"ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชใหม่" สนธิ vs เสกสรรค์

แสดงความคิดเห็น

นายสนธิ ลิ้มทองกุล วิจารณ์การออกมาพูดของนายเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ในโอกาสครบ 40 ปี 14 ตุลา ว่าที่พูดนั้น เหมือนกับคนนอนหลับไป 40 ปี พอตื่นขึ้นมาก็ยังนึกว่า ประเทศไทยยังอยู่ในยุค 40 ปีก่อน เป็นเรื่องที่น่าคิด เพราะนายเสกสรรค์ ประเสริฐกุล พูดครั้งนี้ นับว่าผิดฟอร์มมากเนื่องจากเรื่องใหญ่โตมโหฬารที่คนทั้งบ้านทั้งเมืองเห็นกันกลับไม่พูดและสิ่งที่เป็นปัญหาใหญ่โตของบ้านเมืองก็ไม่พูด

ดังนั้น บรรดาข้อเสนอทั้งหลายที่ไม่มีปัญหาใหญ่ของบ้านเมืองเป็นรากฐาน และไม่เห็นปัญหาหรือเรื่องใหญ่โตที่เกิดขึ้น จึงไร้สาระและไม่มีคุณค่าใดๆก็เป็นธรรมดา สรรพสิ่งเกิดขึ้นแล้ว ตั้งอยู่แล้วเสื่อมไปและดับไปเป็นธรรมดา นายเสกสรรค์ ประเสริฐกุล เมื่อครั้ง 14 ตุลา เคยเป็นวีรชน และเงียบหายไป 40 ปี มาโผล่ผุดขึ้นอีกทีเมื่อกลายเป็นเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเป็นไปตามกฎแห่งพระไตรลักษณ์นั่นเอง

สิ่งที่นายเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ไม่เห็น ซึ่งอาจเกิดจากความไม่เข้าใจหรือเข้าใจและเห็นแล้วแต่ไม่กล้าพูด ก็คือปัญหาประชาธิปไตยนั่นแหละ สภาพการณ์ปัจจุบันมันเป็นประชาธิปไตยที่ตรงไหน ในเมื่อรัฐบาลและรัฐสภาเป็นกลุ่มก๊วนเดียวกัน ไม่มีการคานอำนาจใดๆกัน และยังใช้อำนาจกดดันครอบงำอำนาจตุลาการเพิ่มขึ้นไปอีก แม้กระทั่งองค์กรอิสระก็ส่งคนเข้าแทรกแซงครอบงำ กลายเป็นนักการเมืองกลุ่มเดียว กำกับควบคุมบ้านเมืองทั้งหมดซึ่งเพียงแค่นี้ก็นับว่าแย่เต็มทีเพราะมันเป็นแค่คณาธิปไตยหรือเป็นคณะเผด็จการฟัสซิสต์เท่านั้น

แต่ที่ร้ายหนักยิ่งกว่านั้นก็คือ นักการเมืองกลุ่มเดียวนั้นก็มิได้เป็นตัวของตัวเอง ไม่ได้รับใช้ประเทศชาติและประชาชนเหมือนดังคำสัตย์ปฏิญาณใดๆ ไม่เคยคิดคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นที่ตั้ง คงเชื่อฟังแต่คำคนๆเดียวบงการสั่งการ กระทั่งบังอาจประกาศตนต่อหน้าสาธารณะ ไม่ยำเกรงประชาชนที่ตนเคยไปกราบกรานขอคะแนนเสียงว่า เป็นขี้ข้าคนๆเดียว แม้จะถูกสังคมประณามหยามเหยียดว่า เป็นนักการเมืองทาส นักการเมืองขี้ข้า หรือหมารับใช้ ก็ไม่ได้แยแสกลับเห็นเป็นว่า การเป็นขี้ข้าคนๆเดียว เป็นที่มาของอำนาจวาสนาและสามารถกอบโกยผลประโยชน์โกงกินบ้านเมือง และราษฎรได้อย่างองอาจ ไม่ต้องยำเกรงใครในแผ่นดินแม้พรรคการเมืองก็บังอาจประกาศต่อสาธารณชนว่า พรรคการเมืองนี้ไม่ได้คิดเองทำเอง ไม่ได้ฟังเสียงประชาชนอะไร เพราะแค่ทำตามที่คนอื่นคิดเท่านั้น เมื่อพรรคการเมืองและนักการเมืองเป็นแบบนี้ ที่ไหนเลยจะฟังเสียงประชาชน ที่ไหนเลยจะเคารพประชาชนว่าเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และที่ไหนจะทำการ เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยามได้เป็นขี้ข้าก็เป็นขี้ข้ารับใช้นาย หาใช่

