น้ำพริก ตีสิบ หนุ่มพิการหัวใจสิงห์ ชีวิตจริงจากการปลูกฝังของพ่อแม่
น้ำพริก พงศกร ชุติพงศ์นาวิน ชายพิการผู้มีจิตใจนักสู้ ได้มาออกรายการตีสิบ เมื่อคืนวันที่ 4 มิถุนายน 2556 ทำเอาคนทึ่งไปตาม ๆ กัน เพราะแม้เขาจะต้องนั่งบนรถวีลแชร์ตลอดชั่วชีวิต แต่เขาก็สามารถไปไหนมาไหนไปเหมือนคนทั่วไป ด้วยสองมือที่คอยเข็นรถเพียงลำพัง นั่นจึงทำให้ผู้คนที่อยู่ในละแวกบ้านของน้ำพริกในจังหวัดชลบุรี ล้วนเคยชินกับภาพที่น้ำพริกเข็นรถวีลแชร์ไปซื้อของ ขึ้นบันได ลงบันได ข้ามถนน เพียงลำพัง แต่หากเป็นคนอื่น ๆ ที่ไม่รู้จักครอบครัวนี้คงแปลกใจว่า ทำไมคุณพ่อคุณแม่จึงปล่อยให้น้ำพริกออกมาเผชิญโลกภายนอกโดยไม่มีคนดูแลเข็น รถให้ แต่นี่คือความประสงค์ของคุณพ่อ "กมล ชุติพงศ์นาวิน" และคุณแม่ "พิมล ชุติพงศ์นาวิน" ที่ต้องการให้ลูกเข้มแข็ง พร้อมกับสั่งห้ามใครช่วยเหลือลูกชายเด็ดขาด
คุณพ่อกมล เล่าให้ฟังว่า จริง ๆ ก็มีคนสงสัยมากเหมือนกันว่าทำไมจึงไม่ให้ใครช่วยเหลือลูกชาย แต่ตนก็บอกทุกคนว่า การที่เราสงสารเขาเท่ากับเราไปทำร้ายเขา เพราะจะทำให้เขาไม่ได้เรียนรู้การต่อสู้ชีวิตด้วยตัวของเขาเอง สิ่งที่อยากให้เขามากที่สุดก็คือให้กำลังใจเขา แต่อย่าให้ความช่วยเหลือ เพื่อเขาจะรู้สึกได้ว่าสิ่งที่เขาทำเป็นเรื่องถูกต้อง เป็นเรื่องที่เขาต้องทำเพื่อดำเนินชีวิตต่อไป
"การที่เราพยายามเข้าไปช่วยเขา ในมุมมองพ่อแม่ซึ่งคอยดูแลเขาอยู่ มันก็เหมือนเป็นส่วนหนึ่งที่คอยไปสร้างความอ่อนแอให้เขาไปตลอดชีวิต" คุณพ่อ ย้ำอย่างน่าคิด อย่าง ไรก็ตาม น้ำพริก ไม่ได้มีสภาพเช่นนี้มาตั้งแต่เกิด แต่ความพิการนี้เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันเมื่อตอนที่เขาอายุได้เพียง 3 ขวบเท่านั้น จากอุบัติเหตุรถชน โดยระหว่างที่คุณพ่อคุณแม่ขับรถพา น้ำพริกกลับมาจากงานเลี้ยงตอนกลางคืน ก็เกิดมีรถยนต์คันหนึ่งเมาแล้วขับพุ่งข้ามเกาะกลางถนนมา แล้วหักหลบมาชนประตูด้านซ้าย ซึ่งน้ำพริกนอนอยู่ตรงนั้น ส่งผลให้น้ำพริกขาหักทั้งสองข้าง ปอดฉีก ตับฉีก อาการสาหัสในตอนนั้นอย่างยิ่ง
