ยังไม่จบง่ายๆ ลุงห้า ชายพิการร้องขอความเป็นธรรมอีกรอบ หลังตกเป็นข่าวถูกสาวใหญ่หลอกให้รัก
ยังไม่จบง่ายๆ ลุงห้า ชายพิการร้องขอความเป็นธรรมอีกรอบ หลังตกเป็นข่าวถูกสาวใหญ่หลอกให้รักและให้ใส่ชื่อในโฉนดที่ดิน
นครปฐม - ยังไม่จบง่ายๆ ชายพิการ ร้องขอความเป็นธรรมอีกรอบหลังตกเป็นข่าวถูกสาวใหญ่หลอกให้รักและให้ใส่ชื่อในโฉนดที่ดิน จากนั้นไม่นานถูกทำร้ายร่างกาย ล่าสุด อึ้งหนังสือประนีประนอมมีการเพิ่มเติมข้อความทำให้ตนเองเสียเปรียบ
จากกรณีที่นายห้า ทองยอด อายุ 61 ปี ชายพิการ ชาวอำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ที่เคยตกเป็นประเด็นข่าวว่าถูกสาวใหญ่ลูกติดมาหลอกให้หลงรักและทำการใส่ชื่อในโฉนดที่ดินของตนเองที่ได้รับมรดกจากบิดา แต่อยู่ไปด้วยกันไม่นานกลับถูกทอดทิ้ง ไม่เหลียวแล และยังถูกทำร้ายร่างกาย จึงได้ร้องผ่านสื่อเพื่อให้ช่วยเหลือเนื่องจากหญิงคนดังกล่าว กลับเรียกเงินถึง 700,000 บาท หากจะให้มีการถอดชื่อออกจากโฉนดที่ดิน จากนั้นได้มีปลัดอำเภอกำแพงแสน ผู้นำชุมชน และผู้ใหญ่บ้านเข้ามาช่วยเจรจาไกล่เกลี่ย จนฝ่ายหญิงยอมลดตัวเลขให้เหลือ 250,000 บาท แต่นายห้า ไม่ยินยอมเพราะไม่มีเงินที่จะจ่าย โดยยังเป็นกรณีที่ยังหาทางออกไม่ได้
ล่าสุด นายห้า ได้ประสานขอความช่วยเหลือจากสื่ออีกครั้งเนื่องจากช่วงที่มีการเจรจาไกล่เกลี่ยกันได้มีการตกลงทำสัญญาประนีประนอมของทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งเป็นการลดปัญหาความขัดแย้งและหาทางเจรจาก่อนที่จะขึ้นไปสู่กระบวนการทางกฎหมายเพื่อหาข้อสรุปที่เกิดขึ้น
นายห้า บอกกับสื่อว่า ช่วงของการเจรจากันได้เกิดปัญหาขึ้นอีกในเอกสารของการประนีประนอม โดยเป็นเอกสารที่ทางผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 4 ตำบลวังน้ำเขียว อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ได้นำมาให้เซ็นชื่อโดยมีกรรมการหมู่บ้าน อบต.หมู่ที่ 4 มาลงชื่อเป็นสักขีพยาน แต่พบว่าเอกสารดังกล่าวได้มีการเพิ่มเติมข้อมูลลงไปหลังจากที่ได้ลงชื่อเอาไว้แล้ว โดยเมื่อได้รับเอกสารมาให้เก็บเป็นหลักฐานจึงได้พบความผิดปกติและตนเสียเปรียบจึงได้ไปแจ้งความไว้แล้วที่ สภ.กำแพงแสน เพื่อเป็นหลักฐาน
นายห้า บอกต่อว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา ทางผู้ใหญ่บ้าน และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านได้มาช่วยเจรจาแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับตน และนางหอม วันอยู่ โดยมีการทำเอกสารมาให้ 1 ชุดคือหนังสือประนีประนอม ซึ่งได้ให้ตนลงชื่อไว้ในเอกสาร จากนั้นจึงได้มีการลงนามโดยผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน กรรมการหมู่บ้าน และ ส.อบต.วังน้ำเขียว โดยตอนแรกในเอกสารระบุเพียงว่า "ทั้งสองฝ่ายตกลงกันอยู่ในบ้านเลขที่ 142 ม.4 ต.วังน้ำเขียว รับประทานอาหารร่วมกัน โดยให้ น.ส.ลัดดา บุญช่วย บุตรสาวของนางหอม วันอยู่ เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ค่าอาหาร ค่าน้ำ ค่าไฟ โดยปกติเหมือนเดิม" ซึ่งตนเองเห็นเพียงข้อความนี้
