แก่นพระธรรมในยุคมิลเลเนียม
วันวิสาขบูชา "วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาสากล" ของชาวพุทธทุกนิกายทั่วโลก ด้วยเป็นวันคล้ายวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา 3 เหตุการณ์ด้วยกัน คือ เป็นวันคล้ายวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยทั้ง 3 เหตุการณ์นั้นได้เกิดตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 หรือในวันเพ็ญแห่งเดือนวิสาขมาส (ต่างปีกัน) ชาวพุทธจึงถือว่าเป็นวันที่รวมเกิดเหตุการณ์อัศจรรย์ยิ่ง ซึ่งก็มีพุทธศาสนิกชนให้ความเคารพศัรทธาและเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้า มาจนถึงวันนี้ แต่ส่วนหนึ่งด้วยวิถีของสังคมที่แปรเปลี่ยน ความศรัทธา ความเลื่อมใส ยิ่งยุคมิลเลเนียมเช่นนี้พุทธศาสนิกชนมีความนับถือในพระพุทธศาสนาแปลกแยกออก ไปหรือไม่ กระเทาะความเห็นจากคนบางส่วนในสังคม
เริ่มจากคนรุ่นใหม่ "เบลล์" โชติรส อิ่มด้วง นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะนิเทศศาสตร์ สาขาสื่อวารสารสิ่งพิมพ์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ชั้นปีที่ 4 บอกว่าเป็นวัยรุ่นอีกคนที่นับถือและเชื่อในพระพุทธศาสนา แต่จะยึดถือในคำสอนเป็นหลักในการใช้ชีวิต พระพุทธศาสนามีคำสอนมากมายที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ทำให้เราเกิดสติในการใช้ชีวิตมาตั้งแต่อดีตกาล ส่วนตัวจะใช้หลักคำสอนที่ให้ เราคิดก่อนทำ มีสติทุกย่างก้าว ต้องรอบคอบในทุกๆ เรื่อง แม้เด็กสมัยใหม่จะอยู่กับตัวเองและเทคโนโลยีมากกว่าศาสนา แต่เชื่อว่าเทคโนโลยีก็ต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ส่วนศาสนาจะยังคงอยู่ต่อไปเหมือนๆ ที่สืบทอดกันมาจากอดีต จนถึงทุกวันนี้คำสอนจากพระพุทธศาสนาก็ยังคงอยู่และไม่เคยชี้นำให้ใครปฏิบัติ ตัวในด้านลบ มีแต่เรื่องข่าวพระสงฆ์ที่ออกมาเยอะในช่วงนี้ ทั้งไปเถียงสีกา ก่อม็อบ ไม่สำรวม เล่นการพนัน มันทำให้ศาสนาเสื่อมเสียลงมาก เหมือนคนที่เรารู้ว่าต้องมีเขาเป็นแบบอย่างที่ดีกลับมาทำไม่ดีซะเอง ถ้าบวชแต่ก็ยังใช่ชีวิตเหมือนสามัญชนก็ไม่มีข้อต่างให้เรานับถือ และในยุคปัจจุบันนี้ถ้าต้องมาแยกแยะพระดีกับพระไม่ดีทุกองค์ก็เป็นเรื่องที่ น่าหนักใจ
