ชีวิตนี้เพื่อเธอ! หนุ่มใหญ่ทุ่มทั้งหัวใจ ดูแลภรรยาพิการมานาน 7 ปี
หนุ่มใหญ่ทุ่มสุดชีวิตดูแลเมียพิการนาน 7 ปี – เผย ยามสุขร่วมสุข ยามทุกข์ผมทอดทิ้งเขาไม่ได้ จากกรณี นายจรัญ อายุ 65 ปี ชาว อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช อดีตผู้รับเหมาก่อสร้าง ในปัจจุบันประกอบอาชีพแพทย์แผนไทย ได้นำเอกสารหลักฐาน เข้าร้องเรียนที่ศูนย์ข่าวนคร 24 ชม.สมาคมสื่อมวลชนจังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อร้องขอความเป็นธรรม กรณีที่ น.ส.ยมนา พรหมเดช อายุ 34 ปี บุตรสาว ซึ่งจบปริญญาตรี มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต คณะนิเทศศาสตร์ สาขาวิชาการประชาสัมพันธ์ เมื่อปี 2549
จากนั้นทำงานอยู่ที่ อ.เมือง จ.สงขลา และเกิดอาการป่วยไข้หวัด เข้ารับการรักษาอาการที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง ใน จ.สงขลา ตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. 54 แต่กลายเป็นคนพิการทางการเคลื่อนไหว สาเหตุมาจากความผิดพลาดในการรักษา ซึ่งนายจรัญได้ต่อสู้เรียกร้องขอความเป็นธรรมมาตลอดระยะเวลา 6 - 7 ปี โดยยื่นฟ้องดำเนินคดีกับหน่วยงาน และบุคคลที่เกี่ยวข้อง แต่สุดท้ายเรื่องเงียบหาย ล่าสุดจะเข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. โดยระบุว่าเป็นที่พึ่งสุดท้าย
(24 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวจึงได้เดินทางไปยังบ้านของนายจรัญ พบว่ามีเจ้าหน้าที่ฝ่ายสอบสวนจาก ปปช.จำนวน 3 คน นำโดยนายนิติ จันทวงศ์ หัวหน้าพนักงานไต่สวน ได้เดินทางมาสอบสวนปากคำรวบรวมพยานหลักฐานจากนายจรัญ โดยห้ามผู้สื่อข่าวบันทึกภาพทำข่าวอย่างเด็ดขาด โดย ปปช.ใช้เวลา 5 ชม. ทำการสอบสวนปากคำนายจรัญ เพื่อนำเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนั้น นายเสริฐ อายุ 50 ปี สามี น.ส.ยมนา ได้อุ้ม น.ส.ยมนา ออกมานั่งบนแคร่หน้าบ้าน ซึ่งพบว่ามือทั้งสองข้างของ น.ส.ยมนา หยิกงอ ศีรษะสั่นเป็นช่วงๆ ขาทั้งสองข้างเริ่มเล็กลีบ นอกจากนี้ยังมีอาการทางสมองพูดจาผสมผสานระหว่างภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ในลักษณะแบบโวยวายเสียงดังอยู่เป็นระยะ
ขณะที่เพื่อนบ้านแวะเวียนมาเยี่ยมให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง เพื่อนบ้านส่วนใหญ่ยกย่องชื่นชม ที่หลังจาก น.ส.ยมนา กลายเป็นผู้พิการ แต่นายเสริฐ สามีกลับไม่ทอดทิ้งและเฝ้าปรนนิบัติดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งอุ้มไปอาบน้ำ ล้างปัสสาวะ อุจจาระ เปลี่ยนเสื้อผ้า เปลี่ยนแพมเพิส ป้อนข้าว ให้ น.ส.ยมนา อย่างรักใคร่
ทั้งที่ทั้งสองไม่ได้จดทะเบียนสมรสและไม่มีบุตรด้วยกัน ซึ่งสร้างความประทับใจให้กับเพื่อนบ้านและผู้ที่พบเห็นถึงกับซาบซึ้งจนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้ และต่างยกย่องชื่นชมนายเสริฐ เป็นสุดยอดสามี นายเสริฐ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตนและ น.ส.ยมนา ทำงานอยู่ที่ จ.สงขลา แต่หลังจาก น.ส.ยมนา ภรรยาของตนกลายเป็นคนพิการ ต้องกลับมาอยู่บ้านใน ต.ป่าระกำ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช และตนติดตามมาอยู่ด้วยเพื่อคอยปรนนิบัติดูแลช่วยเหลือ น.