อัจฉริยะสร้างได้บ้างไม่ได้บ้าง
โรนัลโด้ น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีของคนที่มีพรสวรรค์ 1% ส่วนที่เหลือคือความพยายามและการฝึกซ้อม เทียบกับ ลิโอเนล เมสซี่ อัจฉริยะสุดๆ ของยุคนี้ ที่มีเซนส์บอลแบบหาตัวจับยาก ถ้าต้องเปรียบเทียบกันจริงๆ หลายคนตอบไม่ได้ว่าใครเก่งกว่ากัน คิดว่าหลายคนคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า "อัจฉริยะกับคนบ้าห่างกันเพียงแค่เส้นบางๆ กั้น" ซึ่งจากกรณีศึกษาหลายอย่างมีการชักจูงให้เรารู้สึกว่า สงสัยจะจริงอยู่ไม่น้อยเพราะศิลปินลูกหนังหลายราย ไม่ว่าจะเป็น เอริค คันโตน่า, พอล แกสคอยน์ หรือแม้แต่ มาริโอ บาโลเตลลี่ พ่อยอดชายแห่ง เอซี มิลาน ก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนด้วยกันทั้งสิ้น
3 คนที่ยกตัวอย่างไปข้างต้น ล้วนแต่ก่อคดีดังให้เห็นแบบที่ไม่ต้องรำลึกเลยทีเดียว ครั้งหนึ่ง "ก็องโต้" เคยได้รับการขนานนามให้เป็น "ไอ้หนุ่มกังฟู" หลังพยายามกระโดดถีบแฟนบอลเพราะไม่สบอารมณ์ ส่วน "แก๊สซ่า" ตอนนี้ บำบัดโรคติดเหล้า แต่ก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ต่างจากวัฏจักร ส่วน "เกรียนโอ้" เป็นความทรงจำสดใหม่หลายกรณี ล่าสุดคือใบเหลืองแดงหลังจบเกมกับ นาโปลี ที่เข้าไปเถียงผู้ตัดสิน ที่น่าละเหี่ยใจคือ เขามักจะทำผิดให้คนอื่นจับได้ คนอื่นที่ว่า ส่วนใหญ่ก็เป็นบุคคลมีอำนาจ จนเขาต้องโดนลงโทษแบนอย่างที่เห็น
แม้วิทยาศาสตร์จะก้าวไกลไปมาก แต่ก็ไม่มีทฤษฎีที่ชัดเจนพอจะอธิบายได้ว่า ทำไมบุคคลเหล่านี้ถึงเก่งและเพี้ยนในคนเดียวกัน ไม่ต่างจาก อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ผู้มีจินตนาการกว้างไกลและเป็นผู้เปิดโลกวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ ใครที่บอกว่าเขาไม่ค่อยเต็ม ลองอ่านตรงนี้แล้วจะเปลี่ยนความคิด เพราะไม่แน่ใจว่าเขาเกินหรือพอดี
ครั้งหนึ่ง ไอน์สไตน์ ซึ่งว่ากันว่ามีความแอนตี้โซเชี่ยล คือเข้าสังคมไม่ค่อยได้ เคยเป็นครูสอนวิทยาศาสตร์เด็ก เขาถามนักเรียนว่า "มีคนซ่อมปล่องไฟสองคน กําลังซ่อมปล่องไฟเก่า พอพวกเขาออกมาจากปล่องไฟ ปรากฏว่า คนหนึ่งตัวสะอาด อีกคนตัวสกปรก เต็มไปด้วยเขม่า ขอถามหน่อยว่า คนไหนจะไปอาบน้ำก่อน" ทันทีมีคนตอบว่า "ก็ต้องคนที่ตัวสกปรกเลอะเขม่าควันสิครับ" ไอน์สไตน์ แย้งว่า "อย่างนั้นหรือ ลองคิดดูให้ดีนะ คนที่ตัวสะอาด เห็นอีกคนที่ตัวสกปรกเต็มไปด้วยเขม่าควันเขาก็ต้องคิดว่าตัวเองออกมาจากปล่องไฟเก่าเหมือนกัน ตัวเขาเองก็ต้องสกปรกเหมือนกันแน่ๆ เลย ส่วนอีกคน เห็นฝ่ายตรงข้ามตัวสะอาด ก็ต้องคิดว่า ตัวเองก็สะอาดเหมือนกัน ตอนนี้ ผมขอถามพวกคุณอีกครั้งว่า ใครที่จะไปอาบน้ำก่อนกันแน่"
