'ม.3'ฝ่ามรสุมชีวิตสุดกำลัง ดูแลย่าพิการซ้ำพ่ออัมพาต
เธอใช้มือปาดแก้มเช็ดน้ำตา เพราะมันไหลไม่หยุด และค่อยๆ พูดความในใจว่า “หนูไม่รู้ว่าแม่หนูหน้าตาเป็นยังไง หนูรู้แต่ว่าตอนนี้พ่อหนูไม่สบาย ไม่ว่าพ่อจะเป็นยังไง ก็คือพ่อของหนู... ชะตาชีวิตแสนรันทดของเด็กหญิงอายุเพียง 14 ปีคนหนึ่ง ต้องพบเจออยู่ในขณะนี้ ช่างดูหนักหนาเกินกว่าเธอจะรับไหวจริงๆ แต่ด้วยเป็นเด็กกตัญญู แม้อายุยังน้อย ความรับผิดชอบและน้ำใจนั้น กลับยิ่งใหญ่กว่าตัว จะกี่มรสุมชีวิตที่ถาโถมซัดเข้ามาหาเธอไม่เว้นแต่ละวัน เธอก็เลือกที่จะ...สู้...สุดกำลัง
จุดเริ่มต้นของเรื่อง ด.ญ. เสาวลักษณ์ เรือนทอง หรือ “น้องแอม” นักเรียนชั้น ม.3 รร.ลาดชะโดสามัคคี อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา พักหลังมักไปโรงเรียนสาย ครูประจำชั้นจึงเริ่มเอะใจว่าเกิดอะไรขึ้น?? มารู้ทีหลังว่า...ภาระในแต่ละวันของเด็กตัวเท่านี้ ต้องแบกรับอย่างหนัก ทั้งดูแล “พ่อที่ป่วยอัมพาต” และ “ย่าที่พิการเป็นใบ้หูหนวก” นี่แหละ...เหตุผลชีวิตของเด็กวัยเพียง 14 ปี เธอต้องเด็ดเดี่ยวแค่ไหน ยอมสละบางสิ่ง และพยายามใช้หัวใจต่อสู้ให้ได้มาซึ่งความอยู่รอดของ “นายสมศักดิ์ เรือนทอง” อายุ 40 ปี ผู้เป็นพ่อ และ “นางเชื้อ มหาชน” อายุ 71 ปี ผู้เป็นย่าและน้องชายของเธอวัย 13 ปี
เสียงร้องโอดครวญที่ดังออกมาจากในบ้าน ซึ่งมีสภาพเสื่อมโทรมเต็มที เลขที่ 147 หมู่ 2 ต.หนองน้ำใหญ่ อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา สร้างความสะเทือนใจให้แกเพื่อนบ้านที่ได้ยินอยู่ทุกวัน เพราะต้นเสียงที่ร้องเหมือนใจจะขาดนั้น เกิดจากเสียงของ “ผู้เป็นพ่อ” ครั้งหนึ่งเคยประกอบอาชีพรับจ้าง วันไหนไม่มีใครจ้างก็ขาดรายได้ “น้องแอม” นั่งเล่าให้ฟังว่า พ่อล้มป่วยได้ 6-7 เดือนแล้ว แรกเริ่มเป็นโรคลมชัก แต่ทำงานหนักจึงดื่มสุรา ไม่ค่อยจะกินข้าวเท่าไหร่ จนลุกลามกลายเป็นอัมพาตและควบคุมตัวเองไม่ได้ ลืมตาขึ้นมาอีกทีก็กลายเป็นอีกคนที่ไม่เหมือนเดิม ความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ตกที่เธอ ก่อนไปเรียนก็จะอาบน้ำ เช็ดตัว ป้อนข้าว ทำทุกสิ่งให้เสร็จจึงไปเรียนได้
หากตัวหนังสือถ่ายทอดสีหน้าของเธอได้ แววตาเธอนั้นไม่ได้ร่าเริง ดูเหนื่อยล้ามาก มีแต่ความเศร้าหมอง หดหู่ไปหมดเสียซะทุกอย่าง ไม่ยิ้มแย้มเหมือนเด็กอายุ 14 ปีทั่วไป หรือเธอคงจะคิดอะไรมากมายอยู่ภายในใจ แต่สิ่งที่เห็นเมื่อเธอพูดถึงพ่อ น้ำตาถูกกลั่นออกมาแทนคำพูด เธอใช้มือปาดแก้มเช็ดน้ำตา เพราะมันไหลไม่หยุด และค่อยๆ พูดความในใจว่า “หนูไม่รู้ว่าแม่หนูหน้าตาเป็นยังไง หนูรู้แต่ว่าตอนนี้พ่อหนูไม่สบาย ไม่ว่าพ่อจะเป็นยังไงก็คือพ่อของหนู หนูเห็นพ่อเป็นแบบนี้หนูก็นั่งร้องไห้ แต่ต้องกลั้นเอาไว้ไม่อยากให้ใครเห็น หนูเหนื่อยหนูก็อดทน หนูรู้แต่ว่า...(เสียงสะอื้นเริ่มดังขึ้น)...หนูต้องดูแลพ่อให้ดีที่สุด”
