วิศวกรสันติภาพ'มจร'พบพุทธวิธีแก้ขัดแย้งการเมืองไทย

แสดงความคิดเห็น

ภาพหมู่ผู้เข้าร่วมโครงการ "จาริกสันติธรรม สู่ดินแดนแห่งพุทธภูมิ" ประเทศอินเดีย-เนปาล จำนวน 40 รูป/คน

ขณะนี้สังคมไทยยังมองไม่เห็นแนวทางแก้ปมขัดแย้งทางการเมืองไทย อันเกิดจากความเห็นสุดขั้ว 2 กลุ่มคือ ต้องเลือกตั้งก่อนปฏิรูปการเมือง ยึดประชานิยมเป็นสรณะ ภายใต้การนำของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับกลุ่มที่ต้องการปฏิรูปการเมืองก่อนการเลือกตั้งภายใต้การนำของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกปปส.ได้นำมวลมหาประชาชนออกมาชุมนุมประท้วงการบริหารงานของกลุ่มแรก อันมีมูลเหตุมาจากต้องการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จนบานปลายเป็นไล่ระบบทักษิณถึงขั้นปิดกรุงเทพมหานครตั้งแต่วันที่ 13 ม.ค.ที่ผ่าน ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก สร้างความเสียหายทางโอกาสด้านต่างๆอีกมากมาย

ช่วงที่การเมืองไทยมีความวุ่นวายอยู่นี้เอง ได้มีโอกาสปลีกวิเวกร่วมคณะนิสิตปริญญาโทสันติศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) รุ่นที่ 1 (และกำลังรับสมัครรุ่นที่ 2) ตามโครงการ "จาริกสันติธรรม สู่ดินแดนแห่งพุทธภูมิ" ประเทศอินเดีย-เนปาล จำนวน 40 รูป/คน ระหว่างวันที่ 16-26 มกราคมที่ผ่านมา ภายใต้การนำของพระมหาหรรษา ธมฺมหาโส ผู้อำนวยการหลักสูตรดังกล่าว

ทั้งนี้มองเห็นว่า สังคมโลกในยุคโลกาภิวัตน์นั้น เป็นสังคมที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและความรุนแรงในหลายมิติด้วยกัน กล่าวคือ ด้านค่านิยม ทัศนคติ ภาษา ศาสนา ความต้องการ ผลประโยชน์ และกลุ่มชาติพันธุ์ ที่พยายามจะดำรงและรักษาความเป็นอัตลักษณ์ และผลประโยชน์ของกลุ่มตัวเองเอาไว้และการที่สังคมโลกไม่สามารถที่จะแสวงหา ความสมดุลในโลกแห่งความแตกต่างจึงทำให้ความขัดแย้งได้พัฒนาไปสู่ความรุนแรง ในที่สุด

จากประเด็นปัญหาความขัดแย้ง และความรุนแรงดังกล่าวนั้น จึงทำให้เกิดการแสวงหาทางเลือกเพื่อนำมาฟื้นฟูและเยียวยาความขัดแย้งและความรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตั้งคำถามและการแสวงหาทางเลือกตามที่ปรากฏอยู่ในพระ พุทธศาสนา ด้วยเหตุนี้บัณฑิตวิทยาลัย มจร ได้ตระหนักรู้ปัญหาความขัดแย้งและความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคมไทยและสังคม โลก จึงได้จัดทำหลักสูตรสาขาวิชาสันติศึกษา เพื่อให้ได้มาซึ่งทางเลือกเกี่ยวกับรูปแบบของการฟื้นฟูและเยียวยาความขัด แย้ง อันจะนำไปสู่กระบวนการของการสร้างสันติภาพและความสมานฉันท์แก่ประชาชนและ สังคม ให้สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขในลำดับต่อไป

จากพุทธกิจวัตรแห่งพุทธองค์ที่ทรงปฏิบัติทำให้เกิดคุณประโยชน์แก่ชาวโลกทั้งมวล อันเป็นคุณค่ามหาศาลเพื่อการนี้ การจาริกสู่ดินแดนแห่งพุทธองค์ เป็นการแสวงหาซึ่งธรรม และเป็นการระลึกถึงซึ่งคุณต่างๆ และเพื่อการศึกษา ดูงานในสถานี่สำคัญ สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ลุมพินีวัน พุทธคยา สารนาถ กุสินารา และบ้านเกิดมหาตมคานธี อันเป็นบ่อเกิดแห่งพุทธสันติวิธี เพื่อสร้างสันติภาพภายในให้เกิดสันติภายนอกต่อสังคมโดยรวม