ลองคิดว่า ช่างซ่อมปล่องไฟคงไม่ได้พกแป้งตลับหรือกระจกอันเล็กๆ แบบคนรักสวยรักงาม คำพูดของ ไอน์สไตน์ ก็เข้าท่าไม่เลว แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องส่องกระจก เพราะทันทีที่เห็นอีกคนดำปี๋ เขาอาจจะก้มลงมองมือ มองแขน มองขาตัวเอง ว่าสภาพดีหรือไม่อย่างมีสติ นักเรียนคนหนึ่งตอบกลับด้วยความตื่นเต้นว่า "อ้อ! ผมรู้แล้ว พอคนตัวสะอาดเห็นอีกคนสกปรก ก็นึกว่าตัวเองต้องสกปรกแน่ แต่คนที่ตัวสกปรกเห็นอีกคนสะอาด ก็นึกว่าตัวเองไม่สกปรกเลย ดังนั้นคนที่ตัวสะอาดต้องวิ่งไปอาบน้ำก่อนแน่เลย ถูกไหมครับ"
คุณล่ะ คิดว่าใครถูก? ไอน์สไตน์ จึงเข้าสู่บทเรียน "คําตอบนี้ก็ผิด ทั้งสองคนออกมาจากปล่องไฟเก่าเหมือนกัน จะเป็นไปได้อย่างไรที่คนหนึ่งสะอาด อีกคนหนึ่งจะสกปรก นี่ล่ะ ที่เขาเรียกว่า 'ตรรกะ' เมื่อความคิดของคนเราถูกชักนําจนสะดุด ก็จะไม่สามารถแยกแยะและหาเหตุผล แห่งเรื่องราวที่แท้จริงออกมาได้ นั่นคือ ตรรกะ" ไอน์สไตน์ พยายามบอกว่า อย่าเอียงข้างใดข้างหนึ่ง ให้ บาลานซ์ หรือหาความพอดีแบบกลางๆ และหาความเป็นไปได้ซึ่งมันอาจจะมี 1 หรือ 2 หรือมากกว่านั้น และดึงความคิดของตัวเองออกจากความเคยชินเดิมๆ และอย่าให้ใครชักจูง
ลึกล้ำ! ตัวอย่างของแข้งอัจฉริยะหลายรายนอกเหนือจาก 3 ชื่อข้างต้นยังมีให้เห็นอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็น อลัน เชียเรอร์, ซีเนอดีน ซีดาน, ฟาบิโอ คันนาวาโร่ หรือ ฟรานเชสโก้ ต็อตติ ซึ่งคนเหล่านี้เป็นอัจฉริยะที่มีทั้งความสามารถและความดี แม้ "ซิซู" จะตบะแตกไปบ้าง แต่รวมๆ แล้วเขาก็ยังเป็นยอดคน
ความจริงแล้ว ไม่ใช่แค่อัจฉริยะ แต่คนทุกคนมีสมอง 2 ข้าง ซ้ายและขวาไม่เท่ากัน แต่ก็เกือบเท่ากัน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมบางคนเป็นนักวิทยาศาสตร์, วิศวกร, สถาปนิก, หมอ ในขณะที่บางคนเป็นนักดนตรี, นักกีฬา, จิตรกร ส่วนคนระดับอัจฉริยะ จะมีสมองข้างหนึ่งที่ใหญ่โต แต่สมองอีกข้างฟีบเล็ก จนควบคุมตัวเองให้ใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างยากลำบาก ถ้าหนักมากก็เป็น ออทิสติก แต่ ออทิสติก คือคนที่มีปัญหากับพัฒนาการทางสมองเท่านั้น ไม่ใช่คนปัญญาอ่อน
สืบเนื่องจากเรามีสมอง 2 ข้าง ทำให้นักจิตวิทยาเชื่อว่า จริงๆ แล้ว เราทุกคนมี 2 บุคลิกอยู่ในคนเดียว อยู่ที่จะเลือกให้ใครอยู่ข้างนอกแล้วใครอยู่ข้างใน ถ้าเคยดูการ์ตูน เราจะเห็นบ่อยๆ เวลาพระเอกนางเอกคิดมาก จะมี แองเจิ้ล กับ เดวิล โผล่มาใกล้ๆ หู ฝ่ายดีจะบอกว่าอย่าทำชั่ว ฝ่ายร้ายจะบอกว่าทำเลย ไม่เป็นไรหรอก ที่บางคนเรียกว่าสามัญสำนึก
