กระสุน 17 นัดเจาะร่างลูกพิการ แม่สะอื้น 10 ปีไร้คนผิด
2 ชีวิตที่ต้องฟันฝ่ามรสุม หนุ่มถูกลูกหลงกระสุนฝังร่าง 17 เม็ด ผ่าออกไม่ได้ต้องพิการ แม่วัย 50 ปีเผาถ่านเลี้ยงลูกชาย แม้ผ่านไป 10 ปีแล้วยังจับมือใครดมไม่ได้
คมกระสุนปริศนาที่พุ่งมาปะทะ แต่กลับไม่ทะลุผ่านร่างของ อดีต รปภ.หนุ่ม ทำให้รถจักรยานยนต์ล้มลง และไถลครูดไปกับพื้นถนน เขานอนจมอยู่กับกองเลือด แต่ก็เกือบสายไป พลเมืองดีหามส่งโรงพยาบาล เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ต้องพบกับความโชคร้าย...กระสุนได้ฝังอยู่ในร่างกายมากถึง 17 เม็ด และถูกยัดเยียด “ความพิการ” ให้อย่างไม่ทันตั้งตัว
เสียงเล็กๆ ของ 2 ชีวิตที่น่าสงสาร ภายในบ้านเลขที่ 9/84 หมู่ 1 ต.ปากโทก อ.เมือง จ.พิษณุโลก เป็นเรื่องราวของ “วีรจิต ศรีรักษ์” หรือ “น้ำ” อายุ 28 ปี อดีตหนุ่มรปภ. กับแม่หัวใจแกร่งวัย 50 ปี “นุช โพธิ์ศรี” ที่ทุกวันนี้ต้องเลี้ยงลูกด้วยการเผาถ่าน เพราะกระสุนปริศนาที่พุ่งมาจากปากกระบอกปืนของกลุ่มวัยรุ่นยิงกัน ลูกชายของนางนุช จึงถูกลูกหลงเป็นพิการมากว่า 10 ปี
นางนุช บอกว่า ลูกชายต้องนอนพิการติดเตียงมากว่า 10 ปีแล้ว เหตุเกิดจากขณะนั้นฐานะทางบ้านยากจนมาก ไม่มีเงินส่งลูกชายเรียนหนังสือ ลูกชายจึงจบเพียงชั้น ป.6 และเมื่ออายุ 18 ปี ไปสมัครเป็นรปภ. หลังเลิกงานขี่รถจักรยานยนต์กลับบ้าน แต่จู่ๆ เสียงของความเจ็บปวดได้ดังขึ้น หลังสิ้นเสียงปืน และปัจจุบันก็ไม่รู้ว่าใครทำร้ายลูก!!!
“น้องช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องคอยช่วยดูแล คอยป้อนข้าวป้อนน้ำ ทำความสะอาดเรื่องการขับถ่าย ดูแลทุกอย่าง และคอยทำแผลกดทับที่กระจายทั่วทั้งหลังและก้น เพราะคำว่าไม่มีใคร ต้องทนทำทุกอย่างเพื่อลูก อดก็ยอม” ผู้เป็นแม่วัย 50 ปี เริ่มมีอาการเสียงสั่นๆ และมีน้ำตาให้เห็น
ย้อนกลับไปหลาย 10 ปีก่อนที่มีความสุข นางนุช เล่าไปพร้อมกับใช้มือเช็ดเนื้อตัวให้กับลูกชาย เดิมทีตนก็รับจ้างมาตั้งแต่เด็ก ต่อมาหัดร้อยพวงมาลัยส่งตามบ้าน พวงละ 5 บาท จนกระทั่งอายุ 13 ปี ไปทำงานโรงงานคัดแยกของเก่า แบกเหล็กแบกขวดทำทุกอย่างเหมือนผู้ชาย หากทำโอทีจะได้ชั่วโมงละ 5 บาท ทำมากก็ได้มาก ทำน้อยก็ได้น้อย แต่ก็ต้องเก็บแรงไว้เผื่อวันต่อไป
เมื่ออายุได้ 18 ปี พบรักกับหนุ่มชนเผ่ากะเหรี่ยง หรือ “ปกาเกอะญอ” ตั้งใจก่อร่างสร้างตัวมีลูกชายชื่อ “น้องน้ำ” แต่ทว่าสามีไม่ใช่คนไทย ไม่มีบัตรที่บ่งชี้ได้ว่าเข้าประเทศมาอย่างถูกกฎหมาย จึงต้องให้เพื่อนรุ่นน้องที่ทำงานรับลูกเป็นบุตรยอมให้ใช้นามสกุล และสามีถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจส่งตัวกลับที่ชายแดน อ.แม่สอด จ.เชียงราย โดยที่ขาดการติดต่อและไม่ได้เจอกันนานเกือบ 20 ปี ซึ่งคงจะไม่มีวันได้กลับมาพบกันอีกแล้ว
