สาวตาพิการกับสามีกลับถึงบ้านที่หนองบัวลำภูแล้ว หลังเดินเท้าจากลพบุรีถึงเพชรบูรณ์
สาวตาพิการกับสามีกลับถึงบ้านที่หนองบัวลำภูแล้ว หลังเดินเท้าจากลพบุรีถึงเพชรบูรณ์
เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2565 ผู้สื่อได้ติดตามข่าว ของสองชีวิต สามีพาภรรยาตาบอดเดินเท้าเกือบ 300 กิโลเมตร เพื่อกลับบ้านเกิด อำเภอนาวัง จังหวัดหนองบัวลำภู ร้องเพลงหาเงินเป็นอาชีพ อยากกลับบ้านแต่ไม่มีเงินค่ารถ หลังทราบข่าวรันทดใจ นายอำเภอหล่มสักสั่งให้ปลัดฝ่ายความมั่นคงนำส่งให้ถึงบ้านเกิด
ต่อมาทราบว่า ครอบครัว 2 สามีภรรยามาถึงอำเภอนาวังแล้ว ขณะนี้ได้หยุดพักรอคณะเจ้าหน้าที่จากสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ อยู่ที่ปั๊มน้ำมัน ปตท.อำเภอนาวัง และได้พบสองสามีภรรยานั่งอยู่ที่เก้าอี้หน้าร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมัน โดยทราบภายหลังว่ามีปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคงของอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ นำสองสามีภรรยามาส่ง และประสานกับเจ้าหน้าที่จากสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดหนองบัวลำภู เพื่อจะไปส่งสองสามีภรรยาถึงบ้านพักที่บ้านนาดินดำ หมู่ 10 ตำบลนาแก อำเภอนาวัง จังหวัดหนองบัวลำภู เมื่อคณะเจ้าหน้าที่ของ พม.มาถึง และเข้าไปทักทายนางเกศรินทร์ หรือเหมียว เหมียว สระแก้ว หญิงพิการตาบอดทั้งสองข้างที่ปรากฏเป็นข่าวก็โผเข้ากอดนางสาวรุ่งนภา สุนนท์ชัย นักพัฒนาสังคม สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดหนองบัวลำภู (พมจ.) ด้วยความดีใจเพราะจำเสียงได้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ที่เคยดูแลผู้พิการรายนี้อยู่ จากนั้นจึงเดินทางไปส่งครอบครัวนี้ที่บ้านพักที่ห่างออกไปประมาณ 10 กม. โดยนางเกศรินทร์ หรือเหมียว เหมียว สระแก้วขอนั่งรถของสำนักงาน พมจ.แทน ปล่อยให้นายอุทิศ สระแก้ว สามี นั่งรถคันเดิมของที่ทำการปกครองอำเภอหล่มสักที่มาส่ง โดยนางเกศรินทร์ หรือเหมียว เหมียว สระแก้วได้พูดคุยกับนักสังคมสงเคราะทั้งสองในรถอย่างสนุกสนานพร้อมพูดว่าดีใจที่ได้พบและบ่นคิดถึงอยู่ตลอดเวลา พร้อมเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้นักสังคมสงเคราะทั้งสองฟังโดยตลอด
เมื่อถึงบ้านพักที่บ้านเลขที่ 155/2 หมู่ 10 ตำบลนาแก ซึ่งเป็นบ้านนายกลม สระแก้ว บิดาของนายอุทิศ สระแก้ว ที่ทั้งสองปลูกกระต๊อบน้อยอาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกัน ได้มีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และรองนายก อบต.นาแก และเจ้าหน้าที่ มารอรับอยู่หน้าบ้าน ภายหลังขนของที่ได้รับบริจาคจากเหล่ากาชาติจังหวัดเพชรบูรณ์และสิ่งของที่ผู้ใจบุญที่เพชรบูรณ์บริจาคมาให้แล้ว จึงมอบตัวสองสามีภรรยาให้ฝ่ายท้องถิ่นรับไปดูแลต่อ
