หลับตาเที่ยว เพจบันทึกการเดินทางของคนตาบอดกับคนตาดีที่อยากเห็นคนพิการออกไปใช้ชีวิตและท่องเที่ยวทุกที่ได้ด้วยตัวเอง

หลับตาเที่ยว เพจบันทึกการเดินทางของคนตาบอดกับคนตาดีที่อยากเห็นคนพิการออกไปใช้ชีวิตและท่องเที่ยวทุกที่ได้ด้วยตัวเอง

“ไปเดินป่าด้วยกันสักทริปไหม” คำชวนจากปลายสาย หลังเราโทรหาเขาเพื่อขอสัมภาษณ์

มอส-ปราโมทย์ ชื่นขำ เป็นเจ้าของเพจที่มีชื่อว่า ‘หลับตาเที่ยว’ เขาทำเพจนี้ร่วมกับ บุ๋มบิ๋ม-เพ็ญเพ็ชร น้อยยาสูง ซึ่งเป็นรุ่นน้องในมหาวิทยาลัย เพื่อเป็นบันทึกการเดินทางและมุ่งสื่อสารกับสังคมว่า คนตาบอดก็ไปเที่ยวและเดินป่าได้

ในวัย 5 ขวบ มอสสูญเสียการมองเห็นเพราะมีเนื้องอกบริเวณจอรับภาพ แต่ความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้ส่งผลต่อการเติบโต เขายังคงใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการ ไปเดินป่าและทำงานเป็นทนายความ

ถึงคำชวนของมอสจะน่าสนใจ ได้ไปออกทริปกับเขาสักครั้งคงจะเข้าใจวิธีทำเพจและวิธีเดินป่าของคนตาบอด แต่จากความซุ่มซ่ามที่เรามี เกรงว่าการเดินป่าครั้งนี้จะเป็นภาระให้เพื่อน ๆ มากกว่า เราเลยชวนมอสและบุ๋มบิ๋มมานั่งคุยกันที่อุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คงให้บรรยากาศคล้าย ๆ ป่าในเมืองอยู่บ้าง

เมื่อหาที่นั่งบนพื้นหญ้าเย็น ๆ นุ่มสบายได้เรียบร้อย ประกอบกับสายลมอ่อน ๆ ที่พัดมาปะทะตัวบ่อยครั้ง ทั้งสองก็พาเราไปรู้จักกับเพจหลับตาเที่ยวตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้

หลับตาเที่ยว เพจบันทึกการเดินทางของคนตาบอดกับคนตาดีที่อยากเห็นคนพิการออกไปใช้ชีวิตและท่องเที่ยวทุกที่ได้ด้วยตัวเอง

ชุมนุม

‘เพื่อนโดมสัมพันธ์’ คือชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่ทำให้มอสและบุ๋มบิ๋มเจอกัน เพื่อนโดมสัมพันธ์เป็นชุมนุมที่ชวนเพื่อนทั้งคนพิการและไม่พิการมาทำกิจกรรมด้วยกัน อย่างทำค่ายอาสา บ้างก็จัดทริปไปเที่ยว

“มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีโครงการรับนักศึกษาพิการ ชุมนุมนี้จึงมีวัตถุประสงค์พาเพื่อนพิการกับไม่พิการมารู้จักกัน ทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ด้วยกัน เพื่อให้คนเห็นว่าความพิการไม่ได้เป็นข้อจำกัดที่ทำให้เขาช่วยสังคมไม่ได้ คนพิการก็ทำประโยชน์เพื่อสังคมได้เช่นกัน” มอสขยายเพิ่มเติม

มอสอยากเข้าชุมนุมนี้แน่ ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย เราเลยสนใจฝั่งบุ๋มบิ๋มว่า ทำไมถึงตัดสินใจเข้าร่วมชุมนุมนี้ เธอตอบว่า มีรุ่นพี่ที่รู้จักที่อยู่ชุมนุมนี้มาเล่าให้ฟังว่าได้ไปเที่ยวลาวกับเพื่อนตาบอด สิ่งที่รุ่นพี่เล่ากระตุ้นความสนใจบุ๋มบิ๋มและอยากรู้จักชุมนุมนี้