วิธีการรักษาคนบ้าให้กลับมาดีอย่างกรณีของ บาโลเตลลี่ ซึ่งดีๆ ร้ายๆ หนักไปทางร้าย มีวิธีที่เรียกว่า ฮิปโนเธอราพี (Hypnotherapy) คือการดึงบุคลิกที่ดีออกมาแบบสลับขั้วในขณะที่เจ้าตัวโดนสะกดจิต ซึ่งข้อดีคือ เขาจะกลายเป็นคนติ๋ม แต่มีความฉลาดสุดขีดเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิม เพราะรู้ว่าต้องจัดการตัวเองอย่างไร แต่ข้อเสียคือ เขาจะกลายเป็นคน 2 บุคลิก เป็นการรักษาที่จิตแพทย์และนักจิตวิทยาต้องดูแลเป็นพิเศษ
ซลาตัน อิบราฮิโมวิช เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของอัจฉริยะในวงการฟุตบอล ด้วยร่างกายใหญ่โต แต่เขากลับมีความเร็ว และตีลังกาจักรยานอากาศได้หน้าตาเฉย ความจริงแล้วเขาก็ไม่ผิดปกติอะไร สำหรับกรณีนี้เราขอเรียกเขาว่า "อารมณ์ร้อน"!
ตกลงแล้ว อัจฉริยะ สร้างได้หรือสร้างไม่ได้ อันนี้ก็แล้วแต่ความเชื่อของบุคคล แต่สิ่งหนึ่งที่เราได้ยินกันอยู่เสมอคือ มนุษย์มีศักยภาพมาก โดยเฉพาะด้านจิตใจ อย่างที่หลายคนเคยบอกว่า เราเป็นมนุษย์ตัวเล็กๆ ที่อ่อนแอ แต่ภาวะทางใจของเราแข็งแกร่งกว่าอะไรทั้งหมด เสมือนว่า เราเข้มแข็งได้เพื่อกลบข้อด้อยทางกายภาพ อย่างที่คนบางคนล้มเสือด้วยมือเปล่าทั้งที่มันวิ่งเร็วกว่า เขี้ยวยาวกว่า ขู่เราได้ดังกว่า
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีของคนที่มีพรสวรรค์ 1 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือคือความพยายามและการฝึกซ้อม เขาครบเครื่องทุกอย่าง ทั้งความอึด การเล่นบอลกลางอากาศและบนพื้น เทียบกับลิโอเนล เมสซี่ อัจฉริยะสุดๆ ของยุคนี้ที่มีเซนส์บอลแบบหาตัวจับยาก ถ้าต้องเปรียบเทียบกันจริงๆ หลายคนตอบไม่ได้ว่าใครเก่งกว่ากัน และมีเหตุผลมากมายมาหักล้างกันเสมอ บางคนใช้รางวัลเป็นเครื่องการันตีความสำเร็จ แต่บางที รางวัลทั้งหมดอาจเป็นแค่สิ่งที่ได้มาเพราะคนกลุ่มหนึ่งเห็นว่าใครดี ใครเก่งเท่านั้น
ฉะนั้นถ้าคุณเชื่อว่าคุณสร้างตัวเองให้เก่งได้ คุณก็เป็นคนเก่ง แต่ถ้าท้อแท้ท้อถอย คิดว่าเป็นธรรมดาก็พอแล้ว คุณก็เป็นคนธรรมดา เพราะอัจฉริยะ สร้างได้บ้าง ไม่ได้บ้าง…เรื่องโดย : เนซึมิ หอยทะเลคุง
ขอบคุณ … http://goo.gl/miHdv2 (ขนาดไฟล์: 0 )
sanook.com ออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 29 ก.ย.56
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