ประเทศชาติและราษฎรไม่! แล้วอย่างนี้หากไม่ตาบอด หูหนวก หรืองาบอะไรไว้เต็มปาก ก็ต้องมองเห็นและกล้าพูดได้ว่า มันไม่ใช่เป็นประชาธิปไตย มันเป็นเผด็จการโดยคน ๆ เดียว มันไม่ใช่ประชาธิปไตยและไม่ใช่ชนชั้นกลางใหม่อะไรทั้งสิ้นแต่เป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ใหม่ ที่ยึดประเทศไทยเป็นสมบัติคนๆเดียวและเห็นคนไทยเป็นแค่ทาสรับใช้เท่านั้น

นายเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ทำไมมองไม่เห็นเรื่องใหญ่โตขนาดนี้! แม้เรื่องเล็กลงมาแต่ส่งผลเสียหายแก่ประเทศชาติและราษฎรมากกว่าครั้งไหนๆในประวัติศาสตร์ก็มองไม่เห็นอีก นั่นคือปัญหาการขายชาติ การปล้นชาติ การฉ้อราษฎร์บังหลวง ซึ่งไม่เพียงแต่คนไทยจำนวนมากของประเทศมองเห็นเท่านั้น แม้แต่นานาชาติเขาก็มองเห็นกันทั่ว มองเห็นกันทั่วไปว่าบ้านเมืองของเราทุกวันนี้ นักการเมืองขายชาติ ปล้นชาติ ฉ้อราษฎร์บังหลวง ทุจริตคอร์รัปชั่นครั้งใหญ่ที่สุดร่วม 40%ของเงินงบประมาณแผ่นดิน และทุจริตคอร์รัปชั่นมากที่สุดในเอเชีย

การขายชาติ ปล้นชาติ ฉ้อราษฎร์บังหลวงขนาดนี้จึงทำให้ทั่วทั้งประเทศทรุดตัวอ่อนแอ ใกล้ถึงกาลสิ้นชาติเต็มที ในขณะที่ก่อหนี้สาธารณะสูงที่สุดถึง 5.3 ล้านล้านบาท แต่ประเทศชาติกลับล้าหลังอย่างทั่วด้าน ประชาชนโดยทั่วไปไม่ว่ายากดีมีจนอย่างไร ล้วนประสบชะตากรรมกันถ้วนหน้า ความเดือดร้อนแผ่ขยาย ไปในทุกหย่อมหญ้าเพราะปัญหาการขายชาติการฉ้อราษฎร์บังหลวงครั้งมโหฬารนี้ แต่นี่นายเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ก็มองไม่เห็นอีก เรื่องใหญ่โตขนาดนี้ กระทั่งแม่บ้านที่อ่านหนังสือไม่ออก วันๆหมกมุ่นอยู่แต่ในครัวก็ยังรู้ได้สัมผัสได้

คนที่สัมผัสเรื่องนี้ไม่ได้จะไม่ใช่คนตายซากไปหน่อยรึ การประดิษฐ์วาทะกรรมชนชั้นว่า มีชนชั้นกลางใหม่ ชนชั้นกลางเก่า มีทุนใหม่ มีทุนเก่า ในขณะที่ต้นตำรับที่ลอกเลียนแบบมาไว้ในสมองไม่ว่า โซเวียตหรือจีนก็เปลี่ยนแปลงไปหมดสิ้นแล้วเพราะมันไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง จึงเป็นสิ่งสับสนในกระบวนทัศน์ที่เกิดขึ้นตามกาลเวลาของสรรพสิ่ง คนเรานั้นคิดผิด พูดผิด ทำผิดได้ แต่ถ้าถึงขนาดลืมผิดชอบชั่วดีลืมความรัก ผูกพันที่แม้กระทั่งสัตว์เดรัจฉานก็มีประจำใจ ก็ย่อมเป็นคนที่น่าสมเพชเวทนานัก! …โดย สิริอัญญา

ขอบคุณ http://www2.manager.co.th/mwebboard/listComment.aspx QNumber=356102&MBrowse=13

( ผู้จัดการออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 22 ต.ค.56 )

ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 22 ต.ค.56
วันที่โพสต์: 23/10/2556 เวลา 03:36:36