การเดินทางดูงานสังเวชนียสถาน 4 ตำบลของคณะดังกล่าวในครั้งนี้ได้บำเพ็ญขันติและวิริยบารมีขั้นอุกฤษฏ์เนื่องจากการเดินทางแต่ละจุดนั้นต้องกินเวลานานอย่างน้อย 7 ชั่วโมงสูงสุดนานถึง 13 ชั่วโมง มีทั้งเดินทางด้วยเครืองบิน รถบัสและรถไฟ บางช่วงถนนก็ลุ่มลึก เลนเดียว แต่ก็ไม่เห็นรถชนกันเลยเพราะคนขับอินเดียสติดีมาก บวกกับสภาพอากาศหนาวเย็นต้องต่อสู้กับขันธมารคือร่างกายบางคนสู้ไม่ไหวล้ม ป่วยก็มี แต่คณะก็สามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆเดินทาง "จาริกสันติธรรม" ได้ตามวัตถุประสงค์

กิจกรรมระหว่าง "จาริกสันติธรรม สู่ดินแดนแห่งพุทธภูมิ" ครั้งนี้ได้พระธรรมทูตประเทศอินเดีย-เนปาลทำหน้าที่เป็นวิทยากรหรือไกด์ บรรยายให้คำแนะนำสถานที่ หลักธรรม มีความเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้าอย่างไร รวมถึงสภาพบ้านเมืองอินเดียและการปฏิบัติตนระหว่างการเดินทาง ทั้งบนรถและตามจุดต่างๆ กิจวัตรที่ปฏิวัติเมื่อเดินทางไปถึงสังเวชนียสถานจุดต่างๆจะมีการไหว้พระทำ วัตรเช้า-เย็น และสวดมนต์บทที่เกี่ยวเนื่อง นั่งสมาธิ และฟังพระวิทยากรบรรยายธรรม

การบรรยายธรรมของพระวิทยากรนั้นนอกจากจะมีหน้าที่ดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังได้ยกหลักธรรมและเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าทำหน้าที่ในการแก้ปมความขัดแย้ง ขณะนั้น และได้ยกเหตุการณ์การเมืองไทยที่มีความขัดแย้งขณะนี้ขึ้นมาประกอบด้วย ทั้งนี้เนื่องจากหลักสูตรสาขาวิชาสันติศึกษา มจร นอกจากจะสร้างสันติภายในให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนแล้ว หน้าที่หลักหลังจากจบการศึกษาแล้วนั้นก็คือนำความรู้ไปแก้ปมความขัดแย้งของ สังคมด้วย

พุทธคยาเป็นจุดแรกที่จาริกสันติธรรมของคณะ เนื่องจากเป็นจุดที่เจ้าชายสิทธัตถะสามารถชนะมารบำเพ็ญเพียรจนสามารถบรรลุ ธรรมเกิดสันติภายใจอย่างถาวร แล้วสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นกับชาวโลกมายาวนานถึง 2,600 ปี โดยไม่ได้ใช้กำลังในแก้ปัญหาความขัดแย้งเลย

สาเหตุที่เจ้าชายสิทธัตถะสามารถบรรลุธรรมได้นั้นเนื่องจากละความสุดโต่งใน การแสวงหาความสุขทางกายที่เรียกว่า "กามสุขัลลิกานุโยค" โดยการออกบวชและหาทางบรรลุธรรมโดยได้ทดสอบแนวทางสุดโต่งด้วยการทรมานตนที่ เรียกว่า "อัตตกิลมถานุโยค" ถึง 6 ปียังไม่บรรลุดธรรม จึงได้หันมาใช้แนวทางแบบสายกลางที่เรียกว่า "มัชฌิมาปฏิปทา" หรือมรรคมีองค์ 8 เริ่มจากความเป็นที่ถูกต้องเป็นต้นจึงได้บรรลุธรรม