มาริโอ บาโลเตลลี่ และอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ โรนัลโด้ น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีของคนที่มีพรสวรรค์ 1% ส่วนที่เหลือคือความพยายามและการฝึกซ้อม เทียบกับ ลิโอเนล เมสซี่ อัจฉริยะสุดๆ ของยุคนี้ ที่มีเซนส์บอลแบบหาตัวจับยาก ถ้าต้องเปรียบเทียบกันจริงๆ หลายคนตอบไม่ได้ว่าใครเก่งกว่ากัน คิดว่าหลายคนคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า "อัจฉริยะกับคนบ้าห่างกันเพียงแค่เส้นบางๆ กั้น" ซึ่งจากกรณีศึกษาหลายอย่างมีการชักจูงให้เรารู้สึกว่า สงสัยจะจริงอยู่ไม่น้อยเพราะศิลปินลูกหนังหลายราย ไม่ว่าจะเป็น เอริค คันโตน่า, พอล แกสคอยน์ หรือแม้แต่ มาริโอ บาโลเตลลี่ พ่อยอดชายแห่ง เอซี มิลาน ก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนด้วยกันทั้งสิ้น มาริโอ บาโลเตลลี่ 3 คนที่ยกตัวอย่างไปข้างต้น ล้วนแต่ก่อคดีดังให้เห็นแบบที่ไม่ต้องรำลึกเลยทีเดียว ครั้งหนึ่ง "ก็องโต้" เคยได้รับการขนานนามให้เป็น "ไอ้หนุ่มกังฟู" หลังพยายามกระโดดถีบแฟนบอลเพราะไม่สบอารมณ์ ส่วน "แก๊สซ่า" ตอนนี้ บำบัดโรคติดเหล้า แต่ก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ต่างจากวัฏจักร ส่วน "เกรียนโอ้" เป็นความทรงจำสดใหม่หลายกรณี ล่าสุดคือใบเหลืองแดงหลังจบเกมกับ นาโปลี ที่เข้าไปเถียงผู้ตัดสิน ที่น่าละเหี่ยใจคือ เขามักจะทำผิดให้คนอื่นจับได้ คนอื่นที่ว่า ส่วนใหญ่ก็เป็นบุคคลมีอำนาจ จนเขาต้องโดนลงโทษแบนอย่างที่เห็น แม้วิทยาศาสตร์จะก้าวไกลไปมาก แต่ก็ไม่มีทฤษฎีที่ชัดเจนพอจะอธิบายได้ว่า ทำไมบุคคลเหล่านี้ถึงเก่งและเพี้ยนในคนเดียวกัน ไม่ต่างจาก อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ผู้มีจินตนาการกว้างไกลและเป็นผู้เปิดโลกวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ ใครที่บอกว่าเขาไม่ค่อยเต็ม ลองอ่านตรงนี้แล้วจะเปลี่ยนความคิด เพราะไม่แน่ใจว่าเขาเกินหรือพอดี อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ผู้มีจินตนาการกว้างไกลและเป็นผู้เปิดโลกวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ ครั้งหนึ่ง ไอน์สไตน์ ซึ่งว่ากันว่ามีความแอนตี้โซเชี่ยล คือเข้าสังคมไม่ค่อยได้ เคยเป็นครูสอนวิทยาศาสตร์เด็ก เขาถามนักเรียนว่า "มีคนซ่อมปล่องไฟสองคน กําลังซ่อมปล่องไฟเก่า พอพวกเขาออกมาจากปล่องไฟ ปรากฏว่า คนหนึ่งตัวสะอาด อีกคนตัวสกปรก เต็มไปด้วยเขม่า ขอถามหน่อยว่า คนไหนจะไปอาบน้ำก่อน" ทันทีมีคนตอบว่า "ก็ต้องคนที่ตัวสกปรกเลอะเขม่าควันสิครับ" ไอน์สไตน์ แย้งว่า "อย่างนั้นหรือ ลองคิดดูให้ดีนะ คนที่ตัวสะอาด เห็นอีกคนที่ตัวสกปรกเต็มไปด้วยเขม่าควันเขาก็ต้องคิดว่าตัวเองออกมาจากปล่องไฟเก่าเหมือนกัน