ส.ยมนา โดยมาทำงานเป็นพนักงานปล่อยรถของบริษัทนครบริการขนส่ง จำกัด และต้องลุกขึ้นตั้งแต่ตี 2 เพื่อดูแลทำความสะอาด เปลี่ยนแพมเพิสให้ น.ส.ยมนา จากนั้นจึงขับรถ จยย. ออกไปทำงานที่ บขส.นครศรีธรรมราช ระยะทางเกือบ 30 กิโลเมตร โดยเริ่มปล่อยรถคันแรกในเวลา 04.30 น. และเลิกงานเวลา 12.00 น.ทุกวัน เมื่อเลิกงานตนจะรีบขับรถ จยย.กลับมาบ้านเพื่ออุ้ม น.ส.ยมนา ภรรยาไปอาบน้ำ เปลี่ยนแพมเพิส ป้อนข้าว ก่อนจะขับรถ จยย.ออกทำงานรับจ้างหารายได้เสริมที่ลานเทรับซื้อปาล์มในหมู่บ้านอีก
นายเสริฐ กล่าวอีกว่า ถ้าถามว่าทำไมผมต้องมาทนรับผิดชอบ ดูแล อุปการะช่วยเหลือ ทำไมไม่ทิ้งไปหาภรรยาใหม่ที่เป็นคนปกติ และมีอนาคตที่ดีกว่านี้ ผมยืนยันว่าทำไม่ได้ เพราะผมรักและสงสารเมียคนนี้ แม้เขาจะพิการ แต่ผมพร้อมที่จะดูแลปรนนิบัติช่วยเหลืออย่างเต็มที่และตลอดไป
ที่ผ่านมาตอนยังปกติ เธอเป็นเมียที่ดีมาก น่ารัก คอยดูแลปรนนิบัติผมและเพื่อน รวมทั้งญาติพี่น้องของผมเป็นอย่างดี เมื่อเขามาประสบเคราะห์กรรมกลายเป็นคนพิการจะให้ผมทอดทิ้งไปได้อย่างไร หากไม่มีผมจะมีใครดูแลปรนนิบัติช่วยเหลือ และเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร เพราะทุกคนในครอบครัวต่างก็มีภาระที่จะต้องทำทั้งนั้น "แม้จะหนักเหนื่อยแค่ไหนแต่ผมไม่เคยย่อท้อ ยามสุขเราเคยสุขด้วยกัน ยามทุกข์ผมจะหลบหนีไปปล่อยให้เขาทุกข์คนเดียวได้อย่างไร ผมทำไม่ได้ นอกจากนี้ผมยังได้กำลังใจจากพ่อตาและญาติ ๆ รวมทั้งเพื่อนบ้านอีกด้วย" นายเสริฐกล่าว
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
นายเสริฐ อายุ 50 ปี และ น.ส.ยมนา ภรรยา หนุ่มใหญ่ทุ่มสุดชีวิตดูแลเมียพิการนาน 7 ปี – เผย ยามสุขร่วมสุข ยามทุกข์ผมทอดทิ้งเขาไม่ได้ จากกรณี นายจรัญ อายุ 65 ปี ชาว อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช อดีตผู้รับเหมาก่อสร้าง ในปัจจุบันประกอบอาชีพแพทย์แผนไทย ได้นำเอกสารหลักฐาน เข้าร้องเรียนที่ศูนย์ข่าวนคร 24 ชม.สมาคมสื่อมวลชนจังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อร้องขอความเป็นธรรม กรณีที่ น.ส.ยมนา พรหมเดช อายุ 34 ปี บุตรสาว ซึ่งจบปริญญาตรี มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต คณะนิเทศศาสตร์ สาขาวิชาการประชาสัมพันธ์ เมื่อปี 2549 จากนั้นทำงานอยู่ที่ อ.เมือง จ.สงขลา และเกิดอาการป่วยไข้หวัด เข้ารับการรักษาอาการที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง ใน จ.สงขลา ตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. 54 แต่กลายเป็นคนพิการทางการเคลื่อนไหว สาเหตุมาจากความผิดพลาดในการรักษา ซึ่งนายจรัญได้ต่อสู้เรียกร้องขอความเป็นธรรมมาตลอดระยะเวลา 6 - 7 ปี โดยยื่นฟ้องดำเนินคดีกับหน่วยงาน และบุคคลที่เกี่ยวข้อง แต่สุดท้ายเรื่องเงียบหาย ล่าสุดจะเข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. โดยระบุว่าเป็นที่พึ่งสุดท้าย (24 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวจึงได้เดินทางไปยังบ้านของนายจรัญ พบว่ามีเจ้าหน้าที่ฝ่ายสอบสวนจาก ปปช.จำนวน 3 คน นำโดยนายนิติ จันทวงศ์ หัวหน้าพนักงานไต่สวน ได้เดินทางมาสอบสวนปากคำรวบรวมพยานหลักฐานจากนายจรัญ โดยห้ามผู้สื่อข่าวบันทึกภาพทำข่าวอย่างเด็ดขาด โดย ปปช.