นายชวาล ยมจันทร์ ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า ตนได้รับรายงานจากประชาชนที่ไปออกกำลังกายที่สวนสาธารณะหนองแค ในเขต อำเภอหล่มสักว่า พบเห็นสองสามีภรรยาที่ภรรยาเป็นผู้พิการด้วย พักอาศัยอยู่ที่สวนสาธารณะจึงเข้าไปตรวจสอบพบว่าเป็นชาวหนองบัวลำภู ไปหาเพื่อนที่อำเภอลำนารายณ์ จังหวัดลพบุรี เพื่อของานทำแต่ไม่พบเพื่อน จึงตระเวนร้องเพลงแลกเงินเดินทางกลับบ้านที่จังหวัดหนองบัวลำภูด้วยการเดินเท้ามากว่า 5 วันแล้ว และมาพักนอนในสวนสาธารณะ สอบถามแล้วมีเงินติดตัวเป็นเงินเหรียญที่ได้รับบริจาคติดตัวมาประมาณ 70 บาท ในขณะที่เข้าไปตรวจสอบ มีสื่อมวลชลทราบข่าวเข้าไปพบจึงได้มีการนำเสนอข่าวไปพร้อมกับขอหมายเลขบัญชีเพื่อขอรับบริจาคจากผู้ใจบุญ จนภายหลังมีส่วนราชการเข้าไปบริจาคสิ่งของและเงินให้บางส่วนแล้ว
ต่อมา นายชาครินทร์ อินอิ่มวรปราชญ์ นายอำเภอหล่มสัก ได้สั่งการให้ตนนำตัวสองสามีภรรยาไปส่งให้ถึงบ้านโดยใช้รถยนต์สี่ประตูของที่ทำการปกครองอำเภอหล่มสัก ตนจึงได้นำสองสามีภรรยามาส่งก่อนจะฝากฝังให้ทางท้องถิ่นทั้งกำนันผู้ใหญ่บ้านและ อบต.ดูแล พร้อมแจ้งให้ทราบว่าตนได้นำสมุดบัญชีที่ผู้สื่อข่าวไปรายงานข่าวขอรับบริจาค ปรากฏว่ามียอดเงินบริจาคมาแล้วจำนวนหนึ่ง โดยที่เจ้าตัวคือสองสามีภรรยายังไม่ทราบว่ามีผู้ใจบุญบริจาคช่วยเหลือมาแล้ว จึงขอให้ทางเจ้าหน้าที่พานางเกศรินทร์ หรือเหมียว เหมียว สระแก้ว เจ้าของบัญชีไปทำสมุดบัญชีใหม่เนื่องจาก สมุดบัญชีเดิมหมดหน้าบัญชีแล้วต้องไปเปลี่ยนเล่มแล้วเช็กยอดใหม่
ส่วน นายอุทิศ และนางเกศรินทร์ หรือเหมียว เหมียว สระแก้วได้เล่าว่า เมื่อประมาณ 20 วันที่แล้วได้เดินทางออกจากบ้านพร้อมสามีโดยใช้รถจักรยานปั่นไปแวะจอดร้องเพลงแลกเงินตามหมู่บ้านต่างๆ รายทางไปจนถึงจังหวัดอุดรธานีรถจักรยานชำรุดมีผู้ใจบุญพบเห็นจึงพาไปส่งขึ้นรถไฟเดินทางไปอำเภอลำนารายณ์จังหวัดลพบุรีตามความประสงค์ของตนที่จะเดินทางไปทำงานกับเพื่อนที่ลำนารายณ์ ปรากฏว่าเพื่อนไม่อยู่โทรศัพท์ที่จะใช้ติดต่อเพื่อนก็พังติดต่อไม่ได้ จึงร้องเพลงขอเงินเดินทางกลับบ้านด้วยการเดินเท้ามาจนมาถึงหล่มสัก รวมระยะทางกว่า 300 กม. สำหรับกรณีที่ถูกคนรู้จักของสามีหลอกว่าจะพาไปทำงานด้วยแล้วแลกกับการหลับนอนแต่ตนไม่ยินยอมจึงถูกชายคนนั้นยึดเครื่องเสียงพกพาที่ใช้ประกอบการแสดงร้องเพลงนั้น เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว สามีได้ไปแจ้งความไว้ที่ป้อมยามสามแยกราหุน อ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์ แต่เรื่องเงียบตนก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร วันนี้ตนได้เล่าให้ผู้สื่อข่าวและเจ้าหน้าที่ฟังอีกครั้งขณะเดินทางกลับตนทราบว่าตำรวจได้ไปตรวจยึดเครื่องมือหากินของตนมาจากบุคคลที่สามีตนไปแจ้งความไว้ได้แล้วแต่ตน ได้เดินทางมาจนถึงบ้านแล้ว