ตัวเขาเองก็ต้องสกปรกเหมือนกันแน่ๆ เลย ส่วนอีกคน เห็นฝ่ายตรงข้ามตัวสะอาด ก็ต้องคิดว่า ตัวเองก็สะอาดเหมือนกัน ตอนนี้ ผมขอถามพวกคุณอีกครั้งว่า ใครที่จะไปอาบน้ำก่อนกันแน่" ลองคิดว่า ช่างซ่อมปล่องไฟคงไม่ได้พกแป้งตลับหรือกระจกอันเล็กๆ แบบคนรักสวยรักงาม คำพูดของ ไอน์สไตน์ ก็เข้าท่าไม่เลว แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องส่องกระจก เพราะทันทีที่เห็นอีกคนดำปี๋ เขาอาจจะก้มลงมองมือ มองแขน มองขาตัวเอง ว่าสภาพดีหรือไม่อย่างมีสติ นักเรียนคนหนึ่งตอบกลับด้วยความตื่นเต้นว่า "อ้อ! ผมรู้แล้ว พอคนตัวสะอาดเห็นอีกคนสกปรก ก็นึกว่าตัวเองต้องสกปรกแน่ แต่คนที่ตัวสกปรกเห็นอีกคนสะอาด ก็นึกว่าตัวเองไม่สกปรกเลย ดังนั้นคนที่ตัวสะอาดต้องวิ่งไปอาบน้ำก่อนแน่เลย ถูกไหมครับ" คุณล่ะ คิดว่าใครถูก? ไอน์สไตน์ จึงเข้าสู่บทเรียน "คําตอบนี้ก็ผิด ทั้งสองคนออกมาจากปล่องไฟเก่าเหมือนกัน จะเป็นไปได้อย่างไรที่คนหนึ่งสะอาด อีกคนหนึ่งจะสกปรก นี่ล่ะ ที่เขาเรียกว่า 'ตรรกะ' เมื่อความคิดของคนเราถูกชักนําจนสะดุด ก็จะไม่สามารถแยกแยะและหาเหตุผล แห่งเรื่องราวที่แท้จริงออกมาได้ นั่นคือ ตรรกะ" ไอน์สไตน์ พยายามบอกว่า อย่าเอียงข้างใดข้างหนึ่ง ให้ บาลานซ์ หรือหาความพอดีแบบกลางๆ และหาความเป็นไปได้ซึ่งมันอาจจะมี 1 หรือ 2 หรือมากกว่านั้น และดึงความคิดของตัวเองออกจากความเคยชินเดิมๆ และอย่าให้ใครชักจูง ลึกล้ำ! ตัวอย่างของแข้งอัจฉริยะหลายรายนอกเหนือจาก 3 ชื่อข้างต้นยังมีให้เห็นอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็น อลัน เชียเรอร์, ซีเนอดีน ซีดาน, ฟาบิโอ คันนาวาโร่ หรือ ฟรานเชสโก้ ต็อตติ ซึ่งคนเหล่านี้เป็นอัจฉริยะที่มีทั้งความสามารถและความดี แม้ "ซิซู" จะตบะแตกไปบ้าง แต่รวมๆ แล้วเขาก็ยังเป็นยอดคน สื่อทางการแพทย์แสดงภาพสมอง 2 ข้าง ซ้ายและขวาไม่เท่ากัน ความจริงแล้ว ไม่ใช่แค่อัจฉริยะ แต่คนทุกคนมีสมอง 2 ข้าง ซ้ายและขวาไม่เท่ากัน แต่ก็เกือบเท่ากัน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมบางคนเป็นนักวิทยาศาสตร์, วิศวกร, สถาปนิก, หมอ ในขณะที่บางคนเป็นนักดนตรี, นักกีฬา, จิตรกร ส่วนคนระดับอัจฉริยะ จะมีสมองข้างหนึ่งที่ใหญ่โต แต่สมองอีกข้างฟีบเล็ก จนควบคุมตัวเองให้ใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างยากลำบาก ถ้าหนักมากก็เป็น ออทิสติก แต่ ออทิสติก คือคนที่มีปัญหากับพัฒนาการทางสมองเท่านั้น ไม่ใช่คนปัญญาอ่อน สืบเนื่องจากเรามีสมอง 2 ข้าง ทำให้นักจิตวิทยาเชื่อว่า จริงๆ แล้ว เราทุกคนมี 2 บุคลิกอยู่ในคนเดียว อยู่ที่จะเลือกให้ใครอยู่ข้างนอกแล้วใครอยู่ข้างใน