จุดนี้พระวิทยากรได้ยกเหตุการณ์การเมืองไทยที่มีความขัดแย้งกันอยู่ขณะนี้ ที่ยืนอยู่บนทางสุดโต่ง 2 ทางนั้น ยากที่จะทำให้บ้านเมืองสงบได้ จึงจำเป็นต้องใช้ทางสายกลางคือการเจรจา เพราะไม่มีฝ่ายใดจะได้ชัยชนะแบบ 100% ประกอบกับประชาธิปไตยไทยพัฒนามาเพียง 80 ปีกว่าเท่านั้นยังต้องพัฒนาการไป เพราะประเทศอังกฤษมีการพัฒนามานานตั้ง 800 ปี สหรัฐฯก็นานถึง 200 ปี และประชาธิปไตยไทยเป็นแบบ "แกงโฮ๊ะ" หยิบเอาประชาธิปไตยจากประเทศต่างๆมาประยุกต์ใช้ซึ่งอาจจะยังไม่ลงตัวก็เป็น ได้ ดังนั้นแนวทางที่ดีที่สุดก็คือต้องมีการประนีประนอมกัน

จุดที่สองที่คณะจาริกสันติธรรมเดินทางไปคือ "กุสินารา" ซึ่งเป็นสถานที่ปรินิพานของพระพุทธเจ้า สาเหตุที่คณะได้ทางต่อมาที่จุดแห่งนี้ก็เพราะความสะดวกของการเดินทางที่ไม่ ต้องย้อนไปย้อนมา ที่จุดนี้ทำให้ได้ทราบถึงแนวทางของการแก้ปัญหาความขัดแย้งก็คือหลังถวายพระ เพลิงพระบรมศพพระพุทธเจ้าแล้ว เกิดการแย่งพระบรมสารีริกธาตุระหว่างเจ้าแคว้นต่างๆที่พระพุทธเจ้าเดินทางไป เผยแพร่ธรรม ได้โทณพราหมณ์เตือนสติเจ้าแคว้นต่างๆได้เห็นอุดมการณ์ของพระพุทธศาสนาคือไม่ ควรขัดแย้งทำร้ายกันตามที่พระพุทธเจ้าให้ไว้ในวันมาฆบูชา เพราะหากใช้กำลังทำสงครามแย่งชิงพระบรมสารีริกธาตุแล้วย่อมทำให้ประชาชนล้ม ตายเป็นจำนวนมาก เหตุการณ์ครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของโทณพราหมณ์ที่ใช้หลักของการ แก้ความขัดแย้งเริ่มจากการเจรจา

จุดที่สามคือสวนลุมพินีวันประเทศเนปาลซึ่งเป็นสถานที่ประสูติ ทางยูเนสโกได้ประกาศให้เป็นสถานที่มรดกโลกจุดไฟสันติภาพต่อเนื่องมาแบบไม่ดับ เพราะเห็นความสำคัญของพระพุทธเจ้าที่เป็นตัวอย่างของการสร้างสันติภาพในโลก พร้อมกันนี้ยังได้เห็นพุทธวิธีในการแก้ปัญหาความขัดแย้งจากกรณีที่ชาวนา ระหว่างเมืองสักกะกับวิเทหะที่เป็นพระญาติทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันเนื่องแย้ง น้ำทำนา และความขัดแย้งลุกลามไปถึงกษัตริย์ที่ยกชาติพันธุ์มาเป็นชนวน พระพุทธเจ้าได้ใช้วิธีเตือนสติให้เห็นความสำคัญของเลือดมากกว่าน้ำปัญหาจึง ยุติ

และอีกเหตุการณ์หนึ่ง พระเจ้าวิฑูรทัพพะราชโอรสของพระเจ้าปเทนทิโกศลที่เกิดจากนางทาสีที่เจ้าศากย วงศ์ยอมแมวว่าเป็นธิดา มีความโกรธแคว้นเจ้าศากยวงศ์เพราะเหตุดังกล่าว ยกทัพไปปราบ พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปเตือนสติถึง 3 ครั้ง แต่ครั้งที่ 4 พระองค์ทรงเห็นว่าทรงห้ามไม่ได้แล้วเพราะเห็นแห่งกรรมเก่าจึงทรงนิ่งเสีย ส่งผลให้พระเจ้าวิฑูรทัพพะสังหารเจ้าศากยวงศ์จนหมดสิ้น แต่พระองค์เองก็สิ้นพระชมน์ในสายน้ำในเวลาต่อมา เหตุการณ์ครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าพระพุทธเจ้าได้ทำหน้าที่ของพระองค์อย่าง เต็มที่แล้วแม้ว่าจะไม่สามารถก็ปัญหาความขัดแย้งได้ เพราะสัตว์โลกเป็นไปตามกรรม

