“ครูเน” คุณครูผู้นำทางสู่แสงสว่าง

ครูนนทิยา ปาสาเน หรือครูเน

เชื่อว่าในวัยเด็กของหลายๆ คนมีความฝันว่าโตขึ้นอยากจะประกอบอาชีพอะไร เมื่อมาลองนึกดูแล้ว คนรอบข้างรวมถึงสภาพแวดล้อมรอบตัวเรา ก็อาจเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นแรงผลักดัน สร้างแรงบันดาลใจให้เราก้าวไปสู่ความสำเร็จได้ คุณครูนนทิยา ปาสาเน หรือครูเน คุณครูวิชาภาษาไทย ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และ 6 ของโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ แน่นอนว่าครูเนเป็นหนึ่งในศิษย์เก่าของโรงเรียนแห่งนี้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต การที่จะประสบความสำเร็จได้ จะต้องมีเป้าหมายและความรับผิดชอบกับเป้าหมายพยายามเดินไปสู่จุดนั้นให้ได้ ในวัยเด็กของครูเน เธอมีความฝันที่โตขึ้นอยากจะเป็นครูมาตลอด นอกจากความชอบที่จะเป็นครูแล้ว เธอยังได้รับสิ่งดีๆ จากคุณครูที่สอนเธอมา

ครูเน กำลังสอนนักเรียนในชั้นเรียน

เธอเล่าอย่างภาคภูมิใจว่า"ตอนนั้นได้มีโอกาสช่วยคุณครูสอนวิชาต่างๆ ให้เพื่อน อย่างตอนเช้าก็จะติวศัพท์ เวลาเพื่อนไม่เข้าใจอะไรก็จะมาถาม มันทำให้เราได้เรียนรู้ มีความรู้สึกที่อยากจะถ่ายทอดความรู้ มันเป็นความรู้สึกที่อยู่ในข้างในใจมาโดยตลอด ก็เลยคิดอยู่เสมอว่า เมื่อมีโอกาสก็อยากกลับมาสอนที่นี่ ที่นี่เป็นที่แห่งแรกที่ให้ความรู้ ให้ที่พัก และเปิดโลกให้กับเรา"

ห้องเรียนที่ไม่มีกระดาน มีเพียงกระดาษพร้อมอุปกรณ์เขียนอักษรเบรลล์ และเสียงจากคุณครูที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้ ความใส่ใจที่มอบให้แก่นักเรียน "ยังจำวันแรกที่อยู่เลย คือวันที่ 15 สิงหาคม 2556 พอได้มาเป็นครูแล้วทั้งดีใจและตื่นเต้น เพราะได้ทำอาชีพที่ตนเองรักและใฝ่ฝันมาตลอด"ครูเนกล่าว “เพราะชอบอธิบาย ให้ความรู้ มันเป็นอะไรที่รู้สึกดีมาก ยิ่งถ้าเขาบอกว่าไม่เข้าใจ เราจะยิ่งอธิบายให้เขาเข้าใจให้ได้”

พอได้มาเป็นครูแล้ว ก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด หนึ่งในนั้นคือ การพานักเรียนไปสู่ความสำเร็จ สำหรับเด็ก ๆ ที่โรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพแล้ว ก็เหมือนกับโรงเรียนทั่วไป มีนักเรียนที่มีความตั้งใจ มีความขยัน และนักเรียนที่ชอบเล่น ซุกซน เรื่องความเก่งของเด็กเราสามารถเต็มให้กับเด็กได้ ครูเนเชื่อมาตลอดว่า สิ่งที่สำคัญของเด็กที่แพ้ไม่ได้เลย คือจะต้องความขยันและความตั้งใจ เมื่อขยันและตั้งใจแล้วก็จะสามารถมีวิชาความรู้ และก็จะอยู่ติดตัวเราไปตลอด เพราะว่าสักวันหนึ่งจะต้องออกไปอยู่กับสังคมภายนอกให้ได้

“เราต้องสอนการเข้าสังคม เรามองไม่เห็น เวลาใครมาช่วยเหลือเราต้องขอบคุณ ตอนทำผิดเราต้องขอโทษ เจอกันต้องสวัสดี ให้เด็กติดเป็นนิสัย” นักเรียนทำความเคารพ เมื่อคุณครูเข้าสอน เด็กนักเรียนในช่วงวัยที่ครูเนสอน มีความหลากหลาย ความซุกซน ความสงสัย และเริ่มที่จะมีจินตนาการความคิดเป็นของตัวเอง เด็กที่มองไม่เห็น ใครว่าจะไม่ซุกซน บางคนไม่ยอมส่งงาน ก็ต้องลงโทษ แต่เด็กๆ ก็จะรู้ว่าคุณครูลงโทษเพราะอะไร"เพราะส่งงานช้านะ" พอครูบอกเหตุผลไป"ก็เคยถามว่าโกรธครูไหม พวกเขาบอกไม่โกรธ เพราะเราส่งงานช้าจริง"

