พ่อค้าหัวใจนักสู้! “น้องอิง” ก้าวข้ามความพิการ จากพ่อค้าวัยจิ๋ว สู่พ่อค้าออนไลน์ หัวใจแบ่งปัน
รายการ ฅนจริงใจไม่ท้อ วันเสาร์ที่ 30 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา พาคุณผู้ชมไปรู้จัก “น้องอิง” หนุ่มน้อยวัย 19 ที่เกิดมาพร้อมความพิการทางร่างกาย แต่ไม่เป็นอุปสรรคต่อความคิด ความฝัน และความพยายาม จากพ่อค้าวัยจิ๋ว สู่พ่อค้าออนไลน์ ผู้มีหัวใจแบ่งปันเพื่อสังคม
นันทชัย ฟักทอง หรือน้องอิง หนุ่มวัย 19 คนนี้ ไม่เพียงเติบโตมาพร้อมกับความไม่สมบูรณ์ของร่างกายที่กระดูกผิดรูปตั้งแต่เกิด แต่ยังถูกโรคมะเร็งคุกคามตั้งแต่วัยเด็ก จนต้องรักษาตัวอยู่นานหลายปี
“อันนี้เรียกว่าโรคกระดูก เป็นโรคที่ผิดปกติจากพันธุกรรม จะมีอาการบิดเบี้ยวไปเรื่อยๆ”
“ใช้ชีวิตเหมือนปกติ ทั้งก่อนวัยเรียนก็ปกติเลย ไปเรียนตามวัย มีผ่าตัดบ้าง มีปัญหาทั้งกระดูกและมะเร็งตั้งแต่เด็ก ผ่าตัดมะเร็งตั้งแต่ 9 เดือน คีโม 3 เดือน และค่อยๆ ห่างเป็น 6 เดือน รักษาจริงคือ 12 ปี นอกนั้นอีก 3 ปี ดูอาการอย่างเดียว”
“ส่วนกระดูก ผ่าตัดตั้งแต่ 3-4 ขวบได้ และผ่ามาตลอด เหมือนกระดูกเริ่มคด เริ่มงอ กระดูกเขาผิดปกติ ทุกครั้งที่งอหรือเหล็กโผล่ เราต้องไปเปลี่ยนอยู่เรื่อยๆ ผ่าตัดตามอาการเลย หมอก็แนะนำว่า พ่อแม่ต้องทำใจ รักษาตามอาการ ต้องทำไปเรื่อยๆ”
“คุณหมอบอกว่า มันอาจจะมีการบิดเบี้ยวของกระดูกไปเรื่อยๆ อาจต้องมีการฝืนตัวเอง ดัดตัวเองอยู่บ่อยๆ ทำกายภาพตัวเองอยู่บ่อยๆ เพื่อร่างกายจะได้ ใช้กล้ามเนื้อได้ แต่ก่อนเราไม่มีกล้ามเนื้อเลย เราต้องคอยออกกำลังกายสม่ำเสมอ เราต้องคอยปฏิบัติ ดูแลมันดีๆ เพราะกระดูกจะหักง่ายหน่อย กระดูกสันหลังก็ไม่ตรง ตอนนี้เป็นตัวเอสแล้ว ขาตอนนี้ตัดแต่งเรียบร้อยแล้ว จึงสามารถเดินได้ ตอนนี้ขาตรงเหมือนคนปกติแล้ว แต่ก่อนเป็นเหมือนวงเล็บที่ไขว้เข้าหากัน ผ่านการรักษามานับครั้งไม่ถ้วน ตอนนี้ปอดฝ่อไปแล้วข้างหนึ่ง และหัวใจมีอาการพองโต”
“ช่วงที่คีโมแรกๆ เขาจะอ้วกทั้งคืน เพลีย ร้อง ทานอะไรไม่ได้ ก็ผ่านจุดนั้นมาได้ เราก็สู้เหมือนเขา”
แม้ร่างกายจะไม่สมบูรณ์เหมือนเด็กคนอื่น แต่น้องอิงไม่รู้สึกเป็นปมด้อยหรือมองตัวเองในแง่ลบ เพราะมีพ่อแม่คอยให้กำลังใจ และด้วยฐานะที่ไม่สู้ดีนัก น้องอิงจึงได้ฝึกค้าขายตั้งแต่เด็ก
“ตอนเด็กๆ ประถม เราแค่อยากได้ชุดสีมาระบายไปแข่งประกวด เพราะเราสายประกวด ช่วงนั้นเราไม่ค่อยมีเงิน คุณแม่เลยบอกว่า ลองหาเงินด้วยตัวเองดูไหม เผื่อจะได้เก็บตังค์ซื้อของที่ตัวเองอยากได้ ได้ เราก็ มันน่าสนุกดีนะ เลยขายของจาก ของทั่วไป เราเอาของไปขายในโรงเรียน เอาลูกผม วิตามินซีไปขายที่โรงเรียน ซองละ 5 บาท ตอนนั้นน่าจะ ป. 2 ป.3 สรุป เราได้เงิน สนุกด้วย ได้ขายของ แล้วเราก็พัฒนามาเรื่อยๆ จนกระทั่งโซเชียลเริ่มเข้ามา เราเริ่มรู้จักเฟซบุ๊ก เริ่มมีการขายออนไลน์แรกๆ รู้สึกว่า ตรงนี้เอามาประยุกต์ได้ ตอนแรกพ่อแม่ปิดกั้น แต่พอเขาเห็นเราพยายามแอบขายมาตั้งนาน เขาเลย ถ้าขายได้ อยากจะทำ อย่างนั้นทำ เขาก็เริ่มเข้าใจ เราก็เริ่มพัฒนามาเลย สิ่งที่เราขาย มีสินค้าไอที พัฒนามาเป็นบิวตี้เครื่องสำอาง และจุดที่ทำให้เป็นร้านฟักทองก็คือน้ำพริกกากหมู เป็นสูตรพิเศษของบ้านเราเองเลย”
ปัจจุบันน้องอิง นอกจากมีรายได้จากการขายของออนไลน์ผ่านเพจเฟซบุ๊ก “ร้านฟักทองShop” แล้ว น้องยังกำลังศึกษาด้านคอมพิวเตอร์ฯ เพื่อต่อยอดงานด้านออนไลน์ด้วย
“เรียนเหมือนเด็กปกติทั่วไป ตอนนี้เรียนอยู่วิทยาลัยเทคโนโลยีเกษมสันต์บริหารธุรกิจ ระดับ ปวช.ปี 3 คณะคอมพิวเตอร์ธุรกิจ (ถาม-ทำไมถึงอยากเรียนคอมพิวเตอร์ธุรกิจ?) เพราะเราอยากมีพื้นฐานในส่วนที่เราไม่มี เพราะตั้งแต่เราเด็กจนโต เราไม่ค่อยได้จับคอมพิวเตอร์ เราเลยอยากมีความสามารถด้านนี้ เพราะในยุคปัจจุบัน เรื่องสื่อออนไลน์ เรื่องคอมพิวเตอร์ เปิดกว้าง สามารถทำใช้งานได้จริงหลายเรื่อง ประกอบกับเราขายของออนไลน์ ที่จริงเราจะไปเรียนการตลาดก็ได้ แต่เรารู้สึกว่า ถ้าเรามีตรงนี้มาเสริม อาชีพของเราจะก้าวหน้าได้ดียิ่งขึ้น พัฒนาต่อได้อีกเยอะเลย”
“มีปัญหาอะไร เรายังสามารถช่วยครอบครัวได้ ในบางเดือนค่าน้ำค่าไฟ ไม่ต้องก็ได้ เดี๋ยวเราจ่ายให้ หรืออาจจะมีค่านั่นนี่ที่คุณพ่อแม่จ่ายแล้วขาด เราสามารถเอาตรงนี้ไปเติมเต็มได้ รู้สึกภูมิใจ ไม่เคยคิดว่า เราจะเดินมาถึงตรงนี้”
“ผมดีใจและภูมิใจในตัวน้องเขา ที่เขาทำได้ มันหายท้อเลย มันเกิน 100% ที่ผม โอเคถ้าผ่านจุดนี้ได้ ผมว่าน้องดูแลตัวเองได้”สัญชัย ฟักทอง คุณพ่อน้องอิง
“ก็ภูมิใจ อย่างน้อยเขาก็มีความคิดที่จะดูแลตัวเอง รักตัวเองมากขึ้น และมีความอดทนมากขึ้น วันหนึ่งถ้าเราไม่อยู่ เขาก็อยู่ด้วยตัวเองได้”ญาดานันท์ ฟักทอง คุณแม่น้องอิง
จากพ่อค้าวัยจิ๋วที่หาเงินได้ตั้งแต่วัยแค่ 10 ขวบ สู่หนุ่มน้อยไลฟ์สดขายของออนไลน์รายได้หลักหมื่นต่อเดือน ไม่เพียงสะท้อนว่า ความพิการไม่สามารถขัดขวางเป้าหมายและความพยายามของน้องอิงได้ แต่เขายังมีหัวใจที่น่าชื่นชม เพราะรายได้ที่เข้ามา เขาจะแบ่งส่วนหนึ่งเพื่อช่วยเหลือผู้ทุกข์ร้อนในสังคมเสมอ
“เงินที่หาได้จะแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ส่วนแรกใช้ส่วนตัว ส่วนที่สองใช้ในครอบครัว ส่วนที่สามเงินลงทุน ส่วนที่สี่ไว้ช่วยเหลือคนอื่น เวลาเรามีโอกาสในทุกๆ เดือนหรือทุกสัปดาห์ หรือทุกครั้งที่มีโอกาส เราจะเอาเงินส่วนนี้ไปช่วย ไปบริจาค หรือไปช่วยผู้ที่ประสบปัญหาโน่นนี่นั่น”
“ความฝัน คือสิ่งที่จะผลักดันเรา เรารู้สึกว่า เมื่อเราคิดอยากจะเป็น มีความฝันที่เราอยากจะไป แล้วเราสามารถไปได้ด้วยแรงที่เราพอมี มันเป็นอะไรที่ ถ้าเราทำได้สำเร็จทีละขั้นๆ มันจะเป็นความสุขที่ค่อยๆ ทยอยๆ เข้ามา”
“คนเราแน่นอนว่า ต้องมีท้อแท้ ต้องมีผิดหวัง หมดหวัง หมดไฟ แต่ถ้าเทียบกัน เราคิดว่า เราเดินทางผ่านมาได้ขนาดนี้ เรามีโอกาสได้เกิดมาแล้ว เรามีโอกาสได้ทำอะไรก็ได้ที่เราทำแล้วมันมีความสุข เราจะทิ้งมันไปโดยที่เราจะไม่ทำอะไรเลย รู้สึกเสียดาย ทำให้มันดีที่สุดในแต่ละวัน ทำให้มันมีความสุขที่สุด มันก็เพียงพอแล้ว”