“เขาพาเราไปที่ชุมนุมเพื่อนโดมสัมพันธ์ในวันนั้นเลย ภาพที่เราได้เห็นมันโคตรใช่ ภายในห้องหนึ่งทุกคนมีมุมของตัวเอง มุมนั่งทำการบ้าน มุมกินข้าว มุมเล่นดนตรีที่มีพี่ตาบอดนั่งเล่นกีตาร์ เราชอบบรรยากาศนั้น บรรยากาศที่ทุกคนอยู่ด้วยกันได้ ทั้งคนตาดี คนตาบอด นั่งวีลแชร์ นั่งเก้าอี้ ได้ยิน ไม่ได้ยิน ไม่มีกำแพงกั้นในห้องนี้เลย หลังจากนั้นเราไปชุมนุมทุกวันและอยู่เรื่อยมาจนเรียนจบ”

มอสกับบุ๋มบิ๋มจึงมีโอกาสได้ไปออกทริปด้วยกันบ่อย ๆ ผ่านการเป็นสมาชิกชุมนุม บางทริปก็ไปกันแค่ 2 คน ทั้งคู่บอกว่าเพราะพวกเขามีรสนิยมในการเที่ยวคล้าย ๆ กัน คือชอบเที่ยวแบบลุย ๆ

“ถ้าคนที่เป็นนักเดินทางจะรู้ว่าไม่มีทางที่ทุกอย่างจะเป็นดั่งใจเรา ถ้าเป็นคนอื่นอาจหงุดหงิดถ้าไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ แต่เรา 2 คนไม่ บางทีขี่มอเตอร์ไซค์ไปเจอฝนตก เราก็แค่หาเสื้อคลุมฝนแล้วไปต่อ” ในความรู้สึกของมอส อุปสรรคที่เกิดขึ้นระหว่างไปเที่ยวช่วยเพิ่มสีสันและรสชาติให้ทริปนั้น

มอสและบุ๋มบิ๋มเป็นคนชอบเดินป่า ที่เที่ยวเลยมักจะเป็นอุทยานแห่งชาติ ดอย และป่าตามที่ต่าง ๆ ซึ่งคำพูดที่มอสมักได้ยินระหว่างเดินทาง ก็คือ

“เก่งจัง มองไม่เห็นก็ขึ้นไปได้”

คำพูดนั้นสร้างความแปลกใจให้มอสและบุ๋มบิ๋ม เพราะพวกเขารู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นคนตาบอดหรือตาดีก็ออกไปเที่ยวได้ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงตัดสินใจสร้างเพจหลับตาเที่ยวขึ้นมา เพื่อบันทึกประสบการณ์รวมถึงสื่อสารกับสังคม ให้การไปเที่ยวของคนตาบอดหรือคนพิการเป็นเรื่องปกติ

หลับตาเที่ยว เพจบันทึกการเดินทางของคนตาบอดกับคนตาดีที่อยากเห็นคนพิการออกไปใช้ชีวิตและท่องเที่ยวทุกที่ได้ด้วยตัวเอง

หลับตาเที่ยว

เมื่อจุดตั้งต้นของการทำเพจ คือบันทึกความทรงจำและสื่อสารกับสังคมเรื่องการท่องเที่ยวของคนตาบอด การทำคอนเทนต์ลงเพจสักชิ้นจึงไม่ได้ปรุงแต่งมากนัก ส่วนใหญ่มอสและบุ๋มบิ๋มใช้วิธีโพสต์ภาพและเล่าเรื่องผ่านแคปชัน อย่างเช่นความรู้สึกที่เกิดหลังเดินถึงยอดดอยหรืออุปสรรคที่พบเจอ

พวกเขาเริ่มทำเพจหลับตาเที่ยวตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย จนถึงตอนนี้ที่ทั้ง 2 คนเข้าสู่วัยทำงาน เวลาออกไปเที่ยวจึงน้อยลง ไม่มีเรื่องมาเล่ามากนัก ลงโพสต์น้อยลงจนเหมือนเพจปิดตัวไปแล้ว แต่ทั้งคู่ยืนยันว่าไม่ได้ปิดเพจ และจะพยายามหาเวลาไปเที่ยวเพื่อมีเรื่องมาเล่าให้ทุกคนฟัง