ใช้เวลา 5 ชม. ทำการสอบสวนปากคำนายจรัญ เพื่อนำเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนั้น นายเสริฐ อายุ 50 ปี สามี น.ส.ยมนา ได้อุ้ม น.ส.ยมนา ออกมานั่งบนแคร่หน้าบ้าน ซึ่งพบว่ามือทั้งสองข้างของ น.ส.ยมนา หยิกงอ ศีรษะสั่นเป็นช่วงๆ ขาทั้งสองข้างเริ่มเล็กลีบ นอกจากนี้ยังมีอาการทางสมองพูดจาผสมผสานระหว่างภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ในลักษณะแบบโวยวายเสียงดังอยู่เป็นระยะ ขณะที่เพื่อนบ้านแวะเวียนมาเยี่ยมให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง เพื่อนบ้านส่วนใหญ่ยกย่องชื่นชม ที่หลังจาก น.ส.ยมนา กลายเป็นผู้พิการ แต่นายเสริฐ สามีกลับไม่ทอดทิ้งและเฝ้าปรนนิบัติดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งอุ้มไปอาบน้ำ ล้างปัสสาวะ อุจจาระ เปลี่ยนเสื้อผ้า เปลี่ยนแพมเพิส ป้อนข้าว ให้ น.ส.ยมนา อย่างรักใคร่ ทั้งที่ทั้งสองไม่ได้จดทะเบียนสมรสและไม่มีบุตรด้วยกัน ซึ่งสร้างความประทับใจให้กับเพื่อนบ้านและผู้ที่พบเห็นถึงกับซาบซึ้งจนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้ และต่างยกย่องชื่นชมนายเสริฐ เป็นสุดยอดสามี นายเสริฐ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตนและ น.ส.ยมนา ทำงานอยู่ที่ จ.สงขลา แต่หลังจาก น.ส.ยมนา ภรรยาของตนกลายเป็นคนพิการ ต้องกลับมาอยู่บ้านใน ต.ป่าระกำ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช และตนติดตามมาอยู่ด้วยเพื่อคอยปรนนิบัติดูแลช่วยเหลือ น.ส.ยมนา โดยมาทำงานเป็นพนักงานปล่อยรถของบริษัทนครบริการขนส่ง จำกัด และต้องลุกขึ้นตั้งแต่ตี 2 เพื่อดูแลทำความสะอาด เปลี่ยนแพมเพิสให้ น.ส.ยมนา จากนั้นจึงขับรถ จยย. ออกไปทำงานที่ บขส.นครศรีธรรมราช ระยะทางเกือบ 30 กิโลเมตร โดยเริ่มปล่อยรถคันแรกในเวลา 04.30 น. และเลิกงานเวลา 12.00 น.ทุกวัน เมื่อเลิกงานตนจะรีบขับรถ จยย.กลับมาบ้านเพื่ออุ้ม น.ส.ยมนา ภรรยาไปอาบน้ำ เปลี่ยนแพมเพิส ป้อนข้าว ก่อนจะขับรถ จยย.ออกทำงานรับจ้างหารายได้เสริมที่ลานเทรับซื้อปาล์มในหมู่บ้านอีก นายเสริฐ กล่าวอีกว่า ถ้าถามว่าทำไมผมต้องมาทนรับผิดชอบ ดูแล อุปการะช่วยเหลือ ทำไมไม่ทิ้งไปหาภรรยาใหม่ที่เป็นคนปกติ และมีอนาคตที่ดีกว่านี้ ผมยืนยันว่าทำไม่ได้ เพราะผมรักและสงสารเมียคนนี้ แม้เขาจะพิการ แต่ผมพร้อมที่จะดูแลปรนนิบัติช่วยเหลืออย่างเต็มที่และตลอดไป ที่ผ่านมาตอนยังปกติ เธอเป็นเมียที่ดีมาก น่ารัก คอยดูแลปรนนิบัติผมและเพื่อน รวมทั้งญาติพี่น้องของผมเป็นอย่างดี เมื่อเขามาประสบเคราะห์กรรมกลายเป็นคนพิการจะให้ผมทอดทิ้งไปได้อย่างไร หากไม่มีผมจะมีใครดูแลปรนนิบัติช่วยเหลือ และเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร เพราะทุกคนในครอบครัวต่างก็มีภาระที่จะต้องทำทั้งนั้น "แม้จะหนักเหนื่อยแค่ไหนแต่ผมไม่เคยย่อท้อ ยามสุขเราเคยสุขด้วยกัน ยามทุกข์ผมจะหลบหนีไปปล่อยให้เขาทุกข์คนเดียวได้อย่างไร ผมทำไม่ได้ นอกจากนี้ผมยังได้กำลังใจจากพ่อตาและญาติ ๆ รวมทั้งเพื่อนบ้านอีกด้วย" นายเสริฐกล่าว ขอบคุณ... http://news.sanook.com/2240314/
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)