แสงสว่างของเด็กพิเศษ "พระครูจันทสีลากร"
พระ-พ่อ-ครู ผู้มีแต่ให้ "พระครูจันทสีลากร" เจ้าอาวาสวัดห้วยหมูผู้อุทิศตนดูแลเด็กออทิสติกและดาวน์ซินโดรมเพื่อให้เขาเหล่านี้พึ่งพาตัวเองได้
โดยในระยะเวลากว่า 10 ปี “พระครูจันทสีลากร” ทุ่มเทเวลาเกือบ 24 ชั่วโมงต่อวัน คอยดูแลเลี้ยงดูเด็กพิเศษหลายสิบชีวิตจากทั่วประเทศ ที่ไม่มีสถานศึกษาไหนรับ มาดูแลให้ความรู้ ความรัก ความอบอุ่น
ซึ่งจากการกระทำดังกล่าวส่งผลให้น้องๆ เด็กพิเศษ ณ ตอนนี้มีอาชีพการงานอย่าง พนักงานออฟฟิศ บาริสต้า ศิลปินเพ้นท์เสื้อ ช่วยเหลือเลี้ยงดูพ่อแม่และพึ่งพาตัวเองได้ในสังคม
"หลวงพ่อบวชตั้งแต่เป็นเณรก็อยู่กับเณร ใหม่ๆก็สอนเณรเนี่ยแหละ เป็นพระใหม่ๆก็สอนเณรตัวเล็กๆ เณรภาคฤดูร้อน มันก็เลยผูกผันและคุ้นเคยอยู่กับเด็กมาตลอด มาเป็นเจ้าอาวาสก็เจอเด็กพิเศษอีกก็คุ้นเคยเด็กพิเศษ ก็ดูแลอุปการะเหมือนลูกเหมือนหลาน" แสงสว่างของเด็กพิเศษกล่าวถึงจุดที่มาเริ่มต้นของภารกิจ
จุดเริ่มต้นของการเปิดศูนย์ดูแลเด็กพิเศษ “ศูนย์พัฒนาเด็กพิเศษวัดห้วยหมู” ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 3 ปีที่แล้ว โดยเกิดจากความรักและความผูกผันที่มีต่อเด็กของพระครูจันทสีลากรที่เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ตั้งแต่เด็กๆ เป็นสารมเณรน้อยวัยเยาว์ก่อนจะค่อยๆ แก่พรรษาเป็นเณรรุ่นพี่คอยดูแลเณรใหม่ที่บวช จนเกิดเป็นความรักและผูกพันกระทั่งแก่พรรษาขึ้นเป็นเจ้าอาวาสวัดห้วยหมู
กระทั่งเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วหลวงพ่อก็ได้พบกับปัญหาของเด็กออทิสติกและดาวน์ซินโดรมซึ่งญาติโยมของบุตรหลานที่คิดไม่ตกเข้ามาปรึกษากับการไม่มีที่เรียน ไม่มีที่ดูแล จึงยื่นมือเข้าช่วยพูดคุยหาทางออกกับผู้อำนวยการโรงเรียนวัดห้วยหมูและเกิดเป็นพื้นที่ดูแลเด็กๆ พิเศษเหล่านี้จากทั่วทั้งประเทศ
"เด็กพวกนี้ผู้ปกครองเขาไปหาโรงเรียนทั่วไปเลยไม่มีใครรับเพราะว่าเขาไม่รู้จะสอนอะไร เขาก็ไม่มีครู และก็เด็กปกติเขาก็เยอะแล้ว"
หลังเรื่องราวของการรับเด็กๆ พิเศษแพร่ออกไปผู้ปกครองจึงได้นำลูกหลานมาเข้าเรียนศึกษาเพราะไม่เพียงเป็นสถานที่ดูแลเด็กออทิสติกกและดาวน์ซินโดรมช่วงเวลาที่พ่อแม่ผู้ปกครองทำงานหารายได้ แต่ศูนย์พัฒนาเด็กพิเศษวัดห้วยหมูยังมีการเรียนการสอนและกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาศักยภาพให้เด็กๆ เหล่านี้สามารถทักษะการใช้ชีวิตที่บกพร่อง ทักษะด้านวิชาชีพให้อยู่ในสังคมได้