2 แม่ลูกอยู่กินกันมาตั้งแต่บัดนั้น หาเช้ากินค่ำตามมีตามเกิด เมื่อลูกชายถึงวัยที่ช่วยแบ่งเบาภาระแม่ จึงอาสาออกรับจ้างยกเศษเหล็ก ขวดแก้ว ลังกระดาษ โดยใช้กะละมังวางไว้บนศีรษะ แล้วใส่เศษของเก่าลงไป เพื่อที่จะขนให้ได้เยอะๆ ทำได้อยู่ 10 วันร่างกายไม่ไหว จึงขอไปสมัครเป็นรปภ. ในตัวเมืองจ.พิษณุโลก “หนูไปสมัครเป็นยามนะแม่” นางนุชจึงบอกลูกไปว่า “เป็นยามต้องอดทนนะลูก แม่ไม่มีความรู้ ก็ทำได้แค่แบกหาม ลูกต้องขยันนะ”
จุดเริ่มต้นของวิบากกรรมที่ไม่มีใครคาดคิดกำลังก่อตัวขึ้น เขาทำหน้าที่ รปภ.ได้เพียง 12 วัน เหตุไม่คาดฝันจึงเกิดขึ้นในเย็นวันนั้น...หัวใจของคนเป็นแม่แทบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ คมกระสุนปริศนาที่พุ่งปะทะร่างของอดีต รปภ.คนนี้ ในวินาทีนั้นแม่แทบช็อกรีบไปโรงพยาบาล แต่ทำไมเห็นลูกอยู่ใน “ห้องดับจิต” วิ่งไปเขย่าตัวฟังเสียงหัวใจ และขอร้องให้แพทย์ยื้อชีวิตลูกชาย โดยรักษาตัวนาน 1 เดือน แพทย์บอกตรงๆ กับผู้เป็นแม่ว่า คงต้องรอปาฏิหาริย์ “หมอรักษาให้เขากลับมาเป็นปกติไม่ได้แล้ว”
เงินเก็บตอนนั้นมี 2,000 บาท นางนุช ยื่นให้หมอ แต่หมอบอกว่า “เหงื่อผมมันเม็ดละแสนนะป้า เอามาทำไมแค่ 2,000 บาท” เพราะกระสุนฝังอยู่ในจุดสำคัญตามร่างกาย 17 เม็ด แต่ยังมีน้ำใจจากบริษัทฯ ที่อดีตหนุ่มรปภ. เข้าไปทำงาน ช่วยค่ารักษา 10,000 บาท และเถ้าแก่โรงงานคัดแยกของเก่าสงสารช่วยอีก 10,000 บาท
เมื่อออกมาจากโรงพยาบาล จึงได้ไปอาศัยบ้านพักหลังหนึ่งของผู้ใจบุญ หมู่ 4 ต.ปากโทก ซึ่งค่อนข้างเป็นป่ารกทึบ และไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องขึ้นอีก เพราะ...ลางสังหรณ์ของคนเป็นแม่ถูกต้อง กึ่งวิ่งกึ่งเดินกลับบ้าน 8 กม. เห็นงูเหลือมเลื้อยอยู่บนตัวลูกชาย และกำลังอ้าปากกัดกินแผล นาทีนั้นเขาร้องสุดเสียงแต่ไร้เงาคนช่วย แพทย์วินิจฉัยว่าติดเชื้อจากน้ำลายงู ต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนาน 6 เดือน และ นางนุช ต้องลาออกจากงาน เพราะเห็นใจเถ้าแก่ที่คอยช่วยเหลือมาโดยตลอด