คุณแม่ เล่าต่อว่า หลังจากเกิดอุบัติเหตุได้รีบส่งลูกไปโรงพยาบาล เห็นลูกชายมีสายระโยงระยางเต็มตัว เลือดไหลไม่หยุด ต้องนอนอยู่ห้องไอซียูนานกว่า 3 สัปดาห์ ตอนนั้นคุณแม่โกรธคุณพ่อมาก โทษคุณพ่อตลอดเวลาว่า "เพราะคุณคนเดียว" เนื่องจากในวันนั้น คุณแม่ได้ชวนให้คุณพ่อรีบกลับบ้าน เพราะลูกชายง่วงนอนแล้ว แต่คุณพ่อไม่ยอมกลับจะรอเพื่อน ทำให้คุณแม่โทษว่าคุณพ่อเห็นเพื่อนดีกว่าลูก หากวันนั้นรีบกลับออกมาก่อน ก็อาจไม่มาบรรจบกับเหตุการณ์อย่างนี้ ที่สำคัญ คุณพ่อยังขับรถไปส่งเพื่อนก่อน ทั้งที่ผ่านบ้านตัวเอง ทำให้ในตอนนั้นคุณแม่ยิ่งโกรธที่คุณพ่อไม่ยอมส่งคุณแม่กับลูกให้เข้าบ้าน ก่อน จึงต้องมาประสบกับเหตุนี้ และเพราะเรื่องนี้เองที่ได้กลายมาเป็นวิกฤติในชีวิตของครอบครัว เพราะทำให้คุณพ่อรู้สึกแย่ และเครียดมากที่เป็นต้นเหตุของเรื่อง จึงยิ่งมุมานะทำงานอย่างหนัก นอนตีสอง ตื่นหกโมงเช้า วัน ๆ ทำแต่งาน เพื่อระบายความเครียด แต่ผลพลอยได้ก็คือยิ่งทำให้ธุรกิจของคุณพ่อเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จากธุรกิจเล็ก ๆ ขยายใหญ่โตมาเรื่อย ๆ
ขณะ เดียวกัน คุณพ่อคุณแม่ก็ช่วยดูแลรักษาน้ำพริกเป็นอย่างดี จนถึงวันที่ต้องตัดเฝือก คุณแม่ได้อุ้มลูกชายขึ้นบ่าจะพาไปห้องกายภาพ แต่กลับเห็นลูกชายอุจจาระและปัสสาวะรดออกมา จึงแปลกใจที่ลูกชายไม่บอกแม่ว่าปวดอุจจาระ เพราะลูกก็พูดได้แล้ว คุณแม่จึงรีบอุ้มกลับไปหาแพทย์ว่าลูกมีอาการกลั้นปัสสาวะอุจจาระไม่ได้ จนแพทย์มาตรวจเจอว่าไขกระดูกสันหลังข้อที่ 6 อยู่ตรงลิ้นปี่ของน้องไปกดทับเส้นประสาท ซึ่งคาดว่าเกิดจากการช่วยเหลือผิดวิธี ในช่วงที่น้องประสบอุบัติเหตุและต้องนำส่งโรงพยาบาล จึงทำให้เกิดปัญหานี้ขึ้น และส่งผลให้น้องน้ำพริกเป็นอัมพาตตั้งแต่ใต้ลิ้นปี่ลงมา
เวลาผ่านไป น้ำพริกเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีคุณพ่อคุณแม่ให้ความดูแลเป็นอย่างดี กระทั่งวันหนึ่งมีคนมาให้คำแนะนำคุณพ่อว่า ถึงแม้น้ำพริกจะพิการกาย แต่ก็อย่าให้น้ำพริกต้องพิการทางใจไปด้วย อยากให้คุณพ่อคุณแม่ลองเปลี่ยนมุมมองใหม่ อย่าเห็นว่าลูกพิการ แต่ให้มองว่าแค่เดินไม่ได้เท่านั้น ก็ต้องแก้ไขให้เขาเดินได้ โดยหาวีลแชร์ให้เขานั่ง ปรับปรุงออกแบบบ้านใหม่ให้เป็นทางลาด เปลี่ยนประตูเป็นบานเลื่อน ปรับระดับก๊อกน้ำให้อยู่ต่ำลง ฯลฯ หลังจากได้รับคำแนะนำ คุณพ่อก็พยายามฝึกลูกให้นั่งวีลแชร์ และพาลูกออกไปเที่ยวข้างนอก เพื่อให้เคยชินกับสายตาผู้คนที่มองมา พร้อมกับให้กำลังใจว่า ลูกสามารถไปได้ทุกที่ เพราะลูกไม่ได้พิการ ลูกแค่มีอุปสรรคในการเดิน เพื่อให้ลูกยอมรับได้ และสามารถช่วยเหลือตัวเองในชีวิตประจำวันให้ได้มากที่สุด