พอพูดจบ...เธอก็ได้โอบกอดพ่อ พูดออกมาว่า “พ่อคะ หนูรักพ่อมากนะคะ” ต้องขอชื่นชมเธอไม่เคยบ่น หรือรังเกียจพ่อและย่าของเธอแม้แต่นิดเดียว แต่มีบางสิ่งที่เธอไม่เคยได้สัมผัสอย่างคนอื่นๆ เพราะไม่เคยเห็นหน้าแม่บังเกิดเกล้า เธอบอกว่า “แม่เลิกกับพ่อไปนานแล้วค่ะ แต่หนูอยากบอกรักแม่ อยากเห็นหน้าแม่บ้างสักครั้งก็ยังดี”
เธอจึงพยายามขยันเรียนหนังสือ กตัญญูกับพ่อและย่าที่เลี้ยงเธอมาจนเติบใหญ่ “หนูสงสารพ่อกับย่าที่เลี้ยงหนูมาได้ แล้วทำไมหนูจะเลี้ยงเขาไม่ได้ ต่อไปนี้หนูจะดูแลให้ดีที่สุด” ซึ่งในอุปสรรคยังถือว่ามีความโชคดี ขณะที่เธอและน้องชายไปโรงเรียน ญาติๆ บ้านละแวกใกล้กัน และเพื่อนบ้านที่คิดสงสารได้นำข้าวปลามาให้เป็นครั้งคราว
“นางรุ้งรัตน์ ชำนิปั้น” รักษาการผู้อำนวยการฯ เล่าถึงความกตัญญูของ “น้องแอม” ว่า เป็นเด็กที่รู้จักบุญคุณคน เพราะสอนมาตั้งแต่ชั้น ม.1 จนตอนนี้ ม.3 แล้ว ผลการเรียนดี ขยัน ไม่เกเร เกรดเฉลี่ย 3.5 อ่อนน้อมกับคุณครูทุกท่าน แต่บางวัน “ด้วยความเป็นห่วงพ่อ” เธอก็ไม่อยากไปโรงเรียน จะนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ คอยดูแลพ่อจนกระทั่งเสียงร้องโหยหวนแสนทรมานเงียบลง หรือไม่ก็ต่อเมื่อพ่อของเธอเหนื่อยและหลับไปเอง จึงจะมีเวลาไปทำอย่างอื่น
มันเป็นภาพที่สร้างความซาบซึ้ง และสะเทือนใจแก่เพื่อนบ้านอย่างมาก โดยมี “นายขวัญชัย สาระสันต์” ผู้ใหญ่บ้าน ให้การช่วยเหลือเบื้องต้น ผู้ใหญ่บ้านบอกว่า ได้เปิดบัญชีร่วมชื่อ “น้องแอม” และชื่อตนเอง โดยที่ไม่มีบัตร ATM หากจะถอนเงินจะต้องให้ “น้องแอม” เซ็นชื่อทุกครั้ง ส่วนผู้เป็นย่าได้รับเบี้ยคนพิการแล้ว 800 บาท ส่วนพ่อยังอยู่ระหว่างดำเนินการ
เด็กที่กตัญญูแบบนี้...เมื่อโตขึ้นทุกๆ ก้าวที่เธอเดินเพียงลำพัง จะเป็นก้าวที่มุ่งมั่น เธอจะได้เรียนรู้ว่าความรักที่มีให้พ่อกับย่านั้น มีค่ามากมายเกินบรรยาย จิตใจเธอจะแข็งแกร่งและเป็นคนดี เปี่ยมไปด้วยความรับผิดชอบ จงอดทนสักวันฟ้าหลังฝน จะต้องเป็นวันของ “น้องแอม” สักวันหนึ่ง
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
