เพราะเมาแล้วขับ EP.4 น้ำเปลี่ยนนิสัย แว้นจนพิการ ดับฝันที่ไม่เคยได้ลองทำ
น้ำเมาเปลี่ยนนิสัย ทำใจกล้าแว้นแข่งรถ สุดท้ายล้มหลังกระแทกพื้น สูญเสียการเคลื่อนไหวช่วงล่าง 2 ปีแรกขังตัวอยู่ในบ้าน เหตุรับสภาพตัวเองไม่ได้ เผยเสียดายฝันที่อยากเป็น 'ทหาร-ตำรวจ' เพราะไม่เคยแม้แต่ได้ลองพยายาม
สกู๊ปซีรีส์ 'เพราะเมาแล้วขับ' ตลอด 3 EP. ที่ผ่านมา คงจะเป็นเครื่องช่วยยืนยันได้ว่า ผลร้ายของ เมาแล้วขับ มีแต่คำว่า สูญเสีย สูญเสีย และสูญเสีย
ซึ่งเรื่องราวใน EP.4 ที่ผู้อ่านกำลังจะได้สัมผัสต่อจากนี้ เป็นอีกเรื่องราวของ นักกีฬาวีลแชร์บาสเกตบอลทีมชาติไทย อายุ 24 ปี ที่มีนามว่า 'ออม-พชร แก้วสุข' และสำหรับเคสนี้ ตัวของเขาเองเป็นคนที่เมาแล้วขับ…
น้ำเมาเปลี่ยนนิสัย :
ความสูญเสียของออม เกิดขึ้นเมื่อเขาอายุ 17 ปี และชีวิตกำลังย่างเข้าสู่ปีที่ 18 ออม เล่าว่า ก่อนวันเกิดเหตุเป็นวันจันทร์ ผมและกลุ่มเพื่อนเพิ่งสอบปลายภาคปิดเทอม ม.4 เสร็จพอดี พวกเรานัดกันว่าพรุ่งนี้ (วันอังคาร) จะไปฉลองปิดเทอม แวะเล่นน้ำ แล้วคงมีดื่มกันนิดหน่อย
"พอดื่มแล้วก็ชวนกันไปแข่งรถ ตอนนั้นผมขี่มอเตอร์ไซค์ด้วยความเร็ว 100 กว่า ผมเร่งเต็มที่แบบไม่ผ่อนเลย คราวนี้ไปถึงช่วงทางโค้ง ทำให้รถสะบัด ด้วยความที่คนก็เบา รถก็เบา ทำให้ผมคุมอะไรไม่ได้ จนรถพลิกล้ม หลังไปกระแทกกับพื้น"
พชร เล่าต่อไปว่า ตอนนั้นผมไม่มีแผลและไม่สลบ แต่ผมจำความอะไรไม่ค่อยได้ เพื่อนบอกกับผมว่า ยังโชคดีที่ล้มตรงนั้น เพราะถ้าร่างกระเด็นไปประมาณหนึ่งคืบ หัวผมอาจจะโดนเสาหลักลายริมถนน และอาการคงจะโคม่ากว่านี้!