"ศูนย์สาธารณสงเคราะห์เด็กพิเศษวัดห้วยหมู มีครูอยู่ 5 คน ครูที่มาอยู่นี่เขาก็มีลูกเป็นเหมือนกันก็ทำให้เราดูแลด้วยใจ ด้วยความรัก ให้ความอบอุ่นแก่เขา เพราะเด็กๆ เหล่านี้ส่วนใหญ่ถ้าไม่ไปโรงเรียนก็จะอยู่บ้านคนเดียวช่วงพ่อแม่ไปทำงาน เขาจิตใจเขาจะปรวนแปรได้ง่าย อยู่คนเดียวเกิดความเครียดกัดตัวเองแผลเวอะวะหมดเลย บางคนเอาหัวโขกกำแพง แต่พอมาอยู่กับเรา เป็นชุมชนหรือเป็นที่มีศูนย์ให้เขาอยู่เนี่ย เขาจะมีความสุขกว่าอยู่เดี่ยว เขามีเพื่อน มีครู มีพี่เลี้ยง เราปลอบได้ทัน เขาก็จะรู้สึกอบอุ่น รู้สึกไม่ถูกทอดทิ้ง เขาหาทางออกได้ เขาก็จะไม่ทำร้ายตัวเอง
"ทีนี้พอเขารู้สึกว่าตัวเองได้รับความรักเราก็สามารถจะให้เขาทำกิจกรรมที่ช่วยให้พัฒนาศักยภาพที่เขาบกพร่องทางด้านร่างกายให้ดีขึ้นแม้จะไม่เทียบเท่าคนปกติแต่เขาสามารถดูแลตัวเอง สามารถหารายได้ช่วยจุนเจือครอบครัว สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนในสังคมได้ ตอนนี้ก็มีรุ่นก่อนๆ ที่ออกไปเปิดร้านกาแฟของตัวเอง ไปเป็นศิลปินเพ้นท์เสื้อขาย ขายดีด้วย (ยิ้ม) อีกคนไปเป็นพนักงานเดินเอกสารให้บริษัทเอกชน
"ผู้ปกครองเขาฝากไว้อย่างนี้แล้วเห็นอย่างนี้เขาก็บอกกับหลวงพ่อว่าแก่เฒ่าเขาตายจากไป ลูกหลานมีที่อยู่ มีที่เรียน มีที่นอน มีความสามารถใช้ชีวิตดูแลตัวเองได้ เขาก็ตายตาหลับ หลวงพ่อก็ว่ามีความภูมิใจ ก็ต้องดูแลต่อไปและบอกว่าใครเป็นเจ้าอาวาสวัดรุ่นต่อไป"
เขาก็อยากเหมือนคนปกติ
พระครูจันทสีลากรบอกว่าเด็กๆ พิเศษเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ต้องการอยากจะเป็นคนปกติเหมือนเราด้วยกันทั้งนั้น ก็อยากให้ญาติโยมมาช่วยกันให้กำลังใจน้องๆ ทุกคนเพื่อช่วยให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้น
"บางคนขาพิการเดินไม่ได้ แต่เห็นเด็กพิเศษบางคนเดินได้ เขาก็อยากเดินมั่ง เขาก็จะพยายามคลาน พยายามจะวิ่ง เขามุมานะของเขา คือเขาอยากเป็นเด็กปกติ แม้ว่าเขาเกิดมาร่างกายไม่ดี สมองสมบูรณ์ แต่จิตใจเขาดีงามมาก เขาน่ารักมาก" เจ้าอาวาสวัดห้วยหมูเผยความรู้สึกที่มีต่อเด็กๆ พิเศษเหล่านี้กว่า 20 คนในการอุปการะดูแล
"ที่นี้ก็จะมีการพัฒนาทักษะของเขาให้เขามีความสุข พอเขามีความสุขเขาก็จะมีสมาธิ เขาก็จะเริ่มทำในสิ่งที่ชอบที่จะช่วยพัฒนาศักยภาพที่เขาบกพร่อง อย่างแรกๆ เลยที่เราเริ่มดูแลเด็กเราให้เขาพับลอตเตอรี่เก่าเป็นดอกไม้ เป็นพัด เป็นหมวก เป็นแจกัน ทำให้เขาคุมอารมณ์ได้ เกิดสมาธิ เขาอารมณ์ดี ทำไปยิ้มไป เขาก็จะมาบอกว่าเขาอยากจะทำอะไรที่เขาชอบ มันก็ค่อยๆ ต่อยอดเป็นเพ้นท์เสื้อเพราะน้องบอกหลวงพ่อว่าอยากทำ มาเป็นถักพรม มาชงกาแฟ มาทำเค้ก