จุดที่สี่คือเมืองสาวัตถีเป็นเมืองที่พระพุทธเจ้าจำพรรษานานที่สุด มีหลักธรรมเกิดขึ้นมากมาย และมีพุทธวิธีที่แก้ความขัดแย้งนั้นก็คือความขัดแย้งของพระเมืองโกสัมพี ที่ทะเลาะกันเพราะเรื่องเล็กน้อยแต่ลุกลามใหญ่โตแบ่งเป็นสองฝ่ายชัดเจนเหมือน เมืองไทย เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบได้ทรงใช้วิธีให้พระทั้งสองกลุ่มเจรจาประนีประนอม กันแต่ไม่เป็นผล อันเป็นสาเหตุให้พระพุทธเจ้าปลีกวิเวกไปจำพรรษาแต่เพียงพระองค์เดียวที่ป่า ปาลิไลยกะมีช้างและลิงคอยดูแล เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้ชาวเมืองโกสัมพีเสียประโยชน์ที่ไม่ได้เฝ้าพระพุทธเจ้า จึงแก้เผ็ดหรือทำลายทิฐิพระด้วยการไม่ใส่บาตรไม่คบค้าสมาคมด้วย ส่งผลให้พระสำนึกผิดแล้วหันมาคือดีกันปัญหาก็ยุติ ที่เมืองนี้เองทำให้ได้ทราบพุทธวิธีในการแก้ปัญหาความขัดแย้งหลายประการ

จุดที่ห้าคือเมืองสารนาถหรือเมืองพาราณสีซึ่งเป็นเมืองที่พระพุทเจ้าแสดง ปฐมเทศนา แต่จุดที่น่าสุดใจตรงนี้ในการแก้ความขัดแย้งนั้นก็คือลูกเศรษฐีชื่อยสะเกิด ความเบื่อหายในการครองเรื่องได้หนีออกจากบ้านแล้วบนไปตลอดทางว่า "วุ่นวายหนอ ขัดข้องหนอ" จนกระทั้งไปพบพระพุทธเจ้าได้ฟังธรรมจนบรรลุธรรมออกบวช ซึ่งถือว่าเป็นการพบความสงบภายใน แล้วพระพุทธเจ้าก็ส่งไปช่วยสร้างสันติให้เกิดขึ้นในสังคมอินเดียต่อไป

จุดที่หกคือชมพิพิธภัณฑ์มหาตมะ คานธี ตั้งอยู่บนถนน Tees January Marg ใจกลางกรุงนิวเดลี เมืองหลวงของประเทศอินเดีย ภายในบริเวณพิพิธภัณฑสถาน ประกอบด้วยบ้านพักที่มหาตมะ คานธีอาศัยอยู่ในช่วง 144 วันสุดท้ายของชีวิต ตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2490 จนกระทั่งถูกลอบสังหารในวันที่ 30 มกราคม 2491 นิทรรศการแสดงภาพชีวประวัติและเรื่องราวการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องเอกราช อนุสรณ์สถาน ณ บริเวณที่มหาตมะคานธีเสียชีวิต รูปปั้นมหาตมะ คานธี เปลวเพลิงเป็นเครื่องรำลึกถึงมหาตมะ คานธี กลองสันติภาพ ห้องจัดแสดงตุ๊กตาจำลองเรื่องราวชีวิตของมหาตมะคานธี

ภายในบริเวณอาคารบ้านพักเป็นที่จัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัวของมหาตมะ คานธี ภาพถ่าย เอกสารต้นฉบับที่เขียนด้วยลายมือของมหาตมะคานธี และเอกสารอื่นๆ รวมถึงภาพยนต์สารคดีที่แสดงถึงชีวประวัติ แนวความคิด และการเคลื่อนไหวเพื่อการเรียกร้องเอกราชของมหาตมะคานธี โดยการใช้เครื่องมือโสตทัศนูปกรณ์และเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการนำเสนอเรื่อง ราวต่างๆ