ด้วย แนวคิดนี้เอง ก็ทำให้น้ำพริกใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ เข้าเรียนหนังสือในโรงเรียนสำหรับคนทั่วไป มีเพื่อนมากหน้าหลายตา แถมยังมีวีรกรรมสุดแสบอย่างไม่น่าเชื่อจนอาจารย์ต้องโทรศัพท์มาเชิญผู้ ปกครองไปพบเลยทีเดียว อย่างเช่นครั้งหนึ่งที่น้ำพริกดื่มเหล้าเมาเละเทะ ซึ่งตอนนั้นคุณแม่ก็โทษเพื่อนของลูกที่ทำให้ลูกชายเป็นแบบนี้ เพราะรู้ว่าลูกชายอยู่ในโอวาทและเป็นเด็กเรียบร้อย กระทั่งภายหลังคุณแม่แทบลมจับ เมื่อมารู้ทีหลังว่าลูกชายนี่แหละที่เป็นหัวโจก
ส่วนคุณพ่อก็มักจะสอนลูกเสมอว่า ลูกคือเด็กปกติสามารถทำได้ทุกอย่าง แต่ก็บอกอย่างขำ ๆ ว่าจริง ๆ ก็ไม่คาดคิดว่าลูกจะซ่าขนาดนี้เหมือนกัน เพราะนอกจากจะเคยเมาเหล้าแล้ว ยังเคยชวนเพื่อน ๆ หนีโรงเรียนออกไปเล่นเกมเสียด้วย แถมวางแผนอย่างเป็นระบบระเบียบอีกต่างหาก ซึ่งนี่ก็เป็นอีกแง่มุมหนึ่ง ที่เกิดจากคุณพ่อคุณแม่พยายามปลูกฝังว่าลูกเป็นเด็กปกติ น้ำพริกจึงสามารถคิดอะไรโลดโผนเกินกำลังได้ เพราะเขาก็คือเด็กปกตินั่นเอง
ปัจจุบัน น้ำพริกอายุ 25 ปี เรียนจบแล้ว และทำงานเป็นพนักงานที่ดูแลเรื่องรับประกันคุณภาพสินค้าในบริษัทผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ของคุณพ่อ ซึ่งชีวิตประจำวันของเขาก็เหมือนพนักงานคนอื่น ๆ มีหักเงินเดือนถ้ามาสาย มีโดนหัวหน้างานตำหนิไม่ต่างจากคนทั่วไป ไม่เคยถือว่าตัวเองมีสิทธิพิเศษ เพราะเป็นพิการหรือเป็นลูกของเจ้าของบริษัท
นอกจากนี้ คุณพ่อก็ยังพร่ำสอนให้ "น้ำพริก" และ "น้ำแกง" น้องชาย ต้องมีความรู้สึกพี่น้องที่มีปฏิสัมพันธ์กันไป ดังนั้น เมื่อน้ำพริกมีงานทำมีเงินเดือนแล้ว ก็ต้องมีหน้าที่ส่งน้องเรียนหนังสือด้วย แม้คุณพ่อจะมีฐานะที่ส่งเสียลูก ชายคนเล็กได้ แต่คุณพ่อกลับมองว่า การดูแลน้องคือหน้าที่ของน้ำพริก ดังนั้น น้ำพริกต้องส่งเงินให้น้อง 2,500 บาททุกเดือน กระทั่งเมื่อน้องเรียนจบ มีงานทำ มีเงินเดือน น้องก็จะต้องคอยดูแลพี่ไปตลอดชีวิตเช่นกัน เช่น ซื้อผ้าอ้อมให้พี่ตลอดชีวิต ซึ่งน้องน้ำแกงก็รับปากอย่างเต็มใจ