เหตุการณ์ครั้งนั้นพอจะเรียกว่า ออมยังมีโชค ได้หรือไม่ เพราะเขาบอกกับเราว่า จังหวะที่ผมล้มมีคนขับรถตามมาพอดี และเขาทำอาชีพ พยาบาล พี่เขารีบลงมาดูผม พร้อมกับบอกเพื่อนว่า ห้ามเคลื่อนย้าย เพราะถ้าทำผิดวิธีอาจจะส่งผลเสียได้ คงเป็นโชคดีของผมมั้งครับ เพราะถ้าตรงนั้นมีแค่เพื่อน ผมมั่นใจว่าเพื่อนจะช่วยขยับตัวผมออกมา
ก่อนเกิดเหตุดื่มไปเยอะไหม? ทีมข่าวฯ สอบถามออม เขาตอบว่า ผมดื่มไม่เยอะเลยครับพี่ ผมเพิ่งหัดดื่มด้วยซ้ำ เพราะปกติเวลาไปไหนกับเพื่อนผมไม่ได้ดื่ม วันนั้นอารมณ์ประมาณ 'กรึ่มๆ' มึนๆ เมาๆ นิดหน่อย แต่ประเด็นมันอยู่ตรงที่ 'ฤทธิ์แอลกอฮอล์' ทำให้ผมกล้ามากขึ้น
"ปกติผมไม่ได้เป็นเด็กที่แข่งรถแบบนี้ด้วยซ้ำนะครับ นั่นคือครั้งแรกของผมเลย พอดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป มันทำให้ผมคึกขึ้น ใจกล้ามากขึ้น แล้ววันนั้นที่ผมออกมาเที่ยว ผมก็อ้างแม่ว่าจะไปแก้ผลการเรียนที่บ้านเพื่อน เขาเลยอนุญาตให้ผมออกมาได้" ออม พชร กล่าวเปิดใจกับทีมข่าวฯ
โอกาสเดินได้เป็นศูนย์ :
หลังจากพยาบาลแนะนำว่าห้ามเคลื่อนย้าย เขาก็ได้รีบช่วยโทรเรียกรถกู้ภัยมาที่เกิดเหตุ ออมถูกเคลื่อนย้ายขึ้นรถ พร้อมกันนั้นมีเพื่อนคนหนึ่งคอยติดตามเขาไปด้วย ออมเอ่ยขึ้นตรงนี้ว่า ชอตนั้นผมจำได้เลยครับ อาสากู้ภัยบอกให้เพื่อนตบหน้าผมไว้ตลอด ห้ามปล่อยให้ผมหลับจนกว่าจะถึงโรงพยาบาล
เมื่อถึงปลายทาง ออมถูกนำตัวเข้าห้องฉุกเฉินทันที! เขาเผยถึงความรู้สึกขณะนั้นว่า ผมสะลึมสะลือ จำอะไรไม่ค่อยได้สักเท่าไร แต่รู้สึกว่าอยากขยับตัว อยากลุก ตอนนั้นยังไม่รู้จักคำว่า 'ขาไม่รู้สึก' หรือ 'ความพิการ' เลยด้วยซ้ำ คิดแค่ว่าที่ขยับไม่ได้คงเพราะขาหัก
"แต่แล้ว 2 คืนนับจากนั้น ผมก็ได้มารู้ว่าตัวเองพิการ แพทย์แจ้งกับผมและครอบครัวว่า 'โอกาสเดินได้ โอกาสที่ขาจะรู้สึก เป็นศูนย์' ผมสูญเสียการเคลื่อนไหวช่วงล่าง ส่วนระบบการขับถ่ายก็คุมไม่ได้ตามปกติ"
"โห…พี่ ตอนนั้นผมไม่เอาอะไรแล้ว" นั่นคือคำตอบที่เราได้รับ หลังจากถามออมไปว่า รู้สึกอย่างไรบ้างเมื่อรู้ว่าตัวเองเดินไม่ได้?
ออม เล่าต่อว่า ผมนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 2 เดือนเต็ม รักษาตัวเรื่องอุบัติเหตุ 1 เดือน แล้วก็ได้กลับบ้าน แต่กลายเป็นว่าตอนรักษาผมดันติด มอร์ฟีน (Morphine) ทำให้กลับบ้านมาแล้วผมงอแงใส่แม่ ผมบ่นว่าปวดตัวมาก ทั้งที่ความจริงปวดนิดเดียว
"นั่นก็เพราะว่าร่างกายผมรู้สึกอยากมอร์ฟีน แม่เลยพาผมไปโรงพยาบาลอีกครั้ง แต่แทนที่จะได้กลับไว ผมดันติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ แล้วพอนอนโรงพยาบาลต่ออีก 2 วัน ก็ได้รับเชื้อดื้อยามาอีก สรุปผมอยู่ยาว 2 เดือน เอาจริงๆ ตัวผมเองก็งอแงแต่แรกด้วย"
