"ทรอย คอตเซอร์" มีวันนี้ได้เพราะพ่อพิการและ "ทอม แอนด์ เจอร์รี"

"ทรอย คอตเซอร์" มีวันนี้ได้เพราะพ่อพิการและ "ทอม แอนด์ เจอร์รี"

“ผมคงจะทำงานในร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด หรือไปเป็นพนักงานเอาของใส่ถุงในร้านสะดวกซื้อ”...ส่วนหนึ่งในการให้สัมภาษณ์ของ "ทรอย คอตเซอร์" วัย 53 ปี หลังคว้ารางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากเวทีออสการ์มาครองกับการรับบท "แฟรงค์ รอซซี" คุณพ่อชาวประมงที่ใจดีและเข้มแข็งจากหนังเรื่อง CODA

ไม่เพียงแต่เรื่องราวในภาพยนตร์เท่านั้นที่เข้มข้น หากแต่เรื่องราวในชีวิตจริงของเขาก็น่าสนใจไม่น้อย กับการที่ต้องเกิดมาเป็นคนหูหนวกในครอบครัวที่พ่อพิการเป็นอัมพาต มีพี่ชายที่เขานิยามด้วยคำว่า "สารเลว" และมีแรงบันดาลใจในการเป็นนักแสดงจากการ์ตูน "Tom and Jerry”

พ่อคือ "ฮีโร่"

"ทรอย คอตเซอร์" จากรัฐแอริโซนา เป็นลูกชายขอหัวหน้าตำรวจที่ต้องกลายมาเป็นอัมพาตตั้งแต่คอลงมาหลังจากถูกคนเมาแล้วขับชนเข้าอย่างจัง

เขาเล่าว่าตอนที่ครอบครัวพบว่าเขาเป็นคนหูหนวกในตอนนั้นแม่ถึงขั้นช็อคมากๆ...“ตอนนั้นผมอายุประมาณ 10 เดือน แม่ผมทำความสะอาดบ้านอยู่ แม่ทำหม้อกับกระทะตก ส่งเสียงดังลั่น ผมนั่งอยู่ที่พื้น แต่ผมกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ผมยังคงนั่งเล่นต่อไป แม่ผมจึงพบว่ามันไม่ปกติ"

"เธอเลยทำเสียงดังขึ้น เธอเดินมาด้านหลังผมแล้วเคาะหม้อกระทะพวกนี้ใส่กันเสียงดังลั่นและสังเกตได้ว่าผมไม่ได้หันไปมองแม่เลย แต่ผมยังนั่งเล่นนั่งหัวเราะต่อไป พ่อแม่เลยพาผมไปหาหมอ แล้วก็พบว่าผมพิการทางการได้ยิน ทั้งบ้านตกใจกันมาก ‘เราจะรับมือกับเด็กหูหนวกยังไง?’ พวกเขากลัวมาก มันน่าจะเกิดขึ้นช่วงปี 60 พวกเขาไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับเด็กหูหนวก ครอบครัวผมต้องเรียนรู้หนักมาก"

"พ่อผมบอกว่า ‘ทรอย ภาษามือเป็นภาษาที่สวยงามจริงๆ มันคือของขวัญที่ทั้งโลกควรจะได้เห็น’ มันเป็นสิ่งที่ติดอยู่ในใจและงดงามมากๆเลยกับสิ่งที่พ่อพูด วันนี้ ผมรู้สึกโชคดีที่ผมได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่ได้ยินเสียง เพราะว่ามันสอนให้ผมรู้ว่าควรจะมีปฏิสัมพันธ์ยังไงกับโลกที่ได้ยินเสียง และผมก็ได้สอนให้พวกเขารู้ว่าวัฒนธรรมของคนหูหนวกเป็นยังไง เราสามารถที่จะแลกเปลี่ยนและมีสองภาษานี้ได้”

เมื่อพูดถึงครอบครัว ทรอย คอตเซอร์ มองว่า “แม่” คือผู้หญิงที่มีจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ แต่เมื่อพูดถึงพี่ชายอีก 2 คนเขาขอพูดแบบติดตลกว่า “สารเลว” ขณะที่พ่อพิการของเขานั้นคือฮีโร่