เมื่อผ่านคืนแห่งความฝันร้ายไป ตอนนี้ก็นับได้ว่าชีวิตเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร คุณพ่อได้บอกให้ทุกคนรู้ว่าไม่รู้สึกเสียใจเลยกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นใน ครอบครัว แต่เขาจะรู้สึกเสียใจมากกว่าหากวันนี้ลูกของเราปกติแล้วเป็นภาระต่อสังคม เหมือนกับเพื่อน ๆ ที่ทำธุรกิจของคุณพ่อเล่าให้ฟังว่า ลูก ๆ ของพวกเขาหลายคนมีความพิการทางใจ มีปัญหาในสังคม ไม่ทำงาน ผลาญสมบัติพ่อแม่ เลยกลับกลายเป็นว่าคนปกติต่างหากที่เป็นภาระ
"สิ่งที่เกิดขึ้นมาทำให้ครอบครัวเราเข้มแข็ง เราไม่ได้มองว่านี่เป็นทุกข์ของครอบครัวเรา แต่เรามองดูว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกลับสร้างความสุขให้ครอบครัวของเรา ทำให้เรามองเห็นเขาเหมือนเด็กปกติธรรมดา เห็นเขารักน้อง เห็นน้องรักพี่ ไปเที่ยวกัน น้องก็จะอุ้มพี่ขึ้นรถ เข็นรถให้พี่ นี่เป็นสิ่งที่เราดีใจมากที่ลูกเราไม่เป็นภาระให้กับสังคม" คุณพ่อ เผยความในใจ ขณะที่คุณแม่ก็พูดถึงการเลี้ยงลูกมาจนถึงทุกวันนี้ว่า ต้องขอบคุณลูกชายเพราะแม้เขาจะเป็นแบบนี้ แต่เขาไม่ทำให้เราหนักใจเพิ่มมากขึ้น และต้องขอบคุณคุณพ่อที่ดูแลครอบครัวเป็นอย่างดี ถือว่าวิกฤติของลูกได้เปลี่ยนมาเป็นโอกาสของครอบครัวได้
ทั้งนี้ หลังจากบันทึกเทปรายการเสร็จสิ้นแล้ว คุณพ่อก็ยังคงนั่งพูดคุยเรื่องนี้กับพิธีกร และก็ได้ทิ้งคำพูดบางอย่างซึ่งแฝงแง่คิดให้กับพ่อแม่ทุก ๆ คน อย่างน่าสนใจว่า "สิ่งที่เราจะสะสมให้เขาไม่ใช่ ทรัพย์สินเงินทอง แต่เราจะปลูกต้นไม้แห่งความดีให้เขาไปเรื่อย ๆ เพื่อในอนาคตที่เราไม่รู้ และโดยสภาพความไม่สะดวกของเขา ต้นไม้แห่งความดีที่เราทำไว้จะช่วยปกป้องเขาไปตลอดชีวิต และเขาก็จะซึมซับวิธีการปลูกต้นไม้แห่งความดีจากเราไป และนำไปทำต่อในรุ่นต่อ ๆ ไป แต่ต้นไม้ที่จะปลูกได้ดีที่สุด พ่อกับแม่จะต้องปลูกไว้ให้"
อุบัติเหตุ คงไม่มีใครอยากให้เกิด แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว และทำให้ชีวิตของคนที่เรารักเปลี่ยนแปลงไป เราก็ไม่ควรทนทุกข์กับสิ่งนั้น แต่ต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่ ผลักดันตัวเองให้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับชีวิตในภายภาคหน้าให้จงได้ อย่างเช่นเรื่องราวของ น้ำพริก พงศกร ที่ได้รับการปลูกฝังจากคุณพ่อคุณแม่ให้ช่วยเหลือตัวเองมาตั้งแต่เด็ก นั่นทำให้ทุกวันนี้ น้ำพริก กลายเป็นคนแข็งแกร่งสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนทั่วไปได้อย่างปกติสุข