แสดงความคิดเห็น

รอตรวจสอบ
จัดฟอร์แม็ต ดูการแสดงผล

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

ยกเลิก

รายละเอียดกระทู้

นายสนธิ ลิ้มทองกุล วิจารณ์การออกมาพูดของนายเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ในโอกาสครบ 40 ปี 14 ตุลา ว่าที่พูดนั้น เหมือนกับคนนอนหลับไป 40 ปี พอตื่นขึ้นมาก็ยังนึกว่า ประเทศไทยยังอยู่ในยุค 40 ปีก่อน เป็นเรื่องที่น่าคิด เพราะนายเสกสรรค์ ประเสริฐกุล พูดครั้งนี้ นับว่าผิดฟอร์มมากเนื่องจากเรื่องใหญ่โตมโหฬารที่คนทั้งบ้านทั้งเมืองเห็นกันกลับไม่พูดและสิ่งที่เป็นปัญหาใหญ่โตของบ้านเมืองก็ไม่พูด ดังนั้น บรรดาข้อเสนอทั้งหลายที่ไม่มีปัญหาใหญ่ของบ้านเมืองเป็นรากฐาน และไม่เห็นปัญหาหรือเรื่องใหญ่โตที่เกิดขึ้น จึงไร้สาระและไม่มีคุณค่าใดๆก็เป็นธรรมดา สรรพสิ่งเกิดขึ้นแล้ว ตั้งอยู่แล้วเสื่อมไปและดับไปเป็นธรรมดา นายเสกสรรค์ ประเสริฐกุล เมื่อครั้ง 14 ตุลา เคยเป็นวีรชน และเงียบหายไป 40 ปี มาโผล่ผุดขึ้นอีกทีเมื่อกลายเป็นเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเป็นไปตามกฎแห่งพระไตรลักษณ์นั่นเอง สิ่งที่นายเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ไม่เห็น ซึ่งอาจเกิดจากความไม่เข้าใจหรือเข้าใจและเห็นแล้วแต่ไม่กล้าพูด ก็คือปัญหาประชาธิปไตยนั่นแหละ สภาพการณ์ปัจจุบันมันเป็นประชาธิปไตยที่ตรงไหน ในเมื่อรัฐบาลและรัฐสภาเป็นกลุ่มก๊วนเดียวกัน ไม่มีการคานอำนาจใดๆกัน และยังใช้อำนาจกดดันครอบงำอำนาจตุลาการเพิ่มขึ้นไปอีก แม้กระทั่งองค์กรอิสระก็ส่งคนเข้าแทรกแซงครอบงำ กลายเป็นนักการเมืองกลุ่มเดียว กำกับควบคุมบ้านเมืองทั้งหมดซึ่งเพียงแค่นี้ก็นับว่าแย่เต็มทีเพราะมันเป็นแค่คณาธิปไตยหรือเป็นคณะเผด็จการฟัสซิสต์เท่านั้น แต่ที่ร้ายหนักยิ่งกว่านั้นก็คือ นักการเมืองกลุ่มเดียวนั้นก็มิได้เป็นตัวของตัวเอง ไม่ได้รับใช้ประเทศชาติและประชาชนเหมือนดังคำสัตย์ปฏิญาณใดๆ ไม่เคยคิดคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นที่ตั้ง คงเชื่อฟังแต่คำคนๆเดียวบงการสั่งการ กระทั่งบังอาจประกาศตนต่อหน้าสาธารณะ ไม่ยำเกรงประชาชนที่ตนเคยไปกราบกรานขอคะแนนเสียงว่า เป็นขี้ข้าคนๆเดียว แม้จะถูกสังคมประณามหยามเหยียดว่า เป็นนักการเมืองทาส นักการเมืองขี้ข้า หรือหมารับใช้ ก็ไม่ได้แยแสกลับเห็นเป็นว่า การเป็นขี้ข้าคนๆเดียว เป็นที่มาของอำนาจวาสนาและสามารถกอบโกยผลประโยชน์โกงกินบ้านเมือง และราษฎรได้อย่างองอาจ ไม่ต้องยำเกรงใครในแผ่นดินแม้พรรคการเมืองก็บังอาจประกาศต่อสาธารณชนว่า พรรคการเมืองนี้ไม่ได้คิดเองทำเอง ไม่ได้ฟังเสียงประชาชนอะไร เพราะแค่ทำตามที่คนอื่นคิดเท่านั้น เมื่อพรรคการเมืองและนักการเมืองเป็นแบบนี้ ที่ไหนเลยจะฟังเสียงประชาชน ที่ไหนเลยจะเคารพประชาชนว่าเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และที่ไหนจะทำการ เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยามได้เป็นขี้ข้าก็เป็นขี้ข้ารับใช้นาย