“ผมหูหนวก..มันเรื่องใหญ่นะ แต่ผมจะทำไงได้? ผมยังไปเล่นกอล์ฟได้ ไปตกปลา ไปตั้งแคมป์ มีเซ็กซ์ แต่พ่อผมท่านทำอะไรไม่ได้เลย เขาไม่สามารถแม้แต่จะดูแลตัวเองได้ พ่อสอนให้ผมรู้จักการเสียสละและกล้าหาญ”

“พ่อคือฮีโร่ของผม เขาเรียนภาษามือขณะที่ผมกำลังโต เขาพาผมไปเล่นกอล์ฟ ไปเล่นสกี พาผมไปตั้งแคมป์แล้วก็อะไรอีกมากมาย แต่แล้วเขาก็เจออุบัติเหตุ ตอนนั้นผมอายุ 17 เพียงไม่กี่เดือนก่อนที่ผมจะจบมัธยมปลาย ตอนนั้นมันเป็นเรื่องของคนเมาแล้วขับ รถพ่อผมคว่ำไปหลายตลบ แล้วร่างของพ่อก็กระเด็นทะลุกระจกออกมา"

"พ่อเป็นหัวหน้าตำรวจ และตอนที่ตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุ ก็ได้พาพ่อไปที่รพ. ตอนนั้นพ่อเกือบไม่รอด แต่จิตใจของพ่อแข็งแกร่งมาก พ่อมีอารมณ์ขัน วิธีการพูดที่เหมือนกัน แต่อุปสรรค์คือเขาไม่สามารถส่งสัญญาณมือได้อีกต่อไป ผมต้องมาเห็นพ่อนั่งรถเข็นอย่างกะทันหัน เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นครั้งใหญ่ในครอบครัว"

"ผมต้องขอให้แม่และพี่ๆช่วยแปลให้ผม บางครั้งพ่อพยายามจะใช้ดินสอเขียนหรือพิมพ์คอมพิวเตอร์ ผมต้องรอหลายนาทีแล้วดูว่าพ่อผมจะพูดอะไร มันเป็นความท้าทายเมื่อต้องสื่อสารกับเขา แต่เขาก็อดทนมากๆ”

การ์ตูนคือแรงบันดาลใจ

เมื่อให้เขาเล่าถึงการตัดสินใจเป็นนักแสดง "ทรอย"เผยว่าเขาขอยกให้การ์ตูนดัง “Tom and Jerry” คือ แรงบันดาลใจ...“ตอนผมเด็กๆ ผมชอบดูการ์ตูน หลักๆคือ Tom and Jerry เพราะว่ามันไม่มีบทพูด มันเป็นแค่แมวกับหนูวิ่งไล่กัน วันต่อมา ผมขึ้นรถโรงเรียน มันใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งเพื่อไปถึงโรงเรียนสอนคนหูหนวก"

"เด็กหูหนวกทุกคนอยู่ด้วยกันบนรถบัส ผมจะคอยเล่าให้พวกเขาฟังเกี่ยวกับการ์ตูนที่เพิ่งฉายไปวันก่อน คือเด็กบางคนตอนนั้นก็ไม่มีทีวี ผมจะแชร์เรื่อง Tom and Jerry ให้พวกเขาได้รู้ และผมไม่เคยลืมเลยกับภาพที่พวกเขาทำตาโต หรือแสดงปฏิกิริยาต่างๆ พร้อมกับหัวเราะ"

"มันทำให้ผมรู้สึกดี มันเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกคลิก ผมต้องการจะเก็บความรู้สึกนั้นไว้ มันคือสิ่งที่นำพาให้ผมไปเป็นนักแสดงละครเวที ทีวี และ ภาพยนตร์ ผมรู้สึกดีเสมอเมื่อได้เห็นผู้ชมมีปฏิกิริยาต่างๆ กับสิ่งที่ผมแสดง มันค่อนข้างส่งผลกับผม ผมไม่แคร์อะไรทั้งนั้น ผมแค่อยากทำให้ผู้ชมมีความสุข”

เมื่อถูกถามว่า CODA มีความหมายต่อเขาอย่างไร ทรอย คอตเซอร์ มองว่าเป็นความภูมิใจอย่างหนึ่ง...“มันวิเศษมากนะครับที่ผมมาถึงจุดนี้ ภาพยนตร์ของเรา โดนใจและประทับใจคนมากมาย ผมภูมิใจกับมันมาก มันเป็นประสบการณ์ที่หลือล้นสำหรับผม”

เขายังนึกย้อนไปถึงวันแรกที่ได้เข้าฉากในกอง CODA ได้เป็นอย่างดี เมื่อทุกคนในกองดูจะกังวลเมื่อต้องร่วมงานกับคนหูหนวก...“วันแรกในการถ่ายทำ ผมจำได้ว่าเห็นทีมงานค่อนข้างจะกังวลมากๆ เพราะเขาไม่รู้ว่าจะทำงานและสื่อสารกับนักแสดงหูหนวกยังไง ผมจำความเครียดนั้นได้ และมันก็ค่อนข้างกระอักกระอ่วน"

"เราออกไปล่องเรือ อยู่ในทะเลเปิดกว้างใหญ่ พวกเขาคิดว่าควรจะต้องใช้ตัวแสดงแทนเพราะว่ามันค่อนข้างจะอันตรายที่ต้องใช้นักแสดงหูหนวกไปนั่งอยู่บนเรือตกปลา แต่จากนั้นพวกเขาก็พบว่าทุกอย่างมันรวดเร็วมาก เราทุกคนทำงานง่าย เราไม่ต้องใช้ตัวแสดงแทนเลย”

ก่อนหน้านี้ภาพยนตร์เรื่อง CODA เข้าฉายมาตั้งแต่ต้นปี 2021 แต่ไม่เป็นที่พูดถึง ก่อนจะค่อยๆเป็นกระแสจากปากต่อปาก จนทำให้ Apple สามารถทำเงินไปได้ถึง 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นับเป็นยอดขายสูงสุดในประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตาม คอตเซอร์ ยังไม่ได้รับเงินส่วนแบ่งหลังเข้าฉายใดๆ แต่เขาก็ยังแอบหวังแบบติดตลกว่าจะได้เห็นเงินดังกล่าวเข้ากระเป๋าเช่นกัน “ผมยังรอเช็ค ( เงินสด ) อยู่นะครับ”

“ผมหวังว่าผมจะได้ซื้อรถใหม่หรืออะไรพวกนั้นนะครับ ผมดีใจมากที่พวกเขายอมจ่ายเงินเพื่อหนังของเรา มันหมายความว่าพวกเขามองเห็นคุณค่าในงานของเรา เรื่องราวต่างๆ และข้อความด้านบวกเกี่ยวกับความรักและการหวงแหนครอบครัวที่เราอาจจะขาดหายไป ผมรู้ได้ว่าทำไมพวกเขาถึงยอมจ่าย เพราะพวกเขารู้ว่าหนังของเราคุ้มค่า และดูสิว่าวันนี้เราเดินมาถึงจุดไหน ผมภูมิใจมากๆ”

อนาคต?

การคว้ารางวัลออสการ์ทำให้ "ทรอย คอตเซอร์" กลายเป็นนักแสดงผู้มีความพิการทางการได้ยินมาแต่กำเนิดคนที่ 2 ที่ได้รับรางวัลนี้หลังจากที่ "มาร์ลี แมทลิน" นักแสดงหญิงผู้มีความพิการทางการได้ยินที่แสดงคู่กับ ทรอย คอตเซอร์ คือนักแสดงหูหนวกคนแรกที่ได้รับรางวัลออสการ์จาก Children of a Lesser God ในปี 1987

โดยก่อนจะคว้าออสการ์เจ้าตัวคว้ารางวัลมาหมดแล้ว ทั้ง เวที BAFTA, Critics Choice Awards และ SAG Awards ซึ่งหลังจากการคว้ารางวัลสูงสุดด้านการแสดงแล้ว "ทรอย" คิดว่าชีวิตของเขาอาจจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะแม้จะอยู่ในวงการบันเทิงมานานแต่ก็ไม่เป็นที่รู้จักเลยในโลกฮอลลีวูด

“ผมเหนื่อยกับปัญหาด้านการเงินมานานหลายปี ตอนนี้ผมได้รับรางวัลพวกนี้ มันช่วยชีวิตผม, อาชีพของผม และ ครอบครัวของผมเอาไว้ ผมยอมเสี่ยงในทุกรูปแบบ และถ้าไม่มีการเสนอเข้าชิงเหล่านี้ และรางวัลตัวนี้ ผมไม่รู้เลยจริงๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

ในขณะที่ตัวเขามองว่ารางวัลนี้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไปตลอดกาล แต่หลายคนก็มองว่า ชีวิตของเขาอาจจะไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเท่านั้น โดยตั้งคำถามว่า “ฮอลลีวูดจะจ้างงานนักแสดงหูหนวกเพื่อบอกเล่าเรื่องราวของพวกเขาเหรอ หรือทั้งหมดนี้เป็นไปเพื่ออะไรกัน?”