ทูนหัวของแม่ :
"รักใดเล่าเท่ารักจากแม่" ประโยคนี้คงจะเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง สำหรับคุณแม่ของ ออม พชร ที่เราเอ่ยขึ้นมาเช่นนี้ ต้องย้อนกลับไปที่วันเกิดเหตุอีกครั้ง…
พชร เล่าว่า หลังจากผมถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล เพื่อนก็รีบขี่มอเตอร์ไซค์กลับไปที่บ้าน แล้วบอกแม่ของผมว่า "ออมรถชน" เพื่อนผมเล่าว่า พอพูดแบบนั้นไป แม่เหมือนคนไม่เอาอะไรแล้ว รองเท้าก็ไม่ใส่ วิ่งขึ้นมอเตอร์ไซค์ หวังจะขี่ออกจากบ้านไปโรงพยาบาลให้ได้ แต่โดนพ่อตะโกนห้ามไว้ก่อน เพราะตอนนั้นแม่ตกใจจนเหมือนไม่มีสติ พ่อกลัวแม่จะประสบอุบัติเหตุไปอีกคน เลยบอกให้แม่อาบน้ำ แต่งตัวให้เรียบร้อย แล้วก็ไปโรงพยาบาลพร้อมกัน
ตอนที่ผมออกมาข้างนอก พี่ๆ เพื่อนๆ มารวมกันเกือบ 30 คน มองไปอีกทีก็เห็นแฟน นอกจากนั้นผมเห็นแม่ยืนร้องไห้หน้าห้อง ผมรีบยกมือไหว้แม่ ก่อนจะพูดกับเขาว่า "ขอโทษครับ" ออมบรรยายความทรงจำที่ยังชัดเจน
แล้วตอนที่เข็นรถออกมาเจอแม่ ออมรู้สึกยังไงบ้าง? เรายิงคำถามนี้ต่อทันที ด้าน พชร ตอบว่า ตอนนั้นกลัวครับ ผมกลัวแม่มาก เลยรีบยกมือไหว้เขาก่อน แต่แม่ไม่ได้ดุว่าอะไรผมเลย เขาเข้ามาหอมแก้มและร้องไห้ไปด้วย ส่วนพ่อก็อยู่ไม่ห่างเลย ซึ่งเขาก็เป็นห่วงเหมือนกัน
"เป็นลูกคนเดียวใช่ไหมครับ?" ทีมข่าวฯ ถาม "ใช่ครับ ผมเป็นลูกชายคนเดียว" ออมตอบ
"แต่ก่อนผมเป็นคนกลัวแม่มากครับ แม่เขาก็จะห่วงและคอยตามตลอด เช่น ผมมีซ้อมกีฬาพายเรือ ตั้งแต่ 17.00-20.00 น. ผมจะนั่งเล่นต่ออยู่ที่บ้านรุ่นพี่ถึง 21.00 น. แม่ก็จะโทรตามกลับบ้าน คือเขาห่วงผมมากๆ"
ดื้อกับแม่ และพยายามปลิดชีพตัวเอง 3 ครั้ง :
ออมบอกกับเราว่า ก่อนที่จะประสบอุบัติเหตุ ตนเป็นคนกลัวและเกรงใจแม่มาก แต่หลังจากรู้ตัวว่าขาพิการ ทำให้กลายเป็นคนที่อารมณ์ร้อน มักแสดงพฤติกรรมไม่น่ารักใส่แม่และพ่ออยู่บ่อยครั้ง จนเขาถึงกับเอ่ยปากกับทีมข่าวฯ ว่า "ทุกวันนี้ย้อนกลับไปมองตัวเองในอดีต ก็รู้สึกสะเทือนใจสุดๆ ต่อสิ่งที่ทำลงไปกับแม่ เพราะผมคิดจะฆ่าตัวตายถึง 3 ครั้งแล้ว"
พอได้ฟังเช่นนั้นเราถึงกับตกใจจนต้องถามกลับว่า "อันนี้แค่คิดใช่ไหมครับ" ออมตอบว่า "ไม่ใช่ครับ ผมพยายามฆ่าตัวตายเลย" คำตอบของเขายิ่งทำให้เราตกใจขึ้นไปอีก แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีที่วันนี้เขายังมีลมหายใจ และมีโอกาสมาถ่ายทอดชีวิต เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจถึงทุกคน อย่างไรก็ตาม ออมได้เผยถึงบางช่วงที่ตัวเองเคยคิดลาโลกให้เราฟังว่า…