ถ้าเคยดูการ์ตูน เราจะเห็นบ่อยๆ เวลาพระเอกนางเอกคิดมาก จะมี แองเจิ้ล กับ เดวิล โผล่มาใกล้ๆ หู ฝ่ายดีจะบอกว่าอย่าทำชั่ว ฝ่ายร้ายจะบอกว่าทำเลย ไม่เป็นไรหรอก ที่บางคนเรียกว่าสามัญสำนึก วิธีการรักษาคนบ้าให้กลับมาดีอย่างกรณีของ บาโลเตลลี่ ซึ่งดีๆ ร้ายๆ หนักไปทางร้าย มีวิธีที่เรียกว่า ฮิปโนเธอราพี (Hypnotherapy) คือการดึงบุคลิกที่ดีออกมาแบบสลับขั้วในขณะที่เจ้าตัวโดนสะกดจิต ซึ่งข้อดีคือ เขาจะกลายเป็นคนติ๋ม แต่มีความฉลาดสุดขีดเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิม เพราะรู้ว่าต้องจัดการตัวเองอย่างไร แต่ข้อเสียคือ เขาจะกลายเป็นคน 2 บุคลิก เป็นการรักษาที่จิตแพทย์และนักจิตวิทยาต้องดูแลเป็นพิเศษ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของอัจฉริยะในวงการฟุตบอล ด้วยร่างกายใหญ่โต แต่เขากลับมีความเร็ว และตีลังกาจักรยานอากาศได้หน้าตาเฉย ความจริงแล้วเขาก็ไม่ผิดปกติอะไร สำหรับกรณีนี้เราขอเรียกเขาว่า "อารมณ์ร้อน"! ตกลงแล้ว อัจฉริยะ สร้างได้หรือสร้างไม่ได้ อันนี้ก็แล้วแต่ความเชื่อของบุคคล แต่สิ่งหนึ่งที่เราได้ยินกันอยู่เสมอคือ มนุษย์มีศักยภาพมาก โดยเฉพาะด้านจิตใจ อย่างที่หลายคนเคยบอกว่า เราเป็นมนุษย์ตัวเล็กๆ ที่อ่อนแอ แต่ภาวะทางใจของเราแข็งแกร่งกว่าอะไรทั้งหมด เสมือนว่า เราเข้มแข็งได้เพื่อกลบข้อด้อยทางกายภาพ อย่างที่คนบางคนล้มเสือด้วยมือเปล่าทั้งที่มันวิ่งเร็วกว่า เขี้ยวยาวกว่า ขู่เราได้ดังกว่า คริสเตียโน่ โรนัลโด้ นักฟุตบอลอาชีพ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีของคนที่มีพรสวรรค์ 1 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือคือความพยายามและการฝึกซ้อม เขาครบเครื่องทุกอย่าง ทั้งความอึด การเล่นบอลกลางอากาศและบนพื้น เทียบกับลิโอเนล เมสซี่ อัจฉริยะสุดๆ ของยุคนี้ที่มีเซนส์บอลแบบหาตัวจับยาก ถ้าต้องเปรียบเทียบกันจริงๆ หลายคนตอบไม่ได้ว่าใครเก่งกว่ากัน และมีเหตุผลมากมายมาหักล้างกันเสมอ บางคนใช้รางวัลเป็นเครื่องการันตีความสำเร็จ แต่บางที รางวัลทั้งหมดอาจเป็นแค่สิ่งที่ได้มาเพราะคนกลุ่มหนึ่งเห็นว่าใครดี ใครเก่งเท่านั้น ฉะนั้นถ้าคุณเชื่อว่าคุณสร้างตัวเองให้เก่งได้ คุณก็เป็นคนเก่ง แต่ถ้าท้อแท้ท้อถอย คิดว่าเป็นธรรมดาก็พอแล้ว คุณก็เป็นคนธรรมดา เพราะอัจฉริยะ สร้างได้บ้าง ไม่ได้บ้าง…เรื่องโดย : เนซึมิ หอยทะเลคุง ขอบคุณ … http://goo.gl/miHdv2 sanook.com ออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 29 ก.ย.56
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)