อีกหนึ่งในพุทธศาสนิกชนวัย 40 ปีเศษ "ษา" กานดา เดชศุภวัฒน์ เปิดใจถึงข่าวคราวความเคลื่อนไหวในแง่ลบซึ่งเกิดขึ้นในแวดวงพุทธศาสนาว่าไม่ ได้ทำให้เธอเสื่อมศรัทธาจากพระธรรมคำสอนลงแต่อย่างใด เพราะเป็นเรื่องของบุคคลไม่เกี่ยวกับศาสนา และหลักซึ่งเธอรวมถึงสมาชิกครอบครัวใช้เป็นแนวทางการในดำเนินชีวิตอยู่ทุก วันนี้ก็คือ ธรรมะ คือ ธรรมชาติ
"โดยส่วนตัวมองว่าถ้าเป็นคนที่ฟังธรรมะ รู้ธรรมะ ย่อมจะเข้าใจและแยกแยะได้ว่าเรื่องต่างๆ ล้วนแต่เกี่ยวข้องบุคคลที่เข้ามาอาศัยศาสนาเท่านั้น เป็นคนละส่วนกับศาสนารวมถึงหลักธรรมคำสอนเลย ซึ่งจริงๆ คนไม่ดีหรือเรื่องไม่ดีก็เห็นว่ามีอยู่ในทุกวงการไม่เฉพาะแค่ในวงการพระสงฆ์ เท่านั้น ส่วนการดำเนินชีวิตตามหลักของพุทธศาสนานั้น ตัวเองใช้ ธรรมะคือธรรมชาติ เป็นแนวทางในการใช้ชีวิต ซึ่งสำหรับคนฟังอาจจะคิดว่ายาก แต่การดำเนินชีวิตอย่างเป็นธรรมชาติแท้จริงแล้ว ก็คือ การดำเนินชีวิตแบบไม่สุดโต่ง ไม่เบียดเบียนใคร ไม่ใส่ร้ายใคร ใช้ในชีวิตประจำวันอย่างมีสติ เช่น กินอย่างมีสติ เดินอย่างมีสติ ไม่ต้องซีเรียส ไม่เข้าใจคือไม่เข้าใจ พอมีสติความผิดพลาดในเรื่องต่างๆ ก็จะน้อยลงตามไปด้วย" สาวผู้มีธรรม(ะ)ชาติในหัวใจ กล่าวพร้อมกับแอบบ่นเล็กๆ ว่า ทุกวันนี้บางคนยังเข้าใจผิดว่า การเข้าวัดก็ด้วยความเชื่อว่าจะช่วยให้รวย ในทางตรงข้ามพระในวัดบางแห่งก็ไม่สามารถสนทนาธรรมให้ญาติโยมเข้าใจได้อย่าง ง่ายๆ ทำให้คนรุ่นใหม่หมดความสนใจในเรื่องพระธรรมคำสอนลงได้
แม้เป็นผู้พิการทางสายตาแต่ไม่ยอมให้ชีวิตมืดมนใน ศาสนา อ.ธมนิฏฐ์ ชาญจรัสพงศ์ กรรมการสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย เผย ยึดหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา ทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี ไม่ต้องทำอะไรมากมาย หากคิดว่าตัวเองเป็นคนดี ดีทั้งการกระทำ วาจา จิตใจ แค่นี้ก็สามารถเข้าถึงศาสนาที่นับถือได้อย่างไม่ซับซ้อน แต่ยุคนี้อาจมีข่าวคราวเกี่ยวกับวงการศาสนาที่ทำอาจทำให้ผู้เลื่อมใสศรัทธา สั่นไหว ไม่มั่นคงได้ สำคัญอยู่ที่ตัวเองจะมี "สติ" ไตร่ตรองเพียงไร เลือกสิ่งที่จะรับ ใช้ปัญญาในการรับสื่อ
"สื่อก็มากมายในแต่ละวันมาให้เรารับรู้ สำหรับผมเองเป็นคนตาบอดคงได้แต่ฟัง ขณะที่คนปกติทั่วไปก็เห็นทั้งภาพและเสียงเวลามีข่าว แต่นั่นก็อาจทำให้เป็นทุกข์มากกว่าผม แนวทางของผมที่ปฏิบัติเรื่อยมาคือพยายามปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธองค์ เวลาไปวัดทำบุญก็ไม่มีอุปสรรคใดๆ ผู้คนที่เห็นเข้าใจก็จะเข้ามาถามไถ่ว่าผมต้องการอะไรไหม อยากให้ช่วยไหม คือสังคมไทยดีอย่างที่มีจิตใจเอื้อเฟื้อ และช่วยเหลือกันและกัน "พุทธศาสนิกชนผู้ไม่ยอมแพ้ต่อโอกาสชีวิต เล่าพร้อมกับบอกด้วยว่า วันสำคัญทางพระพุทธศาสนามักชวนกันไปทำบุญตักบาตรทั้งครอบครัว ส่วนชีวิตประจำวันก็ถือศีล 5 เป็นหลักพื้นฐานที่ทำได้ง่ายที่สุด