"หลวงพ่อก็ภูมิใจมาก เพราะว่าเขาสามารถที่จะออกไปใช้ชีวิตได้เป็นปกติ ถึงน้อยๆ ไม่ปกติ100% แต่เขาก็สามารถไปอยู่ในสังคมได้ก็ถือว่าสำเร็จแล้ว มีความสุขเพราะว่าได้ช่วยเหลือสังคมบ้างไม่ว่ามันจะไม่มากไม่น้อยเกินไป แต่บ้าน วัด โรงเรียนเนี่ย ถ้าวัดได้ช่วยเหลือชุมชนบ้าง วัดได้ช่วยเหลือสังคม ก็โอเคแล้ว คือสมเด็จพระสังฆราชฯ ท่านบอกไว้ว่าวัดต้องช่วยเหลือชุมชน ชุมชนก็จะได้ช่วยเหลือวัด วัดกับชุมชนช่วยเหลือกันเกื้อกูล เกิดความรัก เกิดความสามัคคีนะพึ่งพาอาศัยกัน วัด บ้าน โรงเรียน ราชการช่วยกัน มันก็ทำให้เราอยู่กันมีความสุขและกัน"
เมตตาธรรมค้ำจุนโลก
นอกจากพระครูจันทสีลากรบอกว่า ณ ตอนนี้ทางศูนย์พัฒนาเด็กพิเศษวัดห้วยหมู กำลังดำเนินการสร้างโรงนอนให้กับเด็กๆ ที่ดูแลอุปการะ ซึ่งในปีสองปีนี้จะมีเด็กๆ ถึงอีก 60 คนกำลังจะจบชั้นป.6และเข้ามาอยู่ในการดูแลของทางศูนย์ จึงอยากขอพื้นที่ประกาศรับบริจาคหรือเชิญชวนกันมาอุดหนุนผลงานของน้องๆ เพื่อที่จะได้มีทุนนอกเหนือจากปัจจัยจากทางวัดที่หลวงพ่อพยายามเทศน์เพื่อให้มีปัจจัยและเงินทำบุญในวันสำคัญต่างๆ ของทางวัด
"ณ ตอนนี้โรงนอนก็สร้างได้ 50%แล้ว ญาติโยมที่มีจิตศรัทธาอยากทำบุญอยากช่วยเหลือก็สามารถติดต่อมาบริจาคหรือมาที่วัดเพื่อร่วมช่วยเหลือน้องๆ ได้ เพราะน้องๆ บางคนมาไกล มาจากต่างอำเภอ มาจากจังหวัดอื่น อย่างเชียงใหม่ก็มีมา หลวงพ่อก็อยากจะช่วยให้ผู้ปกครองของน้องๆ ซึ่งส่วนใหญ่มีฐานะไม่ดีนัก เขาจะได้ไม่ต้องมาเช่าบ้านแถวๆ นี้" เจ้าอาวาสวัดห้วยหมูระบุ
"พวกปูน พวกหินดินทราย ที่ทางวัดขาดเหลือในการสร้าง เพราะอย่างที่บอกเด็กๆ บางคนมาไกล เวลาเขาจะเดินทางเด็กพิการนั่งรถเครื่องก็ลำบาก หลวงพ่อก็เลยเริ่มสร้างห้องนอนให้เด็กๆ ก็ขออนุโมทนาบุญให้กับญาติโยมที่ช่วยเหลือกันมาตลอดและญาติโยมที่อยากจะช่วยเหลือสร้างและพัฒนาให้น้องๆ เติบโตและพัฒนาตัวเองให้มีชีวิตหลุดพ้นจากบ่วงทุกข์นี้ด้วยกัน" หลวงพ่อกล่าวทิ้งท้ายพร้อมกับเดินจากไปทำหน้าที่ดูแลน้องๆ ภายใต้ร่มเงากาสาวพัสตร์ทำให้เราได้เห็นเงาของหลวงพ่อที่ไม่เพียงเป็นพระผู้เป็นแสงสว่างให้แก่เด็กพิเศษเหล่านี้
แต่ยังเป็นครูราชการข้าของหลวงเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณในการดูแลให้เด็กเติบโตไปอย่างมีศักยภาพ เป็นพ่อซึ่งยอมทำทุกอย่างให้ลูกๆ มีชีวิตที่ดีไม่ยากลำบากและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข