คนท้อง พิการ ยากไร้ ทานฟรี! “ร้านส้มตำ ยำ 20 บาท” ขายได้วันละ 200 ครก
การแบ่งปันให้กับคนที่มีต้นทุนน้อยกว่าเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม เช่นเดียวกับเจ้าของร้านส้มตำ ยำ 20 บาท ที่เปิดร้านขายส้มตำ ยำ ในราคาถูกเพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่มีต้นทุนน้อยรวมถึงคนพิการ คนท้อง คนยากไร้ที่ทั้งขายและแจกในเวลาเดียวกัน เจ้าของร้านมองว่าการให้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากกว่าผลกำไร ทำให้ร้านส้มตำ ยำ 20 บาทเป็นที่รักแก่กลุ่มลูกค้าในละแวกนั้นเป็นอย่างดี พร้อมทั้งไม่ไปเบียดเบียนพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของเหมือนตนอีกด้วย
นายคำจันทร์ พรหมอารักษ์ เจ้าของร้าน papa’gump ส้มตำ ยำ 20 บาท คนท้อง คนพิการ ยากไร้ทานฟรี เล่าว่า เดิมทีตนมีอาชีพเป็นไกด์ทัวร์ต่างประเทศ เวลาไปทัวร์ต่างประเทศก็จะได้พบเจอกับคนหลากหลายรูปแบบซึ่งมีกลุ่มคนจำนวนมากที่ยากลำบากไม่ต่างจากประเทศไทย ตนจึงมีความคิดต้องการแบ่งปันให้คนอื่นและได้ริเริ่มทำโครงการนี้ขึ้นมา และเคยทำในลักษณะเดียวกันที่จังหวัดกาญจนบุรีประมาณ 1 ปีกว่า แต่ได้มีการแจกแค่น้ำดื่มเพียงอย่างเดียว หลังจากนั้นก็ได้กลับไปที่พัทยาและได้ดำเนินกิจการต่อโดยตนเองก็ได้ทำแบรนด์น้ำปลาร้าขึ้นมา และเป็นส่วนหนึ่งในการแบ่งปันคนอื่นด้วยการนำมาทำส้มตำ ยำ แจกและขาย ปัจจุบันกลับมาเปิดร้านที่พัทยาได้ประมาณ 3 เดือนกว่า
ทั้งนี้รูปแบบร้านจะมีรูปแบบคล้ายฟู้ดทรัคที่เคลื่อนย้ายสะดวกและมีทำเลที่ไม่ไปเบียดเบียนร้านอื่น เพื่อให้พื้นที่ในการทำมาหากินช่วยกัน ปัจจุบันเปิดขายอยู่ในซอยสยามคันทรี่ ซึ่งเป็นโซนที่ห่างไกลร้านค้าร้านอื่นๆ นอกจากนี้กลยุทธ์ ในการทำการตลาดนั้นเจ้าของร้านให้ข้อมูลว่า ไม่ได้ทำการตลาดจริงจังเพราะตั้งใจทำเพื่อแบ่งปันคนที่มีทุนทรัพย์น้อยหรือคนที่ไม่มี โดยลูกค้าส่วนใหญ่จะบอกต่อปากต่อปากเพื่อกระจายข้อมูลให้แก่กลุ่มลูกค้าคนอื่นๆ ให้รู้จักร้านมากยิ่งขึ้น ซึ่งเมนูอาหารของทางร้านจะมีราคาอยู่ที่เมนูละ 20 บาทเท่านั้น