นายห้า บอกว่า หลังจากตนได้ลงนามเอกสารไปแล้ว ซึ่งจะต้องมีเอกสารคู่กันมาให้แต่ละฝ่ายถือไว้ ปรากฏว่าพบข้อความในข้อที่ 2 โดยตนไม่ทราบก่อนจะลงลายมือชื่อ โดยมีข้อความว่า "ข้อ 2 การหลับนอน ต่างคนต่างนอน ห้ามใช้กำลังทำร้ายกันจนกว่าจะจบเรื่องข้อพิพาทกัน ถ้ายังมีข้อพิพาทกันอยู่ อนุญาตให้นางหอม วันอยู่ และบุตรของนางหอม วันอยู่ อาศัยอยู่ในบ้านเลขที่ 172 ม.4 ตลอดไป โดยปกติดี ห้ามไล่ ห้ามด่า ลงวันที่ 27 กันยายน 66 โดยตนได้ไปลงบันทึกประจำวันไว้แล้วเมื่อเห็นหนังสือดังกล่าว และได้แจ้งทางผู้ใหญ่บ้านไปแล้วว่าให้ทำลายเอกสารดังกล่าวเพราะตนไม่ยอมรับ ซึ่งเขาได้สัญญาว่าจะฉีกเอกสารทิ้งให้
นายห้า บอกอีกว่า จากนั้นในวันที่ 30 กันยายน ทางกำนันตำบลวังน้ำเขียว ได้มากับผู้ใหญ่บ้านอีกโดยบอกว่าจะขอมาเจรจาให้จบปัญหา แต่ตนเองได้วางเอกสารกลับไปแล้วบอกว่าไม่รับ ซึ่งทางผู้ใหญ่บ้านได้กลับคำและบอกว่าหากทำลายเอกสารทิ้งจะทำให้ผู้ใหญ่บ้านมีความผิดไปด้วย ซึ่งในวันนั้นได้มีการเจรจาว่าให้ตนเองนำที่ดินไปขาย ให้พี่สาวหรือคนอื่น เพื่อจะได้นำเงินจำนวน 250,000 บาท ไปให้นางหอม เพื่อจะได้จบปัญหากันไป แต่ตนไม่เข้าใจว่าทำไมตนต้องเอาที่ดินไปขายเพื่อเอาเงินมาให้นางหอม และไม่เคยเจอว่า ให้คนพิการเอาที่ดินไปขายช่วยคนปกติ มีแต่คนปกติต้องมาช่วยคนพิการ จึงอยากจะให้สื่อช่วยเป็นกระบอกเสียงให้อีกครั้ง เพราะคิดว่าไม่เกิดความเป็นธรรมกับตน โดยตอนนี้ได้มีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครปฐม ประสานเข้ามาจะช่วยไกล่เกลี่ยแต่ยังไม่ได้เข้ามาพบ จึงอยากจะให้ช่วยเหลือด้วย ซึ่งวันที่มีการเข้ามาหามีการเก็บภาพจากกล้องวงจรปิดไว้เป็นหลักฐานด้วย
ขณะที่ผู้สื่อข่าวได้ประสานไปยัง นายนุกูล สามี หรือผู้ใหญ่เหน่ง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 4 ตำบลวังน้ำเขียว เพื่อขอสอบถามปัญหาและการดำเนินการดังกล่าว โดยปฏิเสธที่จะให้ความเห็นในเรื่องดังกล่าว เพราะกลัวจะเป็นประเด็นกับคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่าย และยืนยันว่าไม่ได้เป็นคู่กรณีกับทั้งคู่ การเข้าทำช่วยเหลือ เป็นเพราะทำหน้าที่ผู้ใหญ่บ้าน ส่วนการคบกันทราบว่ามีมาเป็นปีแล้ว แต่ในรายละเอียดอยากจะให้สอบถามไปยังเพื่อนบ้านน่าจะทราบดี และให้ข้อมูลได้ดีกว่า