ขอบคุณ... http://hilight.kapook.com/view/86889 (ขนาดไฟล์: 175)
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
น้องน้ำพริก หนุ่มพิการนั่งรถเข็น ออกรายการตีสิบ น้ำพริก พงศกร ชุติพงศ์นาวิน ชายพิการผู้มีจิตใจนักสู้ ได้มาออกรายการตีสิบ เมื่อคืนวันที่ 4 มิถุนายน 2556 ทำเอาคนทึ่งไปตาม ๆ กัน เพราะแม้เขาจะต้องนั่งบนรถวีลแชร์ตลอดชั่วชีวิต แต่เขาก็สามารถไปไหนมาไหนไปเหมือนคนทั่วไป ด้วยสองมือที่คอยเข็นรถเพียงลำพัง นั่นจึงทำให้ผู้คนที่อยู่ในละแวกบ้านของน้ำพริกในจังหวัดชลบุรี ล้วนเคยชินกับภาพที่น้ำพริกเข็นรถวีลแชร์ไปซื้อของ ขึ้นบันได ลงบันได ข้ามถนน เพียงลำพัง แต่หากเป็นคนอื่น ๆ ที่ไม่รู้จักครอบครัวนี้คงแปลกใจว่า ทำไมคุณพ่อคุณแม่จึงปล่อยให้น้ำพริกออกมาเผชิญโลกภายนอกโดยไม่มีคนดูแลเข็น รถให้ แต่นี่คือความประสงค์ของคุณพ่อ "กมล ชุติพงศ์นาวิน" และคุณแม่ "พิมล ชุติพงศ์นาวิน" ที่ต้องการให้ลูกเข้มแข็ง พร้อมกับสั่งห้ามใครช่วยเหลือลูกชายเด็ดขาด คุณพ่อกมล เล่าให้ฟังว่า จริง ๆ ก็มีคนสงสัยมากเหมือนกันว่าทำไมจึงไม่ให้ใครช่วยเหลือลูกชาย แต่ตนก็บอกทุกคนว่า การที่เราสงสารเขาเท่ากับเราไปทำร้ายเขา เพราะจะทำให้เขาไม่ได้เรียนรู้การต่อสู้ชีวิตด้วยตัวของเขาเอง สิ่งที่อยากให้เขามากที่สุดก็คือให้กำลังใจเขา แต่อย่าให้ความช่วยเหลือ เพื่อเขาจะรู้สึกได้ว่าสิ่งที่เขาทำเป็นเรื่องถูกต้อง เป็นเรื่องที่เขาต้องทำเพื่อดำเนินชีวิตต่อไป น้องน้ำพริก กำลังออกกำลังกายโดยการยกดัมเบล "การที่เราพยายามเข้าไปช่วยเขา ในมุมมองพ่อแม่ซึ่งคอยดูแลเขาอยู่ มันก็เหมือนเป็นส่วนหนึ่งที่คอยไปสร้างความอ่อนแอให้เขาไปตลอดชีวิต" คุณพ่อ ย้ำอย่างน่าคิด อย่าง ไรก็ตาม น้ำพริก ไม่ได้มีสภาพเช่นนี้มาตั้งแต่เกิด แต่ความพิการนี้เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันเมื่อตอนที่เขาอายุได้เพียง 3 ขวบเท่านั้น จากอุบัติเหตุรถชน โดยระหว่างที่คุณพ่อคุณแม่ขับรถพา