สุดเวทนาน้องเกรซ หายใจเองไม่ได้ พ่อทิ้งหลังรู้พิการ แม่อาศัยข้าวโรงทานช่วย 4 ชีวิตให้รอด
สุดเวทนาน้องเกรซ หายใจเองไม่ได้ พร้อมจะจากไปได้ทุกเวลา พ่อทิ้งหลังรู้พิการ แม่อาศัยข้าวโรงทานช่วย 4 ชีวิตให้รอด
วันที่ 23 ธ.ค.66 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้าน ขอความช่วยเหลือครอบครัวของน้องเกรซ อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 54 หมู่ 7 ต.โพงาม อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท สำหรับน้องเกรซ ชื่อจริงคือ น.ส.ญาณิศา วงษ์สุวรรณ อายุ 20 ปี พิการด้านการเคลื่อนไหวและสื่อความหมาย หายใจเองไม่ได้ ต้องเจาะคอและเจาะท้องเพื่อให้อาหาร
เคยติดโควิดและไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ อาการทรุดหนัก ต้องใช้เครื่องผลิตออกซิเจนช่วยหายใจตลอดเวลา ค่าไฟพุ่งขึ้นเท่าตัว ไม่มีรายได้หลัก มีเพียงเงินพิการน้องเกรซ 800 บาท และเงินเบี้ยสูงอายุของยาย 700 บาท แม่ป่วยเบาหวานขึ้นตา ตาพร่ามัว หมอส่งตัวไปรักษาที่ รพ.ราชวิถี แต่ไม่มีเงินค่ารถ คิดจะฆ่าตัวตาย แต่ทำไม่ได้ จะสู้จนถึงที่สุดเพื่อให้ลูกมีลมหายใจต่อไป
นางละออ วงษ์สุวรรณ อายุ 53 ปี เปิดเผยว่า ที่บ้านอยู่กัน 4 คน คือ นางกอง สุขชื่น อายุ 78 ปี น้องเกรซ อายุ 20 ปี นายสุทิวัท วงษ์สุวรรณ อายุ 18 ปี ลูกชายคนเล็ก และตน ส่วนสามีแยกทางไปมีภรรยาใหม่ตั้งแต่รู้ว่ามีลูกพิการ น้องเกรซ เริ่มมีอาการผิดปกติตั้งแต่คลอดได้ 10 วัน เมื่อช่วงอายุได้ 13 ปี เกิดอาการหายใจเองไม่ได้ จึงต้องเจาะคอเพื่อช่วยให้หายใจได้ดีขึ้น แต่ไม่สามารถกินอาหารทางปากได้เพราะทำให้เกิดอาการสำลักและอาเจียน จึงต้องไปเจาะหน้าท้องเพื่อให้อาหารแทน
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเป็นเวลา 7 ปีแล้ว ปัจจุบันอายุ 20 ปี หนัก 14 กก. ต่อมาเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา น้องเกรซ ติดโควิดรักษาจนหายไม่มีอาการทางปอด แต่เมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ป่วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ลงปอด หมอบอกว่าจะไม่รอด เกิดอาการปอดบวมและช็อก เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลกว่า 1 เดือน กลับมาครั้งนี้หายใจเองไม่ได้ต้องใช้ออกซิเจนช่วยตลอดเวลา
โดยขอรับการสนับสนุนเครื่องผลิตออกซิเจนจาก รพ.สต.บ้านวัดตึก ซึ่งทำให้ค่าไฟพุ่งขึ้นเท่าตัว จาก 700 บาท ขึ้นมา 1,500 บาทต่อเดือน จึงไปติดต่อที่การไฟฟ้าอำเภอสรรคบุรี เพื่อขอผ่อนผันเนื่องจากมีคนป่วยที่บ้าน การไฟฟ้าได้ขอเอกสารทางการแพทย์เพื่อเป็นหลักฐานยืนยัน
ก่อนหน้านี้เคยทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัวได้ เคยทำน้ำพริกขาย ได้เงินมาพอหมุน แม่ใหญ่ก็ยังแข็งแรงช่วยดูแลน้องเกรซได้ ใครจ้างให้ทำงานอะไรก็ไป ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2566 ที่แม่ใหญ่และน้องเกรซติดโควิด ต้องมาคอยดูแลพาไปโรงพยาบาล ทำให้ไม่มีรายได้ มีเพียงเงินพิการน้องเกรซ 800 บาท เงินเบี้ยสูงอายุแม่ใหญ่ 700 บาท ส่วนลูกชายเรียนจบ ม.3 กำลังเรียนต่อ กสร.กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (กศน.)ระดับ ม.6 และต้องทำงานหาเงินมาช่วยครอบครัวแต่บางวันก็ไม่มีงานทำ อาศัยไปขออาหารจากโรงทาน ที่วัดโฆสิตาราม (หลวงพ่อกวย) มาประทัง 4 ชีวิตเกือบทุกวัน
ตอนนี้ตนมีอาหารป่วยเบาหวานขึ้นตา ทำให้ตาพร่ามัว หมอ รพ.ชัยนาท ส่งตัวให้ไปรักษาที่ รพ.ราชวิถี กทม. นัดให้ไปรักษาวันที่ 3 ม.ค.67 ยังไม่รู้ว่าจะได้ไปหรือเปล่า ค่ารถก็ไม่มี ขณะเดียวกันหมอนัดน้องเกรซด้วย จะพาลูกไปหาหมออย่างไงไม่มีเงินเลย
นางละออ เปิดเผยอีกว่า คิดจะฆ่าตัวตายทุกวัน แต่ไม่ทำ เมื่อมานึกถึงคนที่เขาฆ่าตัวตายเขาเจอปัญหาหนักแบบนี้นี่เอง แต่ตนทำไม่ได้ ถ้าเราตายลูกก็ต้องตาย ยายก็ตายด้วย เพราะไม่มีใครดูแล แถมคนจะด่าอีกว่าทิ้งไปคนเดียว ไหนบอกรักแม่รักลูกแล้วทิ้งทำไม “ก็ได้แต่คิด แต่ทำไม่ได้” จะสู้ต่อไป
หมอเคยบอกให้ทำใจอาการน้องเกรซ 50/50 พร้อมจะไปได้ทุกเมื่อ จึงบอกหมอว่าขอให้หมอช่วยเต็มที่ ยอมไม่ได้ที่จะมานั่งดูลูกตายไปต่อหน้า หากยังช่วยเขาให้มีชีวิตอยู่ต่อได้ แม้แม่จะอดตายก็ต้องช่วยเขาดิ้นรนให้เขาอยู่ เพราะทำใจยากด้วยความผูกพันกับลูกมีเยอะ น้องชายเขาก็เป็นอีกแรงหนึ่งที่คอยช่วยเหลือแม่ดูแลพี่สาวเขาและยาย เราไม่ได้มองเขาว่าเป็นภาระเขาคือลูก แต่ถ้าเขาจะไม่อยู่จริงๆ ก็ไม่เป็นไรถือว่าหมดเวรหมดกรรม
ผู้มีจิตเมตตา ต้องการช่วยเหลือครอบครัวน้องเกรซ สามารถโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารออมสิน เลขที่ 020357937661 นางละออ วงษ์สุวรรณ
ขอบคุณ... https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_8023408