นอกจากนี้กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนทั่วไปที่มีกำลังซื้อมากและกำลังซื้อน้อยปะปนกันไป ซึ่งคนที่มีกำลังซื้อมากเวลามาซื้อก็จะช่วยสมทบทุนส่งต่อให้แก่คนที่มีทุนทรัพย์น้อยในครั้งต่อไป กลายเป็นว่าเจ้าของร้านไม่ได้แบ่งปันเพียงคนเดียว แต่กลับมีกลุ่มลูกค้าที่พร้อมช่วยเหลือและแบ่งปันกลุ่มผู้มีกำลังซื้อน้อยเหล่านั้น เข้ามาให้การสนับสนุนอีกด้วย ซึ่งส้มตำของทางร้านจะมีทั้งหมด 12 เมนู และขนาดอาหารจะเท่ากับขนาดมาตรฐานที่มีขายตามร้านอาหารทั่วไป แต่ทางร้านขายในราคาเพียงครกละ 20 บาทเท่านั้น ซึ่งถามว่าในราคา 20 บาทนั้นได้กำไรมากน้อยเพียงใด เจ้าของร้านมองว่ากำไรมากน้อยไม่สำคัญ สำคัญที่เรามีจิตใจที่ต้องการส่งต่อและแบ่งปันความอร่อยให้แก่ลูกค้ามากกว่า ได้รับมากกว่าไม่ว่าจะเป็นความสุข รอยยิ้มจากผู้ให้และผู้รับ
สำหรับวัตถุดิบที่เลือกนำมาประกอบอาหารจะเป็นวัตถุดิบเกรด A เช่น มะละกอจะเป็นพันธุ์ดำเนิน ส่วนวัตถุดิบอื่นๆ ก็มีคุณภาพเช่นเดียวกัน ซื้อวันต่อวันไม่มีค้างเหลือ นอกจากนี้ถ้าหากลูกค้าที่เข้ามาซื้อส้มตำหรือยำแต่มีทุนไม่เพียงพอต่อการซื้อเพื่อดูแลคนในครอบครัวให้ทั่วถึง ทางร้านก็ยินดีแถมและแจกให้ไปด้วย เนื่องจากบางครั้งจะมีพันธมิตรในละแวกนั้นที่ชื่นชมและสนับสนุนการแบ่งปันของทางร้าน ก็จะมีการมอบวัตถุดิบต่างๆ มาให้ และตนก็นำมาทำและแจกให้แก่คนที่ผ่านเข้ามาในร้านหรือผ่านไปผ่านมาอีกด้วย
เนื่องจากเจ้าของร้านมีอาชีพเป็นไกด์ทัวร์ ประกอบกับสถานการณ์ในปัจจุบันที่กำลังประสบวิกฤตโควิด-19 อยู่ในขณะนี้ ทำให้ทัวร์ต่างประเทศต้องหยุดพักไปก่อน ทำได้แค่ทัวร์ในประเทศ ซึ่งใน 1 เดือนจะรับเพียง 1-2 ทัวร์ ทำให้บางครั้งต้องหยุดร้านไปบ้าง แต่ปกติแล้วจะไม่มีวันหยุดที่ตายตัว จะเปิดร้านยาวต่อเนื่อง แต่ในบางครั้งก็จะมีภรรยาทำคนเดียวเพราะตนต้องไปทำงานไกด์เพื่อไม่ให้หยุดร้านบ่อย นอกจากนี้ใน 1 วันจะมีลูกค้าประมาณ 100-150 คน ถ้าขายได้วันปกติก็จะประมาณ 100-150 ครก ส่วนวันเสาร์ อาทิตย์ก็จะประมาณ 200 ครก ซึ่งจะรวมกับที่แจกแบ่งปันด้วย โดยจะมีคนที่ทางร้านแบ่งปันเป็นประจำและผ่านไปผ่านมา เช่น คนเก็บขยะ ขาจร คนพิการ คนแก่ คนยากไร้ ทางร้านจะเรียกให้เข้าไปเอาอาหารและเครื่องดื่มที่ร้านโดยไม่ต้องจ่ายเงิน