น้ำพริกกลับมาจากงานเลี้ยงตอนกลางคืน ก็เกิดมีรถยนต์คันหนึ่งเมาแล้วขับพุ่งข้ามเกาะกลางถนนมา แล้วหักหลบมาชนประตูด้านซ้าย ซึ่งน้ำพริกนอนอยู่ตรงนั้น ส่งผลให้น้ำพริกขาหักทั้งสองข้าง ปอดฉีก ตับฉีก อาการสาหัสในตอนนั้นอย่างยิ่ง คุณแม่ เล่าต่อว่า หลังจากเกิดอุบัติเหตุได้รีบส่งลูกไปโรงพยาบาล เห็นลูกชายมีสายระโยงระยางเต็มตัว เลือดไหลไม่หยุด ต้องนอนอยู่ห้องไอซียูนานกว่า 3 สัปดาห์ ตอนนั้นคุณแม่โกรธคุณพ่อมาก โทษคุณพ่อตลอดเวลาว่า "เพราะคุณคนเดียว" เนื่องจากในวันนั้น คุณแม่ได้ชวนให้คุณพ่อรีบกลับบ้าน เพราะลูกชายง่วงนอนแล้ว แต่คุณพ่อไม่ยอมกลับจะรอเพื่อน ทำให้คุณแม่โทษว่าคุณพ่อเห็นเพื่อนดีกว่าลูก หากวันนั้นรีบกลับออกมาก่อน ก็อาจไม่มาบรรจบกับเหตุการณ์อย่างนี้ ที่สำคัญ คุณพ่อยังขับรถไปส่งเพื่อนก่อน ทั้งที่ผ่านบ้านตัวเอง ทำให้ในตอนนั้นคุณแม่ยิ่งโกรธที่คุณพ่อไม่ยอมส่งคุณแม่กับลูกให้เข้าบ้าน ก่อน จึงต้องมาประสบกับเหตุนี้ และเพราะเรื่องนี้เองที่ได้กลายมาเป็นวิกฤติในชีวิตของครอบครัว เพราะทำให้คุณพ่อรู้สึกแย่ และเครียดมากที่เป็นต้นเหตุของเรื่อง จึงยิ่งมุมานะทำงานอย่างหนัก นอนตีสอง ตื่นหกโมงเช้า วัน ๆ ทำแต่งาน เพื่อระบายความเครียด แต่ผลพลอยได้ก็คือยิ่งทำให้ธุรกิจของคุณพ่อเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จากธุรกิจเล็ก ๆ ขยายใหญ่โตมาเรื่อย ๆ ขณะ เดียวกัน คุณพ่อคุณแม่ก็ช่วยดูแลรักษาน้ำพริกเป็นอย่างดี จนถึงวันที่ต้องตัดเฝือก คุณแม่ได้อุ้มลูกชายขึ้นบ่าจะพาไปห้องกายภาพ แต่กลับเห็นลูกชายอุจจาระและปัสสาวะรดออกมา จึงแปลกใจที่ลูกชายไม่บอกแม่ว่าปวดอุจจาระ เพราะลูกก็พูดได้แล้ว คุณแม่จึงรีบอุ้มกลับไปหาแพทย์ว่าลูกมีอาการกลั้นปัสสาวะอุจจาระไม่ได้ จนแพทย์มาตรวจเจอว่าไขกระดูกสันหลังข้อที่ 6 อยู่ตรงลิ้นปี่ของน้องไปกดทับเส้นประสาท ซึ่งคาดว่าเกิดจากการช่วยเหลือผิดวิธี ในช่วงที่น้องประสบอุบัติเหตุและต้องนำส่งโรงพยาบาล จึงทำให้เกิดปัญหานี้ขึ้น และส่งผลให้น้องน้ำพริกเป็นอัมพาตตั้งแต่ใต้ลิ้นปี่ลงมา เวลาผ่านไป น้ำพริกเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีคุณพ่อคุณแม่ให้ความดูแลเป็นอย่างดี กระทั่งวันหนึ่งมีคนมาให้คำแนะนำคุณพ่อว่า ถึงแม้น้ำพริกจะพิการกาย