มอสต้องมีอุปกรณ์เดินป่าสำหรับคนตาบอดไหม – มอสตอบเราทันทีว่าเขาใช้อุปกรณ์เหมือนนักเดินป่าคนอื่น ๆ

“อย่างเต็นท์ผมก็ใช้ยี่ห้อเดียวกับนักเดินป่าทั่วไปเลย แม้ว่าของพวกนี้จะไม่ได้ออกแบบมาเพื่อคนพิการ แต่เราต้องเรียนรู้ที่จะใช้ให้ได้ เช่น ฝึกกางเต็นท์ที่บ้าน ฝึกจุดเตาแก๊ส ถ้าคนที่มองเห็นเขาอาจจะบอกว่าดูอันตราย แต่ถ้าเราเรียนรู้วิธีใช้เป็นก็ไม่ได้อันตรายหรอก”

ทางเดินในป่าอาจไม่ได้ราบเรียบ มีช่วงขรุขระหรือสิ่งกีดขวาง ทำให้คนมองไม่เห็นเลยอาจเดินยากสักหน่อย มอสจะใช้มือซ้ายจับกระเป๋าเป๋ของบุ๋มบิ๋ม ส่วนมือขวาใช้จับไม้เท้าเดินป่า (Trekking)

“มีหลาย ๆ อุทยานที่น่าชื่นชม เพราะเขาทำราวจับหรือมีราวเชือกให้ ถ้าเราเห็นว่ามีราวก็จะปล่อยให้พี่มอสเดินเองเลย ตั้งแต่เดินป่าด้วยกันมา ถ้าวันไหนที่เขาได้เดินด้วยตัวเอง รอยยิ้มของเขาจะกว้างมาก ๆ”

บุ๋มบิ๋มหันไปคุยกับมอส “พี่มอสรู้ตัวไหมว่าหน้าตาพี่แสดงออกมาเลยนะ เหมือนเห็นความภาคภูมิใจในตัวเองของพี่มอสพุ่งปรี๊ดเลย”

การได้ทำอะไรด้วยตัวเองย่อมมีความสุขมากกว่ารอให้คนอื่นทำให้ แต่คนพิการหลายคนใช้ชีวิตด้วยตัวเองไม่ได้ ไม่ใช่เพียงเพราะลักษณะทางร่างกาย แต่โลกก็ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อพวกเขาเช่นกัน

มอสบอกว่าการออกแบบเพื่อทุกคน (Universal Design) จะช่วยให้คนพิการใช้ชีวิตได้ด้วยตัวเอง ทำให้คนรู้สึกถึงคุณค่าในตัวเอง

“เรื่องที่เราอยากพูดมากที่สุด คือคนพิการกับไม่พิการเที่ยวด้วยกันได้ โดยที่คนไม่พิการไม่ต้องอยู่ในฐานะของคนที่คอยรับความช่วยเหลือเท่านั้น พูดง่าย ๆ คือบุ๋มบิ๋มไม่ต้องคอยช่วยผมทุกเรื่อง มีบางเรื่องที่ผมทำเองได้ เช่น กางเต็นท์ ทำอาหาร ส่วนเขาก็จะเป็นคนนำทาง คนขับรถ เราแบ่งหน้าที่กันได้ เราอยากทำให้สังคมเห็นว่าพวกเราเที่ยวด้วยกันได้นะ โดยที่ไม่ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรอรับการช่วยเหลือจากอีกฝ่ายตลอดเวลา”

หลังทำเพจไปได้ระยะหนึ่ง คอมเมนต์ที่หลับตาเที่ยวได้รับมีทั้งคนที่เข้าใจ และคนที่ยังติดกับทัศนคติบางอย่าง อย่างประเด็นเรื่อง ‘ความเมตตา’ มองสถานะทั้ง 2 คนว่า คนหนึ่งเป็นคนช่วย ส่วนอีกคนรอรับความช่วยเหลือ สิ่งที่มอสอยากบอกก็คือ พวกเขาก็เหมือนคนอื่น ๆ ที่เวลาไปเที่ยวต้องแบ่งหน้าที่กัน ดูแลกันและกัน มองไม่เห็นไม่ได้แปลว่าดูแลตัวเองหรือช่วยคนอื่นไม่ได้