น้องแอม เด็กสาวอายุ 14 ปี เป็นเสาหลักของบ้าน คอยดูแลพ่อป่วยอัมพาต และย่าหูหนวก เธอใช้มือปาดแก้มเช็ดน้ำตา เพราะมันไหลไม่หยุด และค่อยๆ พูดความในใจว่า “หนูไม่รู้ว่าแม่หนูหน้าตาเป็นยังไง หนูรู้แต่ว่าตอนนี้พ่อหนูไม่สบาย ไม่ว่าพ่อจะเป็นยังไง ก็คือพ่อของหนู... ชะตาชีวิตแสนรันทดของเด็กหญิงอายุเพียง 14 ปีคนหนึ่ง ต้องพบเจออยู่ในขณะนี้ ช่างดูหนักหนาเกินกว่าเธอจะรับไหวจริงๆ แต่ด้วยเป็นเด็กกตัญญู แม้อายุยังน้อย ความรับผิดชอบและน้ำใจนั้น กลับยิ่งใหญ่กว่าตัว จะกี่มรสุมชีวิตที่ถาโถมซัดเข้ามาหาเธอไม่เว้นแต่ละวัน เธอก็เลือกที่จะ...สู้...สุดกำลัง ด.ญ. เสาวลักษณ์ เรือนทอง หรือ “น้องแอม” นักเรียนชั้น ม.3 อายุ 14 ปี จุดเริ่มต้นของเรื่อง ด.ญ. เสาวลักษณ์ เรือนทอง หรือ “น้องแอม” นักเรียนชั้น ม.3 รร.ลาดชะโดสามัคคี อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา พักหลังมักไปโรงเรียนสาย ครูประจำชั้นจึงเริ่มเอะใจว่าเกิดอะไรขึ้น?? มารู้ทีหลังว่า...ภาระในแต่ละวันของเด็กตัวเท่านี้ ต้องแบกรับอย่างหนัก ทั้งดูแล “พ่อที่ป่วยอัมพาต” และ “ย่าที่พิการเป็นใบ้หูหนวก” นี่แหละ...เหตุผลชีวิตของเด็กวัยเพียง 14 ปี เธอต้องเด็ดเดี่ยวแค่ไหน ยอมสละบางสิ่ง และพยายามใช้หัวใจต่อสู้ให้ได้มาซึ่งความอยู่รอดของ “นายสมศักดิ์ เรือนทอง” อายุ 40 ปี ผู้เป็นพ่อ และ “นางเชื้อ มหาชน” อายุ 71 ปี ผู้เป็นย่าและน้องชายของเธอวัย 13 ปี เสียงร้องโอดครวญที่ดังออกมาจากในบ้าน ซึ่งมีสภาพเสื่อมโทรมเต็มที เลขที่ 147 หมู่ 2 ต.หนองน้ำใหญ่ อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา สร้างความสะเทือนใจให้แกเพื่อนบ้านที่ได้ยินอยู่ทุกวัน เพราะต้นเสียงที่ร้องเหมือนใจจะขาดนั้น เกิดจากเสียงของ “ผู้เป็นพ่อ” ครั้งหนึ่งเคยประกอบอาชีพรับจ้าง วันไหนไม่มีใครจ้างก็ขาดรายได้ “น้องแอม” นั่งเล่าให้ฟังว่า พ่อล้มป่วยได้ 6-7 เดือนแล้ว แรกเริ่มเป็นโรคลมชัก แต่ทำงานหนักจึงดื่มสุรา ไม่ค่อยจะกินข้าวเท่าไหร่ จนลุกลามกลายเป็นอัมพาตและควบคุมตัวเองไม่ได้ ลืมตาขึ้นมาอีกทีก็กลายเป็นอีกคนที่ไม่เหมือนเดิม ความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ตกที่เธอ ก่อนไปเรียนก็จะอาบน้ำ เช็ดตัว ป้อนข้าว ทำทุกสิ่งให้เสร็จจึงไปเรียนได้ หากตัวหนังสือถ่ายทอดสีหน้าของเธอได้ แววตาเธอนั้นไม่ได้ร่าเริง ดูเหนื่อยล้ามาก มีแต่ความเศร้าหมอง หดหู่ไปหมดเสียซะทุกอย่าง ไม่ยิ้มแย้มเหมือนเด็กอายุ 14 ปีทั่วไป หรือเธอคงจะคิดอะไรมากมายอยู่ภายในใจ แต่สิ่งที่เห็นเมื่อเธอพูดถึงพ่อ น้ำตาถูกกลั่นออกมาแทนคำพูด เธอใช้มือปาดแก้มเช็ดน้ำตา เพราะมันไหลไม่หยุด และค่อยๆ พูดความในใจว่า “หนูไม่รู้ว่าแม่หนูหน้าตาเป็นยังไง หนูรู้แต่ว่าตอนนี้พ่อหนูไม่สบาย ไม่ว่าพ่อจะเป็นยังไงก็คือพ่อของหนู หนูเห็นพ่อเป็นแบบนี้หนูก็นั่งร้องไห้ แต่ต้องกลั้นเอาไว้ไม่อยากให้ใครเห็น หนูเหนื่อยหนูก็อดทน หนูรู้แต่ว่า...