การจัดแสดงผลงานของมหาตมะ คานธีในรูปแบบต่างๆนั้น ต้องการสื่อให้เห็นภาพของสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นกับประเทศอินเดียด้วยการ เรียกร้องเอกราชจากประเทศอังกฤษด้วยวิธีการอหิงสาและอารยะขัดขืน และภายในพิพิธภัณฑ์ได้แสดงภาพของพระพุทธเจ้าหลายจุดด้วยกันอันแสดงเห็นว่ามี อิทธิพลต่อความคิดของมหาตมะ คานธีอย่างมากจนสามารถเรียกร้องเอกราชจากประเทศอังกฤษสำเร็จและกำหนดให้วัน ที่ 26 ม.ค.ของทุกปีเป็นวันชาติ อย่างเช่นคำว่า "ฉันไม่สามารถสอนความรุนแรงให้แก่เธอได้ เพราะตัวฉันเองไม่เชื่อมั่นว่าความรุนแรงสามารถแก้ปัญหาได้ ความจริงคือ ตาต่อตาทำให้โลกทั้งโลกมืดบอด"

ตลอดระยะเวลา 10 วัน 9 คืน ที่ได้มีโอกาสเกาะชายคณะนิสิตปริญญาโทสันติศึกษา มจร ตามโครงการ "จาริกสันติธรรม สู่ดินแดนแห่งพุทธภูมิ" ประเทศอินเดีย-เนปาล เกือบรอบประเทศอินเดีย ได้ร่วมทำกิจกรรมต่างๆ ส่งผลให้เกิดปีติไม่น้อย เพราะหากไม่ได้คณะนี้ก็ไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสเช่นนี้เมื่อใด นับได้ว่าคณะนิสิตปริญญาโทสันติศึกษา มจร ได้มีส่วนสร้างสันติให้เกิดขึ้นใจจิตใจมากพอสมควร และได้เห็นว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยใช้กำลังในการแก้ปัญหาเลย คิดว่าคงจะเป็นแรงกระตุ้นและแนวทางในแก้ปัญหาความขัดแย้งทางเมืองไทยในขณะ นี้ได้ในระดับหนึ่ง เมื่อมียาอยู่ในสังคมไทยแล้วอยู่ที่ว่าผู้ป่วยจะกินยาหรือไม่ หรือว่าสังคม(การเมือง)ไทยลืมยาขนาดนี้ไปเสียแล้ว

ขอบคุณ... http://www.komchadluek.net/mobile/detail/20140129/177787.html (ขนาดไฟล์: 167)

(คมชัดลึกออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 29 ม.ค.57)

ที่มา: คมชัดลึกออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 29 ม.ค.57
วันที่โพสต์: 29/01/2557 เวลา 04:25:54 ดูภาพสไลด์โชว์  วิศวกรสันติภาพ'มจร'พบพุทธวิธีแก้ขัดแย้งการเมืองไทย

แสดงความคิดเห็น

รอตรวจสอบ
จัดฟอร์แม็ต ดูการแสดงผล

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

ยกเลิก

รายละเอียดกระทู้

ภาพหมู่ผู้เข้าร่วมโครงการ \"จาริกสันติธรรม สู่ดินแดนแห่งพุทธภูมิ\" ประเทศอินเดีย-เนปาล จำนวน 40 รูป/คน ขณะนี้สังคมไทยยังมองไม่เห็นแนวทางแก้ปมขัดแย้งทางการเมืองไทย อันเกิดจากความเห็นสุดขั้ว 2 กลุ่มคือ ต้องเลือกตั้งก่อนปฏิรูปการเมือง ยึดประชานิยมเป็นสรณะ ภายใต้การนำของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับกลุ่มที่ต้องการปฏิรูปการเมืองก่อนการเลือกตั้งภายใต้การนำของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกปปส.ได้นำมวลมหาประชาชนออกมาชุมนุมประท้วงการบริหารงานของกลุ่มแรก อันมีมูลเหตุมาจากต้องการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จนบานปลายเป็นไล่ระบบทักษิณถึงขั้นปิดกรุงเทพมหานครตั้งแต่วันที่ 13 ม.ค.ที่ผ่าน ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก สร้างความเสียหายทางโอกาสด้านต่างๆอีกมากมาย ช่วงที่การเมืองไทยมีความวุ่นวายอยู่นี้เอง ได้มีโอกาสปลีกวิเวกร่วมคณะนิสิตปริญญาโทสันติศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) รุ่นที่ 1 (และกำลังรับสมัครรุ่นที่ 2) ตามโครงการ "จาริกสันติธรรม สู่ดินแดนแห่งพุทธภูมิ" ประเทศอินเดีย-เนปาล จำนวน 40 รูป/คน ระหว่างวันที่ 16-26 มกราคมที่ผ่านมา ภายใต้การนำของพระมหาหรรษา ธมฺมหาโส ผู้อำนวยการหลักสูตรดังกล่าว ทั้งนี้มองเห็นว่า สังคมโลกในยุคโลกาภิวัตน์นั้น เป็นสังคมที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและความรุนแรงในหลายมิติด้วยกัน กล่าวคือ ด้านค่านิยม ทัศนคติ ภาษา ศาสนา ความต้องการ ผลประโยชน์ และกลุ่มชาติพันธุ์ ที่พยายามจะดำรงและรักษาความเป็นอัตลักษณ์ และผลประโยชน์ของกลุ่มตัวเองเอาไว้และการที่สังคมโลกไม่สามารถที่จะแสวงหา ความสมดุลในโลกแห่งความแตกต่างจึงทำให้ความขัดแย้งได้พัฒนาไปสู่ความรุนแรง ในที่สุด จากประเด็นปัญหาความขัดแย้ง และความรุนแรงดังกล่าวนั้น จึงทำให้เกิดการแสวงหาทางเลือกเพื่อนำมาฟื้นฟูและเยียวยาความขัดแย้งและความรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตั้งคำถามและการแสวงหาทางเลือกตามที่ปรากฏอยู่ในพระ พุทธศาสนา ด้วยเหตุนี้บัณฑิตวิทยาลัย มจร ได้ตระหนักรู้ปัญหาความขัดแย้งและความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคมไทยและสังคม โลก จึงได้จัดทำหลักสูตรสาขาวิชาสันติศึกษา เพื่อให้ได้มาซึ่งทางเลือกเกี่ยวกับรูปแบบของการฟื้นฟูและเยียวยาความขัด แย้ง อันจะนำไปสู่กระบวนการของการสร้างสันติภาพและความสมานฉันท์แก่ประชาชนและ สังคม ให้สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขในลำดับต่อไป จากพุทธกิจวัตรแห่งพุทธองค์ที่ทรงปฏิบัติทำให้เกิดคุณประโยชน์แก่ชาวโลกทั้งมวล อันเป็นคุณค่ามหาศาลเพื่อการนี้ การจาริกสู่ดินแดนแห่งพุทธองค์ เป็นการแสวงหาซึ่งธรรม และเป็นการระลึกถึงซึ่งคุณต่างๆ และเพื่อการศึกษา ดูงานในสถานี่สำคัญ สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ลุมพินีวัน พุทธคยา สารนาถ กุสินารา และบ้านเกิดมหาตมคานธี อันเป็นบ่อเกิดแห่งพุทธสันติวิธี เพื่อสร้างสันติภาพภายในให้เกิดสันติภายนอกต่อสังคมโดยรวม การเดินทางดูงานสังเวชนียสถาน 4 ตำบลของคณะดังกล่าวในครั้งนี้ได้บำเพ็ญขันติและวิริยบารมีขั้นอุกฤษฏ์เนื่องจากการเดินทางแต่ละจุดนั้นต้องกินเวลานานอย่างน้อย 7 ชั่วโมงสูงสุดนานถึง 13 ชั่วโมง มีทั้งเดินทางด้วยเครืองบิน รถบัสและรถไฟ บางช่วงถนนก็ลุ่มลึก เลนเดียว แต่ก็ไม่เห็นรถชนกันเลยเพราะคนขับอินเดียสติดีมาก บวกกับสภาพอากาศหนาวเย็นต้องต่อสู้กับขันธมารคือร่างกายบางคนสู้ไม่ไหวล้ม ป่วยก็มี แต่คณะก็สามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆเดินทาง "จาริกสันติธรรม" ได้ตามวัตถุประสงค์ กิจกรรมระหว่าง "จาริกสันติธรรม สู่ดินแดนแห่งพุทธภูมิ" ครั้งนี้ได้พระธรรมทูตประเทศอินเดีย-เนปาลทำหน้าที่เป็นวิทยากรหรือไกด์ บรรยายให้คำแนะนำสถานที่ หลักธรรม มีความเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้าอย่างไร รวมถึงสภาพบ้านเมืองอินเดียและการปฏิบัติตนระหว่างการเดินทาง ทั้งบนรถและตามจุดต่างๆ กิจวัตรที่ปฏิวัติเมื่อเดินทางไปถึงสังเวชนียสถานจุดต่างๆจะมีการไหว้พระทำ วัตรเช้า-เย็น และสวดมนต์บทที่เกี่ยวเนื่อง นั่งสมาธิ และฟังพระวิทยากรบรรยายธรรม การบรรยายธรรมของพระวิทยากรนั้นนอกจากจะมีหน้าที่ดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังได้ยกหลักธรรมและเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าทำหน้าที่ในการแก้ปมความขัดแย้ง ขณะนั้น และได้ยกเหตุการณ์การเมืองไทยที่มีความขัดแย้งขณะนี้ขึ้นมาประกอบด้วย ทั้งนี้เนื่องจากหลักสูตรสาขาวิชาสันติศึกษา มจร นอกจากจะสร้างสันติภายในให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนแล้ว หน้าที่หลักหลังจากจบการศึกษาแล้วนั้นก็คือนำความรู้ไปแก้ปมความขัดแย้งของ สังคมด้วย พุทธคยาเป็นจุดแรกที่จาริกสันติธรรมของคณะ เนื่องจากเป็นจุดที่เจ้าชายสิทธัตถะสามารถชนะมารบำเพ็ญเพียรจนสามารถบรรลุ ธรรมเกิดสันติภายใจอย่างถาวร แล้วสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นกับชาวโลกมายาวนานถึง 2,600 ปี โดยไม่ได้ใช้กำลังในแก้ปัญหาความขัดแย้งเลย สาเหตุที่เจ้าชายสิทธัตถะสามารถบรรลุธรรมได้นั้นเนื่องจากละความสุดโต่งใน การแสวงหาความสุขทางกายที่เรียกว่า "กามสุขัลลิกานุโยค" โดยการออกบวชและหาทางบรรลุธรรมโดยได้ทดสอบแนวทางสุดโต่งด้วยการทรมานตนที่ เรียกว่า "อัตตกิลมถานุโยค" ถึง 6 ปียังไม่บรรลุดธรรม จึงได้หันมาใช้แนวทางแบบสายกลางที่เรียกว่า "มัชฌิมาปฏิปทา" หรือมรรคมีองค์ 8 เริ่มจากความเป็นที่ถูกต้องเป็นต้นจึงได้บรรลุธรรม จุดนี้พระวิทยากรได้ยกเหตุการณ์การเมืองไทยที่มีความขัดแย้งกันอยู่ขณะนี้ ที่ยืนอยู่บนทางสุดโต่ง 2 ทางนั้น ยากที่จะทำให้บ้านเมืองสงบได้ จึงจำเป็นต้องใช้ทางสายกลางคือการเจรจา เพราะไม่มีฝ่ายใดจะได้ชัยชนะแบบ 100% ประกอบกับประชาธิปไตยไทยพัฒนามาเพียง 80 ปีกว่าเท่านั้นยังต้องพัฒนาการไป เพราะประเทศอังกฤษมีการพัฒนามานานตั้ง 800 ปี สหรัฐฯก็นานถึง 200 ปี และประชาธิปไตยไทยเป็นแบบ "แกงโฮ๊ะ" หยิบเอาประชาธิปไตยจากประเทศต่างๆมาประยุกต์ใช้ซึ่งอาจจะยังไม่ลงตัวก็เป็น ได้ ดังนั้นแนวทางที่ดีที่สุดก็คือต้องมีการประนีประนอมกัน จุดที่สองที่คณะจาริกสันติธรรมเดินทางไปคือ "กุสินารา" ซึ่งเป็นสถานที่ปรินิพานของพระพุทธเจ้า สาเหตุที่คณะได้ทางต่อมาที่จุดแห่งนี้ก็เพราะความสะดวกของการเดินทางที่ไม่ ต้องย้อนไปย้อนมา ที่จุดนี้ทำให้ได้ทราบถึงแนวทางของการแก้ปัญหาความขัดแย้งก็คือหลังถวายพระ เพลิงพระบรมศพพระพุทธเจ้าแล้ว เกิดการแย่งพระบรมสารีริกธาตุระหว่างเจ้าแคว้นต่างๆที่พระพุทธเจ้าเดินทางไป เผยแพร่ธรรม ได้โทณพราหมณ์เตือนสติเจ้าแคว้นต่างๆได้เห็นอุดมการณ์ของพระพุทธศาสนาคือไม่ ควรขัดแย้งทำร้ายกันตามที่พระพุทธเจ้าให้ไว้ในวันมาฆบูชา เพราะหากใช้กำลังทำสงครามแย่งชิงพระบรมสารีริกธาตุแล้วย่อมทำให้ประชาชนล้ม ตายเป็นจำนวนมาก เหตุการณ์ครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของโทณพราหมณ์ที่ใช้หลักของการ แก้ความขัดแย้งเริ่มจากการเจรจา จุดที่สามคือสวนลุมพินีวันประเทศเนปาลซึ่งเป็นสถานที่ประสูติ ทางยูเนสโกได้ประกาศให้เป็นสถานที่มรดกโลกจุดไฟสันติภาพต่อเนื่องมาแบบไม่ดับ เพราะเห็นความสำคัญของพระพุทธเจ้าที่เป็นตัวอย่างของการสร้างสันติภาพในโลก พร้อมกันนี้ยังได้เห็นพุทธวิธีในการแก้ปัญหาความขัดแย้งจากกรณีที่ชาวนา ระหว่างเมืองสักกะกับวิเทหะที่เป็นพระญาติทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันเนื่องแย้ง น้ำทำนา และความขัดแย้งลุกลามไปถึงกษัตริย์ที่ยกชาติพันธุ์มาเป็นชนวน พระพุทธเจ้าได้ใช้วิธีเตือนสติให้เห็นความสำคัญของเลือดมากกว่าน้ำปัญหาจึง ยุติ และอีกเหตุการณ์หนึ่ง พระเจ้าวิฑูรทัพพะราชโอรสของพระเจ้าปเทนทิโกศลที่เกิดจากนางทาสีที่เจ้าศากย วงศ์ยอมแมวว่าเป็นธิดา มีความโกรธแคว้นเจ้าศากยวงศ์เพราะเหตุดังกล่าว ยกทัพไปปราบ พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปเตือนสติถึง 3 ครั้ง แต่ครั้งที่ 4 พระองค์ทรงเห็นว่าทรงห้ามไม่ได้แล้วเพราะเห็นแห่งกรรมเก่าจึงทรงนิ่งเสีย ส่งผลให้พระเจ้าวิฑูรทัพพะสังหารเจ้าศากยวงศ์จนหมดสิ้น แต่พระองค์เองก็สิ้นพระชมน์ในสายน้ำในเวลาต่อมา เหตุการณ์ครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าพระพุทธเจ้าได้ทำหน้าที่ของพระองค์อย่าง เต็มที่แล้วแม้ว่าจะไม่สามารถก็ปัญหาความขัดแย้งได้ เพราะสัตว์โลกเป็นไปตามกรรม จุดที่สี่คือเมืองสาวัตถีเป็นเมืองที่พระพุทธเจ้าจำพรรษานานที่สุด มีหลักธรรมเกิดขึ้นมากมาย และมีพุทธวิธีที่แก้ความขัดแย้งนั้นก็คือความขัดแย้งของพระเมืองโกสัมพี ที่ทะเลาะกันเพราะเรื่องเล็กน้อยแต่ลุกลามใหญ่โตแบ่งเป็นสองฝ่ายชัดเจนเหมือน เมืองไทย เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบได้ทรงใช้วิธีให้พระทั้งสองกลุ่มเจรจาประนีประนอม

จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย

  1. เพิ่ม
  2. เพิ่ม ลบ
  3. เพิ่ม ลบ
  4. เพิ่ม ลบ
  5. เพิ่ม ลบ
  6. เพิ่ม ลบ
  7. เพิ่ม ลบ
  8. เพิ่ม ลบ
  9. เพิ่ม ลบ
  10. ลบ
เลือกการตกแต่งที่ต้องการ

ตกลง ยกเลิก

รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)

Waiting...