แพทย์ได้แจ้งว่า ต้องกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้แล้ว แต่ทั้ง 2 แม่ลูกไม่มีที่อยู่เป็นที่ดินของตัวเอง จึงจำยอมโดยมีคนใจบุญให้ไปอยู่บ้านหลังหนึ่ง ซึ่งเพิ่งมารู้ทีหลังว่า บ้านหลังนี้มีคนผูกคอตาย เพราะลูกชายเล่าให้ฟังว่า มีชายมายืนเป็นเงาดำๆ อยู่ข้างๆ หรือนี่จะเป็นลางบอกเหตุบางสิ่ง??? นางนุช ซึ่งขณะนั้นมีรายได้จากการพับดอกไม้จันทน์ขาย จึงทำบุญเผาดอกไม้จันทน์ไปให้ วิญญาณก็ไม่มาปรากฏตัวให้เห็นอีกเลย
ปัจจุบัน นางนุช ไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง ซึ่งหลังที่อยู่ทุกวันนี้ “เป็นของหลวง” แม้จะไปรับจ้างทำงานอะไรก็ไม่ได้ เพราะต้องคอยดูแลลูกชายตลอดเวลา จึงทำได้เพียงเผาถ่ายขาย มีรายได้เดือนละประมาณ 1,000 บาท และรับจ้างตัดหญ้าไร่ละ 100 บาท แต่ก็ไปรับจ้างไกลๆ ไม่ได้ เพราะต้องกลับมาป้อนข้าวป้อนน้ำให้ลูก เวลาว่างจะออกไปตัดไม้ หาฝืน โดยไปขอเจ้าหน้าที่ที่โค้นต้นไม้ไว้ตามข้างถนน “ป้าขอไปเผาถ่านได้ไหม เขาก็อนุญาตว่าป้าไปหาเลื่อยมาตัดเอาไปได้เลย”
ส่วนอาหารการกินที่เป็นกับข้าวหลักๆ ที่พอจะหาได้ ไม่พ้นการออไปขุดหาหน่อไม้ป่า นำมาต้ม นำมาแกง พอประทังชีวิตไปวันๆ แม้แต่เก็บตำลึงมาผัดกิน หรือไข่ไก่ต้ม 1 ใบ ก็ต้องแบ่งกันกินคนละครึ่ง แม้กินข้าวคลุกน้ำปลาผู้เป็นแม่ก็ยอม เจียดเงินไว้ซื้ออุปกรณ์ทำแผลให้ลูก แถมเคยถูกเพื่อนบ้านไล่ให้ไปอยู่ที่อื่น เหตุเห็นทำแผลกดทับให้ลูก แล้วเพื่อนบ้านกินข้าวไม่ลง
โดย นางนุช ตัดพ้อให้ฟังพร้อมกับเสียงสะอื้นและน้ำตาที่ไหลเป็นสาย แต่ก่อนอยากกินยาฆ่าตัวตายหลายครั้งมากๆ เคยกินไปแล้ว 1 ครั้ง แต่ไม่ตาย “ทุกวันนี้เลิกคิดแบบนั้น เพราะถ้าเราเป็นอะไรไป ลูกจะอยู่อย่างไร ป้าเป็นโรคลมป่วง หน้ามืดบ่อย ล้มลงกับพื้นเจ็บที่หัวเข่า แต่ทำไงได้หนู ป้าต้องสู้เพื่อลูกชาย”
แต่สิ่งที่แม่คนนี้ไม่เคยคิดเลย คือ...การดูถูกคนอื่น แต่ทว่าหลังจากมีนางฟ้าซาลอนมาช่วย และนำเรื่องราวไปเผยแพร่บนโลกออนไลน์ หน่วยงานราชการลงพื้นที่เยี่ยมช่วยเหลือ นางนุช เริ่มร้องไห้อีกครั้ง...แต่ทำไมเขาต้องรังเกลียดลูกของป้า ลูกชายไม่ได้เป็นโรคร้ายติดต่อ ป้าไม่ได้ขอเป็นเงินเป็นทอง แต่ขอให้ได้มีชีวิตอยู่ดูแลลูกไปแบบนี้นานๆ เจ็บที่สุดมีผู้หญิงคนหนึ่งที่มาพร้อมกับคณะ พูดเหมือนกับว่าเราไปขอเขากิน รู้สึกเสียใจนั่งร้องไห้ เพราะคำว่า “ทำไมต้องมาอาศัยในพื้นที่หมู่บ้านฉัน”
เหมือนกับจะไล่ทั้ง 2 แม่ลูกออกจากหมู่บ้าน...คือคำทิ้งท้ายก่อนที่เสียงสะอื้นของ นางนุช แม่หัวใจแกร่งวัย 50 คนนี้จะหยุดลง ถ้าหากใครอยากหยิบยื่นความช่วยเหลือนางนุช โพธิ์ศรี โทร 0-8693-72598.
คอลัมน์ : นิยายชีวิตอาทิตย์สไตล์
โดย “ทวีลาภ บวกทอง”
ขอบคุณภาพ @นางฟ้าซาลอน