ครูเนอยากให้นักเรียนอ่านหนังสือมากๆ ฟังหนังสือเยอะๆ เพราะถ้าไม่มีข้อมูลก็จะไม่มีจินตนาการ สร้างสรรค์อะไรไม่ออก พอเริ่มที่จะมีข้อมูล เกิดจินตนาการใหม่แล้ว จะสอนให้เด็กมีเป้าหมาย ยกตัวอย่างบุคคลที่ประสบความสำเร็จ เช่น ศิษย์เก่าที่นี่ที่มีงานทำ ไม่ว่าจะจบสูงหรือไม่สูง คือจุดมุ่งหมายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ครูเนจะบอกเด็กเสมอว่า ให้ลำบากวันนี้ พอวันข้างหน้าจะได้สบาย

ครูเนอธิบายว่า"ลำบากวันนี้ คือเราเรียนเราอาจจะเหนื่อย อาจจะเบื่อ บางเวลาอยากจะเล่นก็ไม่ได้เล่น ให้ฝืนใจตัวเองไว้ พอวันนั้นมาถึง การสบายของเราคือมีงานทำ ได้ทำงานที่ชอบ" น้องซูกัสแม้เพียงยังอยู่ในระดับชั้นประถมศึกษา แต่ก็มีความฝันที่ยิ่งใหญ่อย่างการเป็นครู เพราะชอบถ่ายทอดความรู้ให้เพื่อนๆ น้องๆ ฟัง ตอนนี้ก็เลยตั้งใจเรียนหมั่นทบทวนบทเรียนเป็นประจำ

มีเด็กส่วนหนึ่งอยากเป็นครู เพราะว่าพวกเขาเห็นครูเน เขาบอกอยากกลับมาสอน อยากมาเจอครูเนอีก ครูก็พูดติดตลกตอบกลับไปว่า “เวลานั้นครูคงเกษียณไปแล้วล่ะ” พร้อมยกตัวอย่างว่า "ครูมาแล้วนะ แล้วก็หวังว่าวันหนึ่ง พวกเธอจะมายืน ณ จุดๆ นี้กับครู"

นักเรียนในชั้นเรียนของครูเน

“ถามว่าทำไมเราต้องทุ่มเทขนาดนี้นั้นก็ เพราะเนได้รับส่งดีๆ มาจากคุณครูที่สอนเนมา ท่านทุ่มเทให้กับเด็กนักเรียนทุกคน รวมทั้งเนด้วย อย่างใครอุตส่าห์เสียสละเวลามาช่วยเราแล้ว ในเมื่อเวลาคนเรามีเท่านั้น ถ้าเค้าตั้งใจมาให้เราแล้ว เวลาเขาหมด เขาเอาคืนไม่ได้ ฉะนั้นหมายความว่า เขาเอาสิ่งที่มีค่ามาให้เรา เราต้องเห็นคุณค่าของสิ่งนั้นด้วย”

ความสดใสนักเรียนกลุ่มนี้ พอบอกว่ามาจากเวิร์คพอยท์ ทำให้พูดขึ้นมาทันทีว่า “The mask singer เป็นอย่างไรบ้างพี่" ทีมงานเลยได้แต่บอกไปว่า “อย่าลืมอดใจรอชมรอฟังรายการนะ” ท้ายบทความนี้ครูเนอยากฝากถึงทุกท่านที่พบเจอคนที่มองไม่เห็นว่า"อย่าตกใจว่าเราทำอะไรไม่ได้ ให้ปฏิบัติกับคนที่มองไม่เห็นเหมือนกับคนทั่วไป ถึงแม้เราจะใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ ในบางครั้งเราอยากรบกวนท่าน “ช่วยเป็นตาให้เรา” อย่างเช่นตอนเดินออกไปข้างนอก ดูสายรถประจำทาง

หลายท่านมักจะคิดว่าคนตาบอดเหมือนเป็นสิ่งพิเศษ ทำไมหูดีจัง เราก็บอกไปว่า เรามองไม่เห็น เลยต้องใช้สิ่งรอบตัวให้เกิดประโยชน์ อย่าลังเลที่จะเรียกพวกเราว่าคนตาบอด สามารถเรียกคนตาบอดได้เลย คำว่าคนตาบอดไม่ได้เป็นคำที่รุนแรง อย่างโรงเรียนนี้ยังชื่อโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ เลยนะ" ครูเนยกตัวอย่างให้ฟังพร้อมกับหัวเราะไปด้วย : โรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ

ขอบคุณ... http://campus.sanook.com/1386165/

ที่มา: campus.sanook.comออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 15 ส.ค.60
วันที่โพสต์: 16/08/2560 เวลา 10:29:36 ดูภาพสไลด์โชว์ “ครูเน” คุณครูผู้นำทางสู่แสงสว่าง