ในส่วนของครูโรงเรียนอนุบาลสาวรุ่นใหม่ "มิ้งค์" ณัฏฐิ์ประภา ชุณหะวัณ แม้จะศรัทธาในพระพุทธศาสนา หมั่นสวดมนต์ และทำบุญเเป็นประจำ แต่ก็ยังอดใจหายกับข่าวคราวความไม่น่าเลื่อมใสของพระสงฆ์ไม่ได้ ซึ่งยอมรับว่าข่าวที่ออกมาไม่เว้นวันทำให้ตัวเองรู้สึกแย่กับศาสนาลงมาก
"เป็นคนเชื่อเรื่องศาสนามากเลยนะ มิ้งค์จะสวดมนต์ทุกวันกับหิ้งพระเล็กๆ เป็นของตัวเองในห้องนอน และจะเข้าวัดทำบุญทุกๆ 2 อาทิตย์อย่างสม่ำเสมอ มีหลักธรรมที่นำมาใช้ทุกวันคือความนิ่ง สงบ อย่างเมื่อก่อนที่เป็นคนใจร้อนมากก็มักจะมีเรื่องให้ทุกข์ใจแก้ปัญหาไม่จบ อยู่เรื่อย แต่พอนำพระธรรมมาใช้คือมีอะไรเราต้องทำใจให้นิ่ง หยุดคิดก่อนเสมอเราจะมองปัญหาได้แตกไม่ใช้อารมณ์ตัดสินเรื่องร้ายก็จะผ่าน พ้นไปด้วยดี และถ้าถามว่าปัจจุบันรู้สึกแย่กับศาสนาที่เสื่อมลงไหม บอกได้เลยว่ารู้สึกแย่มาก.. แถวบ้านบางทีก็จะมีพระสงฆ์ที่มีพฤติกรรมแปลกๆ คือมาบิณฑบาตตอนเย็น ซึ่งเราก็คิดว่ามันไม่ใช่เวลา ทุกวันนี้เลยเลือกทำบุญกับวัดและพระสงฆ์ที่เราเห็นว่ามีการปฏิบัติตามพระ ธรรม ตามวินัยสงฆ์ที่ถูกต้องดีกว่า" คุณครูสาว ให้ความเห็น
ปิดท้ายที่ หลวงตาบรรจง จาฆะระโต จากวัดจินดิตวิหาร คลองสามวา แสดงธรรมเรื่องของพุทธศาสนิกชนกับพุทธศาสนาว่า วัดที่จำพรรษาอยู่เป็นวัดปฏิบัติที่มีญาติโยมมาถือศีลปฏิบัติธรรมเรียนรู้ใน หลักคำสอนของพระพุทธศาสนาอยู่ที่วัดกันมาก ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นคนสูงอายุ น้อยครั้งที่จะเห็นคนรุ่นใหม่จะมีก็ช่วงวันพระใหญ่ที่เป็นวันหยุดก็จะตามพ่อ แม่ปู่ย่าตายายมาวัด แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ยังเชื่อว่าคนที่เข้าวัดนั้นเข้ามาเพราะศรัทธาในพระพุทธ ศาสนา ซึ่งถ้าได้เรียนรู้อย่างถูกต้องแล้วจะรู้ว่าหลักการในพระพุทธศาสนานั้นสอน ให้ทุกคนดำเนินชีวิตอย่างสงบสุข เป็นกลาง ซึ่งใครปฏิบัติได้ก็จะมีความสุขในชีวิต