“อย่าใช้คำว่า ‘พาเราไป’ ต้องใช้คำว่า ไปด้วยกัน” มอสย้ำกับเรา

ชื่อเพจ ‘หลับตาเที่ยว’ อาจสื่อความตรง ๆ ให้หมายถึงการเล่าเรื่องทริปท่องเที่ยวหรือเดินป่าของคนตาบอดก็ได้ หรือถ้าจะให้ลึกซึ้งกว่านั้น มอสและบุ๋มบิ๋มอยากให้เพจนี้นำเสนอประเด็นว่า ในการท่องเที่ยวไม่ได้ใช้เพียงทักษะการมองเห็น แต่ยังมีประสาทสัมผัสอื่นที่ใช้เพื่อเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้ด้วย

“คนให้ความสำคัญกับการมองเห็นมากจนลืมว่ามนุษย์ยังมีประสาทสัมผัสแบบอื่นด้วย ถ้าใครได้ไปเที่ยวสักที่หนึ่ง อยากให้ชวนลองหลับตา แล้วสัมผัสสถานที่นั้นผ่านการฟังเสียง เช่น เสียงน้ำตก เสียงนกร้อง”

เราถ้าคนตาบอดอยากลองไปเดินป่า มอสแนะนำที่ไหน – มอสนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก็จะตอบว่า “ถ้าอยากไปเดินป่าจริง ๆ ยังไงก็ต้องมีคนตาดีไปด้วยนะ” เขาเตือนก่อน “ถ้าให้แนะนำคงเป็นอุทยานแห่งชาติดอยขุนตาล เพราะเดินทางง่าย ขึ้นรถไฟที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์แล้วไปลงที่สถานีขุนตาลได้เลย ดอยอยู่ติดสถานีรถไฟ เดินขึ้นไปได้เลย”

หลับตาเที่ยว เพจบันทึกการเดินทางของคนตาบอดกับคนตาดีที่อยากเห็นคนพิการออกไปใช้ชีวิตและท่องเที่ยวทุกที่ได้ด้วยตัวเอง

สถานที่ท่องเที่ยวยังไม่รองรับคนพิการ

คนพิการไม่ชอบเที่ยว หรือสถานที่ไม่รองรับจนออกไปเที่ยวไม่ได้ คงเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันจนโลกแตกเหมือนคำถามว่า ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน แต่ถ้าเราลองปรับมุมมองว่า คนพิการก็เหมือนคนกลุ่มอื่น ๆ ที่มีความชอบหลายแบบ บางคนชอบเที่ยว บางคนชอบอยู่บ้าน บางคนชอบเที่ยวในเมือง บางคนชอบเที่ยวธรรมชาติ เราอาจเข้าใจพวกเขามากขึ้น และคิดอย่างรอบคอบมากขึ้นอีกเวลาจะออกแบบอะไรสักอย่าง

เสียงตอบรับจากการทำเพจหลับตาเที่ยว นอกจากคนรับรู้เรื่องการท่องเที่ยวของคนพิการมากขึ้น มอสและบุ๋มบิ๋มยังได้รับเชิญไปพูดตามเวทีต่าง ๆ และทำโปรเจกต์ร่วมกับสื่ออย่าง ThisAble .me เพื่อกระจายแนวคิดว่าคนพิการก็อยากออกไปเที่ยวให้กว้างขึ้น

ทั้งคู่หวังว่าสังคมจะมีความตื่นตัวในระดับที่ปรับสถานที่ท่องเที่ยวบางแห่งหรือทุกแห่งในไทยให้คนพิการใช้งานได้โดยไม่ต้องมีคนคอยช่วย

“เราแค่คาดหวังว่าจะมีการฉุกคิดสักนิดหนึ่งเวลาทำอะไรสักอย่าง สมมติทำทางขึ้น-ลง อาจมีคนคิดถึงว่าวีลแชร์จะไปยังไง ควรจะมีทางลาดนะ หรือการสร้างทางเท้า หากนึกถึงว่าต้องมีคนตาบอดใช้ด้วย เขาก็จะพยายามไม่ให้มีสิ่งกีดขวางอยู่บนทางเดิน หรือทำเบรลล์บล็อกให้ใช้งานได้จริง”