นอกจากนี้การทำธุรกิจจำเป็นต้องคาดหวังกับผลกำไร แต่เจ้าของร้านนั้นไม่ได้คาดหวังให้ธุรกิจตนเองใหญ่โตหรือร่ำรวยมากมาย ซึ่งตนให้เหตุผลว่าในช่วงวันหยุดนั้นแทนที่จะปล่อยให้เวลาผ่านไป จะทำอย่างไรให้ชีวิตมีคุณค่าขึ้นมา ทำให้ทุกวันมีความสุข ซึ่งการแบ่งปันในสิ่งที่เรามีเพื่อส่งต่อให้กับคนอื่นนั้นตอบโจทย์ตนมากกว่าผลกำไร ทั้งนี้นอกจากจะแบ่งปันอาหารให้คนที่มีทุนน้อยแล้วนั้นยังแบ่งปันและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นสำหรับคนที่ท้อแท้ในชีวิต มีปัญหาในชีวิต ซึ่งจะมีคนเหล่านี้เข้าไปปรึกษากับตนที่ร้าน ซึ่งตนก็รับฟังและเป็นกำลังใจให้กับคนเหล่านั้น โดยการยกตัวอย่างเหตุการณ์ต่างๆ ที่เจอมากว่าครึ่งโลกให้กับคนเหล่านั้นได้ฟัง พอได้ฟังก็จะเกิดแรงบันดาลใจในการต่อสู้ชีวิต ทำให้ตนรู้สึกว่าการให้นั้นยิ่งใหญ่มาก
ทั้งนี้ทางร้านไม่มีนโยบายขายแบบเดลิเวอรี่ เพราะตนมองว่าการขายเดลิเวอรี่จะทำให้ราคาอาหารเพิ่มขึ้น ไม่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าของตน ในส่วนของการตั้งร้านเนื่องจากตนเองก็ประสบกับปัญหาการว่างงานมาประมาณ 7-8 เดือนเพราะวิกฤตโควิด-19 จึงหาพื้นที่ในการตั้งร้านหลายที่และมีค่าใช้จ่ายมากขึ้น ตนเองก็ไม่ไหวที่จะจ่ายในส่วนนั้น โชคดีมีที่ที่ว่างพอดี เป็นพื้นที่สำหรับทำโครงการบ้านจัดสรรแต่ยังว่างอยู่ ตนจึงเข้าไปคุยเจรจากับเจ้าของที่และอธิบายแนวคิดที่ต้องการแบ่งปันส้มตำและยำให้แก่กลุ่มคนที่มีทุนน้อย ขายในราคาถูก เจ้าของที่ก็ตกลงให้พื้นที่ขาย นอกจากนี้ส่วนมากลูกค้าจะเน้นซื้อกลับไปมากกว่านั่งที่ร้าน เนื่องจากในร้านมีโต๊ะสำรองไม่เพียงพอต่อการนั่งกิน และเพื่อเป็นการสนองต่อนโยบายเว้นระยะห่าง ก็จะมีไว้บริการลูกค้าอยู่เพียงประมาณ 1-2 ที่นั่งเท่านั้น
นอกจากนี้ในอนาคตได้มีการวางแผนต่อยอดธุรกิจให้ไปในทิศทางของการเพิ่มรถขายอีกประมาณ 2-3 คัน และเพิ่มเมนูอาหารเข้ามา เช่น ข้าวมันไก่ ก๋วยเตี๋ยว และคุมราคาที่ 20 บาทในปริมาณที่เป็นมาตรฐานเหมือนร้านอื่นทั่วไป ซึ่งจะได้เห็นประมาณหลังปีใหม่ และดูสถานการณ์โควิด-19 อีกด้วย ทั้งนี้อาจจะมีการเพิ่มลูกค้าให้มาช่วยในส่วนของการขยายร้านเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามลูกค้าที่เป็นกลุ่มคนพิการทางด้านต่างๆ จะแวะเวียนเข้ามาต่อเนื่อง ทางร้านก็ยินดีให้บริการเต็มที่ และร้านส้มตำ ยำ 20 ตั้งอยู่ในซอยสยามคันทรี่ พัทยา ร้านอยู่ลึกจากปากซอยประมาณ 5 กิโลเมตร