"อาตมาก็บวชเพียง 11 พรรษาเท่านั้นแต่ด้วยจำวัดที่วัดปฏิบัติก็จะเห็นพุทธศาสนิกเข้ามาปฏิบัติ ธรรมกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นคนสูงอายุซึ่งก็ยึดมั่นในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ถามว่าคนรุ่นใหม่ใส่ใจเรื่องพุทธศาสนาหรือไม่ อาตมาว่าเดี๋ยวนี้ห่างไกลเยอะจะมาเข้าวัดก็พ่อแม่พามา สิ่งเร้าข้างนอกเยอะ และบางครั้งก็ไม่ชอบไม่ศรัทธาเพราะเห็นมีข่าวพระประพฤติกิจที่ไม่ควรแล้วก็ โกรธ แต่อย่าลืมว่าทุกวงการ ทุกสังคมก็มีคนดีคนไม่ดี นั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งอาตมาก็ไม่อยากให้ยึดติดและไม่ไม่ควรยึดติดกับตัวบุคคลด้วย ควรที่จะให้ความสำคัญกับคำสอนและแก่นแท้ของเรื่อง แก่นแท้ของพระพุทธศาสนาที่จะสอนและแนะนำให้ทุกคนอยู่อย่างมีความสุข อยู่อย่างสงบท่ามกลางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปทุกวันได้เป็นอย่างดี" หลวงตาบรรจง ให้แง่คิดเป็นการปิดท้าย
ถึงแม้เวลาจะหมุนผ่านแต่หลักธรรมในพระสัมมาสัมพุทธ เจ้าก็วิ่งวนอยู่รอบๆ ตัวเรา เพื่อให้พุทธศาสนิกชนหยิบมาใช้เพื่อให้เหมาะสมกับวันเวลา...เชื่อเช่นนั้นก็ จะมีสติได้ในทุกเรื่องและทุกเวลา
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
พุทธศาสนิกชนร่วมเดินแห่เทียนในวันวิสาขบูชา วันวิสาขบูชา "วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาสากล" ของชาวพุทธทุกนิกายทั่วโลก ด้วยเป็นวันคล้ายวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา 3 เหตุการณ์ด้วยกัน คือ เป็นวันคล้ายวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยทั้ง 3 เหตุการณ์นั้นได้เกิดตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 หรือในวันเพ็ญแห่งเดือนวิสาขมาส (ต่างปีกัน) ชาวพุทธจึงถือว่าเป็นวันที่รวมเกิดเหตุการณ์อัศจรรย์ยิ่ง ซึ่งก็มีพุทธศาสนิกชนให้ความเคารพศัรทธาและเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้า มาจนถึงวันนี้ แต่ส่วนหนึ่งด้วยวิถีของสังคมที่แปรเปลี่ยน ความศรัทธา ความเลื่อมใส ยิ่งยุคมิลเลเนียมเช่นนี้พุทธศาสนิกชนมีความนับถือในพระพุทธศาสนาแปลกแยกออก ไปหรือไม่ กระเทาะความเห็นจากคนบางส่วนในสังคม เริ่มจากคนรุ่นใหม่ "เบลล์" โชติรส อิ่มด้วง นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะนิเทศศาสตร์ สาขาสื่อวารสารสิ่งพิมพ์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ชั้นปีที่ 4 บอกว่าเป็นวัยรุ่นอีกคนที่นับถือและเชื่อในพระพุทธศาสนา แต่จะยึดถือในคำสอนเป็นหลักในการใช้ชีวิต พระพุทธศาสนามีคำสอนมากมายที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ทำให้เราเกิดสติในการใช้ชีวิตมาตั้งแต่อดีตกาล ส่วนตัวจะใช้หลักคำสอนที่ให้ เราคิดก่อนทำ มีสติทุกย่างก้าว ต้องรอบคอบในทุกๆ เรื่อง แม้เด็กสมัยใหม่จะอยู่กับตัวเองและเทคโนโลยีมากกว่าศาสนา แต่เชื่อว่าเทคโนโลยีก็ต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ส่วนศาสนาจะยังคงอยู่ต่อไปเหมือนๆ ที่สืบทอดกันมาจากอดีต จนถึงทุกวันนี้คำสอนจากพระพุทธศาสนาก็ยังคงอยู่และไม่เคยชี้นำให้ใครปฏิบัติ ตัวในด้านลบ มีแต่เรื่องข่าวพระสงฆ์ที่ออกมาเยอะในช่วงนี้ ทั้งไปเถียงสีกา ก่อม็อบ ไม่สำรวม เล่นการพนัน มันทำให้ศาสนาเสื่อมเสียลงมาก เหมือนคนที่เรารู้ว่าต้องมีเขาเป็นแบบอย่างที่ดีกลับมาทำไม่ดีซะเอง ถ้าบวชแต่ก็ยังใช่ชีวิตเหมือนสามัญชนก็ไม่มีข้อต่างให้เรานับถือ และในยุคปัจจุบันนี้ถ้าต้องมาแยกแยะพระดีกับพระไม่ดีทุกองค์ก็เป็นเรื่องที่ น่าหนักใจ อีกหนึ่งในพุทธศาสนิกชนวัย 40 ปีเศษ "ษา" กานดา เดชศุภวัฒน์ เปิดใจถึงข่าวคราวความเคลื่อนไหวในแง่ลบซึ่งเกิดขึ้นในแวดวงพุทธศาสนาว่าไม่ ได้ทำให้เธอเสื่อมศรัทธาจากพระธรรมคำสอนลงแต่อย่างใด เพราะเป็นเรื่องของบุคคลไม่เกี่ยวกับศาสนา และหลักซึ่งเธอรวมถึงสมาชิกครอบครัวใช้เป็นแนวทางการในดำเนินชีวิตอยู่ทุก วันนี้ก็คือ ธรรมะ คือ ธรรมชาติ "โดยส่วนตัวมองว่าถ้าเป็นคนที่ฟังธรรมะ รู้ธรรมะ ย่อมจะเข้าใจและแยกแยะได้ว่าเรื่องต่างๆ ล้วนแต่เกี่ยวข้องบุคคลที่เข้ามาอาศัยศาสนาเท่านั้น เป็นคนละส่วนกับศาสนารวมถึงหลักธรรมคำสอนเลย ซึ่งจริงๆ คนไม่ดีหรือเรื่องไม่ดีก็เห็นว่ามีอยู่ในทุกวงการไม่เฉพาะแค่ในวงการพระสงฆ์ เท่านั้น ส่วนการดำเนินชีวิตตามหลักของพุทธศาสนานั้น ตัวเองใช้ ธรรมะคือธรรมชาติ เป็นแนวทางในการใช้ชีวิต ซึ่งสำหรับคนฟังอาจจะคิดว่ายาก แต่การดำเนินชีวิตอย่างเป็นธรรมชาติแท้จริงแล้ว ก็คือ การดำเนินชีวิตแบบไม่สุดโต่ง ไม่เบียดเบียนใคร ไม่ใส่ร้ายใคร ใช้ในชีวิตประจำวันอย่างมีสติ เช่น กินอย่างมีสติ เดินอย่างมีสติ ไม่ต้องซีเรียส ไม่เข้าใจคือไม่เข้าใจ พอมีสติความผิดพลาดในเรื่องต่างๆ ก็จะน้อยลงตามไปด้วย" สาวผู้มีธรรม(ะ)ชาติในหัวใจ กล่าวพร้อมกับแอบบ่นเล็กๆ ว่า ทุกวันนี้บางคนยังเข้าใจผิดว่า การเข้าวัดก็ด้วยความเชื่อว่าจะช่วยให้รวย ในทางตรงข้ามพระในวัดบางแห่งก็ไม่สามารถสนทนาธรรมให้ญาติโยมเข้าใจได้อย่าง ง่ายๆ ทำให้คนรุ่นใหม่หมดความสนใจในเรื่องพระธรรมคำสอนลงได้ แม้เป็นผู้พิการทางสายตาแต่ไม่ยอมให้ชีวิตมืดมนใน ศาสนา อ.