"ครั้งแรกเกิดขึ้นหลังจากเดินไม่ได้ประมาณ 6 เดือน ผมหยิบเชือกจากข้างนอกเข้าไปในห้อง ค่อยๆ คลานไปที่ประตูซึ่งมีราวจับอยู่ หวังจะผูกคอตัวเอง แต่พ่อพังประตูเข้ามาช่วยก่อน หลังจากนั้นเกือบเดือนผมก็พยายามอีก ครั้งนี้ผมกินน้ำยาปรับสภาพตู้ปลา แต่แม่เห็นทันเลยปัดขวดร่วง ส่วนพ่อก็รีบมาอุ้มส่งโรงพยาบาลล้างท้อง และครั้งที่สาม ช่วงนั้นขาขวาเริ่มกะเผลกได้ ผมปีนขึ้นรถไถ หวังจะทิ้งตัวลงมา แต่พ่อก็มาช่วยทันก่อน"
ออม เล่าต่อว่า พอมองย้อนกลับไป แม่เขารักผมมาก เขาก็เลยเจ็บปวดมากๆ กับสิ่งที่ผมทำลงไป อย่างรอบแรกพอพ่อพังประตูเข้ามาได้ แม่เข้ามากอดผมแล้วร้องไห้ เขาร้องไห้หนักมาก ร้องจนไม่รู้จะร้องยังไง เขาบอกว่ายอมผมทุกอย่าง ผมอยากได้อะไรเขาก็จะหาให้
"ช่วงนั้นที่ทำตัวแบบนั้น ผมยอมรับเลยว่า ผมปรับอารมณ์ไม่ได้ ผมกลายเป็นเด็กงอแงใส่แม่ เอาแต่ใจ อะไรไม่ถูกใจก็โวยวาย ปาของบ้าง รวมๆ คือแย่ครับ แต่ตอนนี้ไม่เป็นแบบนั้นแล้ว มันเลยทำให้ผมมองย้อนไปว่า นั่นคือสิ่งที่พลาดอีก 1 อย่าง ที่ทำตัวแบบนั้นกับแม่"
ไม่อยากเจอโลกภายนอก 2 ปี :
พชร เล่าต่อว่า นอกจากจะดื้อกับแม่แล้ว ผมยังเก็บตัวอยู่บ้านจนถึงอายุประมาณ 20 รวมเวลาก็ 2 ปี เกือบ 3 ปี เพราะตอนนั้นคิดว่าตัวเองด้อยสุดๆ ไม่กล้าออกไปเจอใคร อายที่ตัวเองพิการ ผมอยู่แต่ในบ้าน มีแม่คอยดูแล ไม่ยอมออกไปกับเพื่อน เพราะยอมรับสภาพตัวเองไม่ได้ เพื่อนมาหาที่บ้านตลอด เพื่อนไม่เคยทิ้ง มีแต่ผมที่ไม่อยากออกไป ไม่อยากเจอโลกข้างนอก
จุดที่ยอมออกไปข้างนอก เริ่มขึ้นเมื่อเพื่อนชวนไปดูเตะฟุตบอลที่สนามหญ้าเทียม ด้วยความที่เบื่อมากๆ ก็เลยลองไป ผมได้เจอเพื่อนอีกคนหนึ่ง เขาทักผมว่า "ดูดีขึ้นเยอะเลย ออกมาเที่ยวได้แล้วด้วย" ผมก็เลยรู้สึกโอเค ที่เราไม่ได้ดูแย่ในสายตาคนอื่น เลยเริ่มคิดจะออกจากบ้านไปเปิดหูเปิดตา
"หลังจากนั้นก็ยอมซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์เพื่อน ไปสูดอากาศข้างนอก ไปเที่ยวเปิดหูเปิดตา และวันที่ผมยอมออกไปข้างนอก แม่เขาดีใจมาก เพราะอยู่บ้านผมอารมณ์แปรปรวน แต่การได้ออกข้างนอกช่วยให้ผมสดใสขึ้น"
เสียดายฝันที่ไม่เคยแม้แต่ได้ลองทำ :
"ตอนที่ไปนั่งดูเขาเตะฟุตบอลครั้งนั้น ผมทรมานนะครับ เพราะเราเคยทำมาได้ก่อนทุกอย่าง แต่ตอนนี้ทำไม่ได้เลย" ออมกล่าวความรู้สึกให้เราฟัง เพราะช่วงที่ยังใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ เขาเป็นเด็กที่ร่าเริงและสนุกสนาน ชอบเล่นกีฬาเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะฟุตบอลและเรือพาย อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้อยากเป็นนักกีฬา แต่มีสองอาชีพในใจที่เขาปรารถนาอยากเป็นมาโดยตลอด