หาใช่ ประเทศชาติและราษฎรไม่! แล้วอย่างนี้หากไม่ตาบอด หูหนวก หรืองาบอะไรไว้เต็มปาก ก็ต้องมองเห็นและกล้าพูดได้ว่า มันไม่ใช่เป็นประชาธิปไตย มันเป็นเผด็จการโดยคน ๆ เดียว มันไม่ใช่ประชาธิปไตยและไม่ใช่ชนชั้นกลางใหม่อะไรทั้งสิ้นแต่เป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ใหม่ ที่ยึดประเทศไทยเป็นสมบัติคนๆเดียวและเห็นคนไทยเป็นแค่ทาสรับใช้เท่านั้น นายเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ทำไมมองไม่เห็นเรื่องใหญ่โตขนาดนี้! แม้เรื่องเล็กลงมาแต่ส่งผลเสียหายแก่ประเทศชาติและราษฎรมากกว่าครั้งไหนๆในประวัติศาสตร์ก็มองไม่เห็นอีก นั่นคือปัญหาการขายชาติ การปล้นชาติ การฉ้อราษฎร์บังหลวง ซึ่งไม่เพียงแต่คนไทยจำนวนมากของประเทศมองเห็นเท่านั้น แม้แต่นานาชาติเขาก็มองเห็นกันทั่ว มองเห็นกันทั่วไปว่าบ้านเมืองของเราทุกวันนี้ นักการเมืองขายชาติ ปล้นชาติ ฉ้อราษฎร์บังหลวง ทุจริตคอร์รัปชั่นครั้งใหญ่ที่สุดร่วม 40%ของเงินงบประมาณแผ่นดิน และทุจริตคอร์รัปชั่นมากที่สุดในเอเชีย การขายชาติ ปล้นชาติ ฉ้อราษฎร์บังหลวงขนาดนี้จึงทำให้ทั่วทั้งประเทศทรุดตัวอ่อนแอ ใกล้ถึงกาลสิ้นชาติเต็มที ในขณะที่ก่อหนี้สาธารณะสูงที่สุดถึง 5.3 ล้านล้านบาท แต่ประเทศชาติกลับล้าหลังอย่างทั่วด้าน ประชาชนโดยทั่วไปไม่ว่ายากดีมีจนอย่างไร ล้วนประสบชะตากรรมกันถ้วนหน้า ความเดือดร้อนแผ่ขยาย ไปในทุกหย่อมหญ้าเพราะปัญหาการขายชาติการฉ้อราษฎร์บังหลวงครั้งมโหฬารนี้ แต่นี่นายเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ก็มองไม่เห็นอีก เรื่องใหญ่โตขนาดนี้ กระทั่งแม่บ้านที่อ่านหนังสือไม่ออก วันๆหมกมุ่นอยู่แต่ในครัวก็ยังรู้ได้สัมผัสได้ คนที่สัมผัสเรื่องนี้ไม่ได้จะไม่ใช่คนตายซากไปหน่อยรึ การประดิษฐ์วาทะกรรมชนชั้นว่า มีชนชั้นกลางใหม่ ชนชั้นกลางเก่า มีทุนใหม่ มีทุนเก่า ในขณะที่ต้นตำรับที่ลอกเลียนแบบมาไว้ในสมองไม่ว่า โซเวียตหรือจีนก็เปลี่ยนแปลงไปหมดสิ้นแล้วเพราะมันไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง จึงเป็นสิ่งสับสนในกระบวนทัศน์ที่เกิดขึ้นตามกาลเวลาของสรรพสิ่ง คนเรานั้นคิดผิด พูดผิด ทำผิดได้ แต่ถ้าถึงขนาดลืมผิดชอบชั่วดีลืมความรัก ผูกพันที่แม้กระทั่งสัตว์เดรัจฉานก็มีประจำใจ ก็ย่อมเป็นคนที่น่าสมเพชเวทนานัก! …โดย สิริอัญญา ขอบคุณ… http://www2.manager.co.th/mwebboard/listComment.aspx QNumber=356102&MBrowse=13 ( ผู้จัดการออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 22 ต.ค.56 )

จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย

  1. เพิ่ม
  2. เพิ่ม ลบ
  3. เพิ่ม ลบ
  4. เพิ่ม ลบ
  5. เพิ่ม ลบ
  6. เพิ่ม ลบ
  7. เพิ่ม ลบ
  8. เพิ่ม ลบ
  9. เพิ่ม ลบ
  10. ลบ
เลือกการตกแต่งที่ต้องการ

ตกลง ยกเลิก

รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)

Waiting...