ธมนิฏฐ์ ชาญจรัสพงศ์ กรรมการสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย เผย ยึดหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา ทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี ไม่ต้องทำอะไรมากมาย หากคิดว่าตัวเองเป็นคนดี ดีทั้งการกระทำ วาจา จิตใจ แค่นี้ก็สามารถเข้าถึงศาสนาที่นับถือได้อย่างไม่ซับซ้อน แต่ยุคนี้อาจมีข่าวคราวเกี่ยวกับวงการศาสนาที่ทำอาจทำให้ผู้เลื่อมใสศรัทธา สั่นไหว ไม่มั่นคงได้ สำคัญอยู่ที่ตัวเองจะมี "สติ" ไตร่ตรองเพียงไร เลือกสิ่งที่จะรับ ใช้ปัญญาในการรับสื่อ "สื่อก็มากมายในแต่ละวันมาให้เรารับรู้ สำหรับผมเองเป็นคนตาบอดคงได้แต่ฟัง ขณะที่คนปกติทั่วไปก็เห็นทั้งภาพและเสียงเวลามีข่าว แต่นั่นก็อาจทำให้เป็นทุกข์มากกว่าผม แนวทางของผมที่ปฏิบัติเรื่อยมาคือพยายามปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธองค์ เวลาไปวัดทำบุญก็ไม่มีอุปสรรคใดๆ ผู้คนที่เห็นเข้าใจก็จะเข้ามาถามไถ่ว่าผมต้องการอะไรไหม อยากให้ช่วยไหม คือสังคมไทยดีอย่างที่มีจิตใจเอื้อเฟื้อ และช่วยเหลือกันและกัน "พุทธศาสนิกชนผู้ไม่ยอมแพ้ต่อโอกาสชีวิต เล่าพร้อมกับบอกด้วยว่า วันสำคัญทางพระพุทธศาสนามักชวนกันไปทำบุญตักบาตรทั้งครอบครัว ส่วนชีวิตประจำวันก็ถือศีล 5 เป็นหลักพื้นฐานที่ทำได้ง่ายที่สุด ในส่วนของครูโรงเรียนอนุบาลสาวรุ่นใหม่ "มิ้งค์" ณัฏฐิ์ประภา ชุณหะวัณ แม้จะศรัทธาในพระพุทธศาสนา หมั่นสวดมนต์ และทำบุญเเป็นประจำ แต่ก็ยังอดใจหายกับข่าวคราวความไม่น่าเลื่อมใสของพระสงฆ์ไม่ได้ ซึ่งยอมรับว่าข่าวที่ออกมาไม่เว้นวันทำให้ตัวเองรู้สึกแย่กับศาสนาลงมาก "เป็นคนเชื่อเรื่องศาสนามากเลยนะ มิ้งค์จะสวดมนต์ทุกวันกับหิ้งพระเล็กๆ เป็นของตัวเองในห้องนอน และจะเข้าวัดทำบุญทุกๆ 2 อาทิตย์อย่างสม่ำเสมอ มีหลักธรรมที่นำมาใช้ทุกวันคือความนิ่ง สงบ อย่างเมื่อก่อนที่เป็นคนใจร้อนมากก็มักจะมีเรื่องให้ทุกข์ใจแก้ปัญหาไม่จบ อยู่เรื่อย แต่พอนำพระธรรมมาใช้คือมีอะไรเราต้องทำใจให้นิ่ง หยุดคิดก่อนเสมอเราจะมองปัญหาได้แตกไม่ใช้อารมณ์ตัดสินเรื่องร้ายก็จะผ่าน พ้นไปด้วยดี และถ้าถามว่าปัจจุบันรู้สึกแย่กับศาสนาที่เสื่อมลงไหม บอกได้เลยว่ารู้สึกแย่มาก.. แถวบ้านบางทีก็จะมีพระสงฆ์ที่มีพฤติกรรมแปลกๆ คือมาบิณฑบาตตอนเย็น ซึ่งเราก็คิดว่ามันไม่ใช่เวลา ทุกวันนี้เลยเลือกทำบุญกับวัดและพระสงฆ์ที่เราเห็นว่ามีการปฏิบัติตามพระ ธรรม ตามวินัยสงฆ์ที่ถูกต้องดีกว่า" คุณครูสาว ให้ความเห็น ปิดท้ายที่ หลวงตาบรรจง จาฆะระโต จากวัดจินดิตวิหาร คลองสามวา แสดงธรรมเรื่องของพุทธศาสนิกชนกับพุทธศาสนาว่า วัดที่จำพรรษาอยู่เป็นวัดปฏิบัติที่มีญาติโยมมาถือศีลปฏิบัติธรรมเรียนรู้ใน หลักคำสอนของพระพุทธศาสนาอยู่ที่วัดกันมาก ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นคนสูงอายุ น้อยครั้งที่จะเห็นคนรุ่นใหม่จะมีก็ช่วงวันพระใหญ่ที่เป็นวันหยุดก็จะตามพ่อ แม่ปู่ย่าตายายมาวัด แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ยังเชื่อว่าคนที่เข้าวัดนั้นเข้ามาเพราะศรัทธาในพระพุทธ ศาสนา ซึ่งถ้าได้เรียนรู้อย่างถูกต้องแล้วจะรู้ว่าหลักการในพระพุทธศาสนานั้นสอน ให้ทุกคนดำเนินชีวิตอย่างสงบสุข เป็นกลาง ซึ่งใครปฏิบัติได้ก็จะมีความสุขในชีวิต "อาตมาก็บวชเพียง 11 พรรษาเท่านั้นแต่ด้วยจำวัดที่วัดปฏิบัติก็จะเห็นพุทธศาสนิกเข้ามาปฏิบัติ ธรรมกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นคนสูงอายุซึ่งก็ยึดมั่นในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ถามว่าคนรุ่นใหม่ใส่ใจเรื่องพุทธศาสนาหรือไม่ อาตมาว่าเดี๋ยวนี้ห่างไกลเยอะจะมาเข้าวัดก็พ่อแม่พามา สิ่งเร้าข้างนอกเยอะ และบางครั้งก็ไม่ชอบไม่ศรัทธาเพราะเห็นมีข่าวพระประพฤติกิจที่ไม่ควรแล้วก็ โกรธ แต่อย่าลืมว่าทุกวงการ ทุกสังคมก็มีคนดีคนไม่ดี นั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งอาตมาก็ไม่อยากให้ยึดติดและไม่ไม่ควรยึดติดกับตัวบุคคลด้วย ควรที่จะให้ความสำคัญกับคำสอนและแก่นแท้ของเรื่อง แก่นแท้ของพระพุทธศาสนาที่จะสอนและแนะนำให้ทุกคนอยู่อย่างมีความสุข อยู่อย่างสงบท่ามกลางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปทุกวันได้เป็นอย่างดี" หลวงตาบรรจง ให้แง่คิดเป็นการปิดท้าย ถึงแม้เวลาจะหมุนผ่านแต่หลักธรรมในพระสัมมาสัมพุทธ เจ้าก็วิ่งวนอยู่รอบๆ ตัวเรา เพื่อให้พุทธศาสนิกชนหยิบมาใช้เพื่อให้เหมาะสมกับวันเวลา...เชื่อเช่นนั้นก็ จะมีสติได้ในทุกเรื่องและทุกเวลา ขอบคุณ… http://www.komchadluek.net/detail/20130524/159221/แก่นพระธรรมในยุคมิลเลเนียม.html#.UZ6wmDcs2yg
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)