บุ๋มบิ๋มยกตัวอย่างบางประเทศถึงขั้นมีการสร้างทางลาดสำหรับวีลแชร์เพื่อเป็นทางลงไปทะเล เธออยากให้มีสิ่งนี้เกิดขึ้นที่บ้านเราเยอะ ๆ

“มันต้องเกิดจากความคิดก่อนว่า คนนั่งวีลแชร์ก็อยากเล่นน้ำนะ อยากเอาขาจุ่มน้ำ จนเขาถึงขั้นทำทางลาดลงไปในทะเลได้ ถ้าบ้านเขาทำได้ ยังไงบ้านเราก็ต้องทำได้”

มอสเสริมบุ๋มบิ๋มต่อว่า “ทั้ง ๆ ที่บ้านเราโปรโมตเรื่องการท่องเที่ยว เราพยายามให้ต่างชาติหรือคนไทยออกมาเที่ยว เพราะเศรษฐกิจบ้านเรายังต้องพึ่งพาธุรกิจท่องเที่ยว แต่การท่องเที่ยวของบ้านเรายังไม่ได้ออกแบบสำหรับคนทุกคน มีแค่คนบางกลุ่มเท่านั้นที่ไปได้ คนพิการยังออกไปเที่ยวทั่วไทยอย่างอิสระไม่ได้”

คนพิการก็เที่ยวได้

นอกจากได้เพื่อนเที่ยวที่คิดเหมือนกัน มอสและบุ๋มบิ๋มต่างคิดว่าการไปเที่ยวของพวกเขาทำให้ได้อะไรบางอย่างกลับมา สำหรับบุ๋มบิ๋มคือการคิดถึงคนอื่น เข้าอกเข้าใจคนอื่นมากขึ้น และเป็นสิ่งติดตัวบุ๋มบิ๋มไม่ว่าจะไปเที่ยวกับมอสหรือใช้ชีวิตที่ไหนก็ตาม

ส่วนสิ่งที่มอสได้คล้ายกับบุ๋มบิ๋ม เขาคิดไปถึงเพื่อนคนตาบอดคนอื่น ๆ ที่อยากออกมาเที่ยวเหมือนกัน บางคนไม่มีโอกาส มอสจึงอยากเป็นหนึ่งในกระบอกเสียงให้พวกเขา

“วันหนึ่งถ้าการออกไปเที่ยวของคนพิการกลายเป็นเรื่องธรรมดา แค่นี้เราก็ดีใจแล้ว เพราะเราตั้งใจสื่อสารกับสังคมเรื่องนี้ เพื่อให้เขาออกแบบสถานที่ให้คนพิการออกมาเที่ยวได้ ถือว่าภารกิจของพวกเราสำเร็จลุล่วง”

การจะสร้างความคุ้นชินหรือเปลี่ยนทัศนคติคนหมู่มากอาจต้องใช้เวลา แต่ทั้งสองยังคงมีแรงที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อสักวันหนึ่งการที่คนนั่งวีลแชร์ลงไปเล่นน้ำทะเล หรือคนตาบอดไปพิชิตยอดเขากลายเป็นเรื่องปกติของสังคม

“การท่องเที่ยวเป็นเรื่องของทุกคน ทุกคนควรออกไปเที่ยวได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนพิการหรือไม่ คุณก็ควรได้ออกไปใช้ชีวิต” มอสทิ้งท้าย

ขอบคุณ... https://readthecloud.co/lab-ta-teaw/

ที่มา: readthecloud.co/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 7 ก.พ.68
วันที่โพสต์: 7/02/2568 เวลา 11:53:04 ดูภาพสไลด์โชว์ หลับตาเที่ยว เพจบันทึกการเดินทางของคนตาบอดกับคนตาดีที่อยากเห็นคนพิการออกไปใช้ชีวิตและท่องเที่ยวทุกที่ได้ด้วยตัวเอง