แต่ก็อย่าให้น้ำพริกต้องพิการทางใจไปด้วย อยากให้คุณพ่อคุณแม่ลองเปลี่ยนมุมมองใหม่ อย่าเห็นว่าลูกพิการ แต่ให้มองว่าแค่เดินไม่ได้เท่านั้น ก็ต้องแก้ไขให้เขาเดินได้ โดยหาวีลแชร์ให้เขานั่ง ปรับปรุงออกแบบบ้านใหม่ให้เป็นทางลาด เปลี่ยนประตูเป็นบานเลื่อน ปรับระดับก๊อกน้ำให้อยู่ต่ำลง ฯลฯ หลังจากได้รับคำแนะนำ คุณพ่อก็พยายามฝึกลูกให้นั่งวีลแชร์ และพาลูกออกไปเที่ยวข้างนอก เพื่อให้เคยชินกับสายตาผู้คนที่มองมา พร้อมกับให้กำลังใจว่า ลูกสามารถไปได้ทุกที่ เพราะลูกไม่ได้พิการ ลูกแค่มีอุปสรรคในการเดิน เพื่อให้ลูกยอมรับได้ และสามารถช่วยเหลือตัวเองในชีวิตประจำวันให้ได้มากที่สุด ด้วย แนวคิดนี้เอง ก็ทำให้น้ำพริกใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ เข้าเรียนหนังสือในโรงเรียนสำหรับคนทั่วไป มีเพื่อนมากหน้าหลายตา แถมยังมีวีรกรรมสุดแสบอย่างไม่น่าเชื่อจนอาจารย์ต้องโทรศัพท์มาเชิญผู้ ปกครองไปพบเลยทีเดียว อย่างเช่นครั้งหนึ่งที่น้ำพริกดื่มเหล้าเมาเละเทะ ซึ่งตอนนั้นคุณแม่ก็โทษเพื่อนของลูกที่ทำให้ลูกชายเป็นแบบนี้ เพราะรู้ว่าลูกชายอยู่ในโอวาทและเป็นเด็กเรียบร้อย กระทั่งภายหลังคุณแม่แทบลมจับ เมื่อมารู้ทีหลังว่าลูกชายนี่แหละที่เป็นหัวโจก ส่วนคุณพ่อก็มักจะสอนลูกเสมอว่า ลูกคือเด็กปกติสามารถทำได้ทุกอย่าง แต่ก็บอกอย่างขำ ๆ ว่าจริง ๆ ก็ไม่คาดคิดว่าลูกจะซ่าขนาดนี้เหมือนกัน เพราะนอกจากจะเคยเมาเหล้าแล้ว ยังเคยชวนเพื่อน ๆ หนีโรงเรียนออกไปเล่นเกมเสียด้วย แถมวางแผนอย่างเป็นระบบระเบียบอีกต่างหาก ซึ่งนี่ก็เป็นอีกแง่มุมหนึ่ง ที่เกิดจากคุณพ่อคุณแม่พยายามปลูกฝังว่าลูกเป็นเด็กปกติ น้ำพริกจึงสามารถคิดอะไรโลดโผนเกินกำลังได้ เพราะเขาก็คือเด็กปกตินั่นเอง ปัจจุบัน น้ำพริกอายุ 25 ปี เรียนจบแล้ว และทำงานเป็นพนักงานที่ดูแลเรื่องรับประกันคุณภาพสินค้าในบริษัทผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ของคุณพ่อ ซึ่งชีวิตประจำวันของเขาก็เหมือนพนักงานคนอื่น ๆ มีหักเงินเดือนถ้ามาสาย มีโดนหัวหน้างานตำหนิไม่ต่างจากคนทั่วไป ไม่เคยถือว่าตัวเองมีสิทธิพิเศษ เพราะเป็นพิการหรือเป็นลูกของเจ้าของบริษัท นอกจากนี้ คุณพ่อก็ยังพร่ำสอนให้ "น้ำพริก" และ "น้ำแกง" น้องชาย ต้องมีความรู้สึกพี่น้องที่มีปฏิสัมพันธ์กันไป ดังนั้น เมื่อน้ำพริกมีงานทำมีเงินเดือนแล้ว ก็ต้องมีหน้าที่ส่งน้องเรียนหนังสือด้วย แม้คุณพ่อจะมีฐานะที่ส่งเสียลูก ชายคนเล็กได้ แต่คุณพ่อกลับมองว่า การดูแลน้องคือหน้าที่ของน้ำพริก ดังนั้น น้ำพริกต้องส่งเงินให้น้อง 2,500 บาททุกเดือน กระทั่งเมื่อน้องเรียนจบ มีงานทำ มีเงินเดือน น้องก็จะต้องคอยดูแลพี่ไปตลอดชีวิตเช่นกัน เช่น ซื้อผ้าอ้อมให้พี่ตลอดชีวิต ซึ่งน้องน้ำแกงก็รับปากอย่างเต็มใจ เมื่อผ่านคืนแห่งความฝันร้ายไป ตอนนี้ก็นับได้ว่าชีวิตเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร คุณพ่อได้บอกให้ทุกคนรู้ว่าไม่รู้สึกเสียใจเลยกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นใน ครอบครัว แต่เขาจะรู้สึกเสียใจมากกว่าหากวันนี้ลูกของเราปกติแล้วเป็นภาระต่อสังคม เหมือนกับเพื่อน ๆ ที่ทำธุรกิจของคุณพ่อเล่าให้ฟังว่า ลูก ๆ ของพวกเขาหลายคนมีความพิการทางใจ มีปัญหาในสังคม ไม่ทำงาน ผลาญสมบัติพ่อแม่ เลยกลับกลายเป็นว่าคนปกติต่างหากที่เป็นภาระ "สิ่งที่เกิดขึ้นมาทำให้ครอบครัวเราเข้มแข็ง เราไม่ได้มองว่านี่เป็นทุกข์ของครอบครัวเรา แต่เรามองดูว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกลับสร้างความสุขให้ครอบครัวของเรา ทำให้เรามองเห็นเขาเหมือนเด็กปกติธรรมดา เห็นเขารักน้อง เห็นน้องรักพี่ ไปเที่ยวกัน น้องก็จะอุ้มพี่ขึ้นรถ เข็นรถให้พี่ นี่เป็นสิ่งที่เราดีใจมากที่ลูกเราไม่เป็นภาระให้กับสังคม" คุณพ่อ เผยความในใจ ขณะที่คุณแม่ก็พูดถึงการเลี้ยงลูกมาจนถึงทุกวันนี้ว่า ต้องขอบคุณลูกชายเพราะแม้เขาจะเป็นแบบนี้ แต่เขาไม่ทำให้เราหนักใจเพิ่มมากขึ้น และต้องขอบคุณคุณพ่อที่ดูแลครอบครัวเป็นอย่างดี ถือว่าวิกฤติของลูกได้เปลี่ยนมาเป็นโอกาสของครอบครัวได้ ทั้งนี้ หลังจากบันทึกเทปรายการเสร็จสิ้นแล้ว คุณพ่อก็ยังคงนั่งพูดคุยเรื่องนี้กับพิธีกร และก็ได้ทิ้งคำพูดบางอย่างซึ่งแฝงแง่คิดให้กับพ่อแม่ทุก ๆ คน อย่างน่าสนใจว่า "สิ่งที่เราจะสะสมให้เขาไม่ใช่ ทรัพย์สินเงินทอง แต่เราจะปลูกต้นไม้แห่งความดีให้เขาไปเรื่อย ๆ เพื่อในอนาคตที่เราไม่รู้ และโดยสภาพความไม่สะดวกของเขา ต้นไม้แห่งความดีที่เราทำไว้จะช่วยปกป้องเขาไปตลอดชีวิต
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)