“ฉันก็กลัวอยู่เหมือนกันค่ะ นั่นคือเหตุผมที่ฉันสร้างสิ่งนี้ให้เขาเพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะยังคงมีงานต่อไปและมีตัวละครอื่นๆ ให้เล่น มันไม่อะไรมากหรอกเรื่องเซ็นสัญญากับค่ายไหน แต่สิ่งที่ต้องการคือคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ คนรันงาน นักเขียน ผู้กำกับ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเขาและสร้างสรรค์ผลงานให้เขา” เซียน เฮเดอร์ ผู้กำกับของเรื่อง CODA แสดงความเห็น

ด้านเพื่อนนักแสดงผู้พิการอย่าง "มาร์ลี แมทลิน" ก็ได้กล่าวเสริมว่า “มันขึ้นอยู่กับ ทรอย ว่าเขาจะออกไปแล้วมองหาว่าใครเหมาะสมกับเขา เขาต้องคอยเปิดตาดูตลอดเพื่อค้นหาและแสวงหาที่ที่ใช่สำหรับเขา และดูว่าใครสนใจเขาจริงๆ”

อย่างไรก็ตาม เมื่อนำเอาความกังวลดังกล่าวไปถามทรอยว่าเขากังวลกับสิ่งเหล่านี้ไหม เจ้าตัวกลับไม่รู้สึกแต่อย่างใด...“ไม่ครับ ผมไม่กลัวหรือเสียใจอะไร ผมว่าคนในฮอลลีวูดกลัวมากกว่า ผมอดทนกับฮอลลีวูดมามาก เราต้องผลักดันขอบเขตเกี่ยวกับเนื้อหากันต่อไป"

"ผมจำได้ว่า เซียน กลัวตั้งแต่วันแรกที่ถ่ายทำ ได้แค่หวังว่าเราจะประสบความสำเร็จบ้าง ตอนที่เราทำงานกัน ผมบอกเธอว่าหนังเรื่องนี้จะประสบความสำเร็จ แล้วดูสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมได้เจอกับเซียน (หลังจากที่ได้รางวัล) เราต่างมีรางวัลออสการ์อยู่ในมือ ผมบอกกับเธอว่า ‘เซียน คุณทำดีมาก คุณเป็นผู้กำกับยอดเยี่ยมมาก คุณรู้วิธีที่จะเข้าถึงคน’ ผมแค่รอบทใหม่ในหนังของเธอครับ”

เมื่อถามว่าเขาได้รับข้อเสนออะไรบ้างในการแสดงครั้งต่อไปในฮอลลีวูดเขาได้แต่บอกว่ายังมีเรื่องราวที่น่าสนใจอีกมากเกี่ยวกับคนหูหนวกที่เขาอยากจะนำออกมาและบอกเล่าให้โลกได้รู้

“มีหนังประเภทแอ็กชัน-ผจญภัยหลายเรื่อง แล้วก็มีบุคคลในประวัติศาสตร์อีกหลายคน เรามีประวัติศาสตร์อันยาวนานในชุมชนคนหูหนวก เรามีทั้งเรื่องโศกนาฏกรรม ความสำเร็จต่างๆ เพียงแต่ไม่มีใครรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย พวกเขาถูกละเลยมานานแล้ว ผมต้องการนำขุมทรัพย์เรื่องราวเหล่านี้ออกมาเพื่อบอกเล่าให้ได้รู้ครับ”

ขอบคุณ... https://mgronline.com/entertainment/detail/9650000033228

ที่มา: mgronline.com/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 7 เม.ย.65
วันที่โพสต์: 7/04/2565 เวลา 11:13:19 ดูภาพสไลด์โชว์ "ทรอย คอตเซอร์" มีวันนี้ได้เพราะพ่อพิการและ "ทอม แอนด์ เจอร์รี"