"ผมอยากเป็นตำรวจ ไม่ก็ทหาร แต่ผมมาเป็นแบบนี้ก่อน เลยไม่มีโอกาสได้เป็น เอาจริงๆ ผมไม่เคยได้แม้แต่จะลองทำด้วยซ้ำ เพราะตอนนั้นรอเวลาอยู่ ทำให้ผมยิ่งรู้สึกว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น มันคือความผิดพลาดครั้งใหญ่จริงๆ"
ก้าวสู่การเป็นนักกีฬาวีลแชร์บาสเกตบอล :
ออมเริ่มเข้าสู่วงการ วีลแชร์บาสเกตบอล เมื่ออายุย่างเข้า 21 ปี เนื่องจาก นายกคนพิการ จ.น่าน เดินทางมาเยี่ยมออมที่บ้าน พร้อมเอ่ยถามประโยคที่ทำให้ออมตื่นเต้นว่า "สนใจเล่นกีฬาไหม" จุดนี้เองที่ทำให้ออมบอกกับทีมข่าวฯ ว่า "ผมรู้สึกดีใจและสนใจมาก เพราะเคยเห็นรุ่นพี่คนพิการทางถ่ายทอดสด ผมเลยไม่คิดที่จะปฏิเสธเลย แม้ใจจะกลัวๆ อยู่บ้างก็ตาม"
"ที่ผมกลัวก็เพราะว่า มันเป็นครั้งแรกที่ออกมาใช้ชีวิตข้างนอก ผมไม่เคยห่างแม่เลย วันแรกๆ ไม่ชิน คิดถึงบ้าน เราไม่รู้ว่าคนพิการต้องใช้ชีวิตยังไง แต่ยังดีที่ 'แอ๊ด' (อดิศักดิ์ ขาวบู่) เขาพยายามแนะนำทุกอย่าง แอ๊ดเชียร์อัปให้เราแข็งแรงขึ้น แล้วเวลาผมนั่งดูเขาเล่นกัน ทั้งยกหน้าได้ เคลื่อนไหวได้ไว ผมเซอร์ไพรส์สุดๆ"
พชร เปิดใจถึงความรู้สึกที่เก็บไว้ว่า ทุกวันนี้ผมมองว่าตัวเองคือ คนปกติ ไปไหนมาไหนได้หมด เราแค่เปลี่ยนจากเดินได้มานั่งรถ แล้วตอนนี้อารมณ์ก็เปลี่ยนไปมาก ผมสนุกกับตรงนี้ สนุกที่ได้มาอยู่ที่ทีม และที่สำคัญผมยอมรับสิ่งที่ตัวเองเป็นได้แล้ว
เราต้องขอแสดงความยินดีกับออมด้วย ที่กลับมามีรอยยิ้มอย่างเต็มที่ได้อีกครั้ง และขอให้เดินต่อไปในเส้นทางนี้อย่างสวยงาม เพราะออมได้เป็น ทีมชาติชุดใหญ่ เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมานี้เอง
ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา :
บทสรุปส่งท้ายคงคล้ายกับ 3 บุคคลตัวอย่างที่ผ่านมา ออม พชร กล่าวสรุปบทเรียนชีวิตราคาแพง เพื่อหวังเป็นเครื่องเตือนใจให้ทุกคนมีสติในการใช้ชีวิต หวังว่าจะไม่มีใครต้องสูญเสียอนาคตและความฝัน เหมือนอย่างที่เขาเคยผ่านมา
"ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะไม่ออกจากบ้าน แล้วก็จะไม่ดื่ม หรือถ้าดื่มก็คงไม่ทำตัวคึกคะนองลองของแบบนั้น เพราะคนที่อยู่รอบข้างเราจะลำบากไปด้วย ช่วงที่คิดได้กับไม่ได้มันต่างกันมากเลย แต่ตอนนี้มันพลาดไปแล้ว ผมเลยพยายามทำตอนนี้ให้ดีที่สุด ไม่อยากจมอยู่กับอดีต"
"ที่มีคนเขาพูดกันว่า 'ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา' คำนี้โคตรจริงเลยครับ"
ขอบคุณ... https://www.thairath.co.th/scoop/interview/2784391