเป็นแขนขาดูแลพ่อที่แก่ชราป่วยติดเตียง ใช้ชีวิตที่เหลือ ทำหน้าที่ลูกผู้ชายตอบแทนพระคุณพ่อจนลมหายใจสุดท้าย
เมื่อชีวิตต้องเผชิญหน้ากับความมืดมิด… แต่หัวใจกลับส่องสว่างยิ่งกว่าใคร เรื่องราวของ นายสำเริง วิบูลย์ศิลป์ หนุ่มใหญ่พิการตาบอดวัย 51 ปี ผู้ที่ต้องอยู่ในโลกมืด เมื่อดวงตาทั้งสองข้างไม่สามารถมองเห็นได้ เขาเลือกที่จะเป็นแขนขาปรนนิบัติดูแล นายทา วิบูลย์ศิลป์ ผู้เป็นพ่อวัย 85 ปี ที่แก่ชราป่วยติดเตียงและแขนขาอ่อนแรง เพื่อทำหน้าที่ลูกกตัญญู
ที่บ้านหลังเล็กๆ เลขที่ 43/3 ต.วังตะเคียน อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ในแต่ละวัน “สำเริง” จะอยู่บ้านดูแลปรนนิบัติพ่อบังเกิดเกล้าตั้งแต่เช้าจดค่ำ เริ่มจากตื่นมา เขาจะเช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้า จัดข้าวปลาอาหารให้พ่อ ซึ่งพี่สาวได้ทำเตรียมไว้ให้ นั่งคุยเป็นเพื่อนพ่อตลอดทั้งวัน ผู้เป็นพ่อก็แสนจะสุขใจที่ลูกชายเป็นเพื่อนอยู่เคียงข้างในบั้นปลายชีวิต ขณะเดียวกันพ่อเองก็เปรียบเสมือนดวงตาที่คอยชี้ทางให้ลูกอยู่เสมอ
นายทา ผู้เป็นพ่อกล่าวอย่างภูมิใจว่า ตนเองป่วยแขนขาอ่อนแรงมาร่วม 10 ปี โดยเฉพาะแขนข้างซ้าย และขาทั้งสองข้าง ได้ลูกชายคอยดูและหาข้าวหาน้ำให้กิน เปลี่ยนแพมเพิส ทำความสะอาดร่างกายให้โดยไม่รังเกียจมานานกว่า 5 ปีแล้ว ตั้งแต่ภรรยาเสียชีวิตไป และลูกทั้ง 7 คน ต่างก็ไปมีครอบครัว ตนอยู่บ้านหลังนี้กับลูกสาวคนโตมาตลอด
“สำเริง” เป็นลูกชายคนที่ 4 เมื่อก่อนก็เป็นคนตาดี เขาไปทำงานที่กรุงเทพฯ หลังแยกทางกับภรรยาและกลายเป็นคนตาบอด พ่อก็สงสารลูกสุดหัวใจ และดีใจมากที่ลูกกลับบ้านมาอยู่เป็นเพื่อนพ่อ ทุกวันนี้พ่อไม่เหงา เวลาว่างก็จะนั่งคุยกัน 2 คน เพราะบางครั้งลูกสาวคนโตก็ไม่อยู่บ้าน
ด้าน “สำเริง” เล่าความหลังว่า ตั้งแต่เกิดมา ตนก็เป็นคนปกติครบ 32 ประการ ไปทำงานรับจ้างที่กรุงเทพฯ แต่งงานอยู่กินกับภรรยา และมีลูกสาวด้วยกัน 2 คน ตอนนี้มีครอบครัวไปหมดแล้ว ลูกสาวคนโตอายุ 30 ปี คนรองอายุ 28 ปี ส่วนภรรยาก็ได้แยกทางกันหลายปีแล้ว ช่วงปี 2560 ตนมีปัญหาทางสายตา เริ่มจากตาซ้าย ก้อนเนื้อไปทับเส้นประสาทตาและลามไปทั้งสองข้าง ตอนนั้นมีอาการตาฝ้าฟาง ซึ่งตนไม่ใส่ใจดูแลให้ดี แถมยังไปกินเหล้าขาวผสมดีหมี ทำให้ดวงตาทั้งสองข้างมองไม่เห็นจนไม่มีทางรักษา และกลายเป็นคนตาบอดตาใสตั้งแต่นั้นมา
“ช่วงแรกที่รู้ว่าตัวเองต้องกลายเป็นคนตาบอดก็ทำใจไม่ได้ เครียดจัดจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อหันมานึกถึงหน้าลูก ครอบครัว และคิดถึงหน้าพ่อแม่จึงทำให้ได้สติ คิดว่ายังมีคนพิการที่ลำบากกว่าเราอีกมาก พวกเขาเหล่านั้นยังสามารถช่วยเหลือตัวเอง ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ ตนจึงลุกขึ้นสู้เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตต่อโดยไม่เป็นภาระใคร”
“สำเริง” กล่าวต่ออีกว่า ทุกวันนี้ได้ดูแลพ่อก็มีความสุขมากแล้ว แม้ตนจะตาบอด แต่ก็พยายามทำหน้าที่ลูกอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตนได้รับเบี้ยคนพิการเดือนละ 800 บาท และลูกสาวทั้งสองคนของตน ก็ส่งเงินให้ตนใช้เดือนละ 500-1,000 บาท นานๆ ครั้งเขาจะมาเยี่ยมบ้าง ตนก็นำเงินมาซื้อของใช้เพื่อดูแลพ่อ ชีวิตที่เหลือของตน ขอทำเพื่อตอบแทนพระคุณพ่อจนลมหายใจสุดท้าย ให้พ่อมีความสุข ตนก็สุขใจที่สุดแล้ว