(เสียงสะอื้นเริ่มดังขึ้น)...หนูต้องดูแลพ่อให้ดีที่สุด” พอพูดจบ...เธอก็ได้โอบกอดพ่อ พูดออกมาว่า “พ่อคะ หนูรักพ่อมากนะคะ” ต้องขอชื่นชมเธอไม่เคยบ่น หรือรังเกียจพ่อและย่าของเธอแม้แต่นิดเดียว แต่มีบางสิ่งที่เธอไม่เคยได้สัมผัสอย่างคนอื่นๆ เพราะไม่เคยเห็นหน้าแม่บังเกิดเกล้า เธอบอกว่า “แม่เลิกกับพ่อไปนานแล้วค่ะ แต่หนูอยากบอกรักแม่ อยากเห็นหน้าแม่บ้างสักครั้งก็ยังดี” เจ้าหน้าที่เข้ามาเยี่ยมและช่วยเหลือเบื่องต้นแก่ครอบครัว ด.ญ. เสาวลักษณ์ เรือนทอง เธอจึงพยายามขยันเรียนหนังสือ กตัญญูกับพ่อและย่าที่เลี้ยงเธอมาจนเติบใหญ่ “หนูสงสารพ่อกับย่าที่เลี้ยงหนูมาได้ แล้วทำไมหนูจะเลี้ยงเขาไม่ได้ ต่อไปนี้หนูจะดูแลให้ดีที่สุด” ซึ่งในอุปสรรคยังถือว่ามีความโชคดี ขณะที่เธอและน้องชายไปโรงเรียน ญาติๆ บ้านละแวกใกล้กัน และเพื่อนบ้านที่คิดสงสารได้นำข้าวปลามาให้เป็นครั้งคราว “นางรุ้งรัตน์ ชำนิปั้น” รักษาการผู้อำนวยการฯ เล่าถึงความกตัญญูของ “น้องแอม” ว่า เป็นเด็กที่รู้จักบุญคุณคน เพราะสอนมาตั้งแต่ชั้น ม.1 จนตอนนี้ ม.3 แล้ว ผลการเรียนดี ขยัน ไม่เกเร เกรดเฉลี่ย 3.5 อ่อนน้อมกับคุณครูทุกท่าน แต่บางวัน “ด้วยความเป็นห่วงพ่อ” เธอก็ไม่อยากไปโรงเรียน จะนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ คอยดูแลพ่อจนกระทั่งเสียงร้องโหยหวนแสนทรมานเงียบลง หรือไม่ก็ต่อเมื่อพ่อของเธอเหนื่อยและหลับไปเอง จึงจะมีเวลาไปทำอย่างอื่น มันเป็นภาพที่สร้างความซาบซึ้ง และสะเทือนใจแก่เพื่อนบ้านอย่างมาก โดยมี “นายขวัญชัย สาระสันต์” ผู้ใหญ่บ้าน ให้การช่วยเหลือเบื้องต้น ผู้ใหญ่บ้านบอกว่า ได้เปิดบัญชีร่วมชื่อ “น้องแอม” และชื่อตนเอง โดยที่ไม่มีบัตร ATM หากจะถอนเงินจะต้องให้ “น้องแอม” เซ็นชื่อทุกครั้ง ส่วนผู้เป็นย่าได้รับเบี้ยคนพิการแล้ว 800 บาท ส่วนพ่อยังอยู่ระหว่างดำเนินการ เด็กที่กตัญญูแบบนี้...เมื่อโตขึ้นทุกๆ ก้าวที่เธอเดินเพียงลำพัง จะเป็นก้าวที่มุ่งมั่น เธอจะได้เรียนรู้ว่าความรักที่มีให้พ่อกับย่านั้น มีค่ามากมายเกินบรรยาย จิตใจเธอจะแข็งแกร่งและเป็นคนดี เปี่ยมไปด้วยความรับผิดชอบ จงอดทนสักวันฟ้าหลังฝน จะต้องเป็นวันของ “น้องแอม” สักวันหนึ่ง ขอบคุณ... https://www.dailynews.co.th/article/582808
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)