นอกจากนั้น ทางด้านปลัดฝ่ายความมั่นคงยังกล่าวถึงเรื่องที่คนที่นำเครื่องเสียงพกพาของคู่ไปนั้น อีกฝ่ายก็บอกว่าเป็นการนำของมาฝากเพื่อนำเงินไปต่อยอด เขาก็ยังไม่ยอมรับว่าเขาลักทรัพย์ เขาโจรกรรม ที่นี้ ทาง สภ.บึงสามพัน จะเชิญทั้งคู่นี้ไปให้ปากคำ เพราะอีกฝ่ายก็ยืนยันว่าเขาไม่ได้ลักทรัพย์เพราะว่าทรัพย์ทุกอย่างอยู่กับเขาหมด เขาได้มาโดยถูกต้อง ก็อาจจะเกิดจากการสื่อสารไม่เข้าใจกัน ซึ่งเรื่องนี้ยังให้การไม่ตรงกัน ก็จะได้ประสานไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์ และจะให้ผู้เสียหายทางนี้ มอบอำนาจและสอบสวนให้ปากคำโดย ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน พมจ. ส่งไปให้ทางนั้น เนื่องจากการเดินทางของทั้งคู่ที่จะไปให้ปากคำค่อนข้างจะลำบาก
ส่วนเรื่องของการเปิดรับบริจาคช่วยเหลือจากผู้ใจบุญนั้น หลังจากที่ได้เปิดให้มีการบริจาคแล้ว ที่ทางเจ้าหน้าที่ได้นำสมุดไปปรับบัญชีพบว่ามีเงินเข้าบัญชีแล้วจำนวนหนึ่ง สองสามีภรรยาต่างก็ดีใจบอกว่าจะเอาเงินนี้ไปทำทุนขายของซึ่งจะเป็นน้ำสมุนไพร น้ำปลาร้า และจะไม่เดินทางไปตระเวนร้องเพลงในต่างจังหวัดอีก พร้อมทั้งยังได้ยกมือไหว้ขอบคุณให้พรผู้ใจบุญที่บริจาคเงินช่วยตน
จากนั้นทั้งคู่ได้นำคณะเจ้าหน้าที่ พมจ.ไปดูบ้านพักซึ่งเป็นลักษณะกระท่อมน้อยที่พักอาศัยกับสามีในบริเวณบ้านเดียวกันมากว่า 7 ปีแล้ว มีสภาพชำรุดทรุดโทรม
นางสาวภรณ์ทิพย์ ก้อมมณี นักสังคมสงเคราะห์ ที่มาร่วมรับตัวสองสามีภรรยาเล่าว่านางเกศรินทร์ หรือเหมียว เหมียว สระแก้วเป็นผู้พิการที่ขึ้นทะเบียนกับ พมจ.หนองบัวลำภู เคยได้รับเงินสงเคระห์และสวัสดิการตลอดมา และตนเคยมาดูแลเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน นางเกศรินทร์ หรือเหมียว เหมียว สระแก้วเคยยื่นเรื่องขอกู้เงินทุนส่งเสริมอาชีพคนพิการจำนวน 20,000 บาทโดยไม่มีดอกเบี้ย ตนมาตรวจสอบและทำเรื่องจนได้รับอนุมัติจากคณะอนุกรรมการของจังหวัดแล้ว แต่ปรากฏว่าผู้ค้ำประกันเงินกู้ของนางเกศรินทร์ หรือเหมียว เหมียว สระแก้ว กลับจะขอแบ่งเงินกู้ครึ่งหนึ่งคือ 10,000 บาทฟรีๆ เป็นค่าค้ำประกัน ตนจึงแนะนำให้เปลี่ยนคนค้ำประกัน ปรากฏว่าหาคนค้ำไม่ได้จนถึงบัดนี้ เมื่อทราบว่ามีผู้ใจบุญได้บริจาคเงินมาจำนวนหนึ่งแล้วทราบว่าน่าจะพอให้นางเกศรินทร์ หรือเหมียว เหมียว สระแก้วกับสามีลงทุนขายของตามงานที่พานางเกศรินทร์ หรือเหมียว เหมียว สระแก้วไปร้องเพลงเป็นรายได้เสริมกันตามที่วางแผนไว้แล้ว ส่วนของ พมจ.จะทำเรื่องขออนุมัติปรับปรุงบ้านของสองสามีภรรยาให้มั่นคงแข็งแรงขึ้นพอสมควรกับการอยู่อาศัยรวมทั้งสร้างห้องน้ำให้สะดวกสำหรับผู้พิการด้วยโดยทาง พมจ.มีงบช่วยเหลือตรงนี้อยู่แล้ว ตนจะประสานทาง อบต.หาช่างมาออกแบบคำนวณค่าใช้จ่ายต่อไป ทั้งนี้ หวังให้ทั้งสองสามีภรรยาอยู่อาศัยประกอบอาชีพพอมีรายได้เลี้ยงดูกัน
ทางด้าน นายกลม กับนางมะลิ สระแก้ว พ่อแม่ของนายอุทิศสามี นางเกศรินทร์ หรือเหมียว เหมียว สระแก้ว กล่าวว่าเมื่อลูกชายกับลูกสะใภ้อยู่บ้านก็ไม่สามารถทำงานอะไรได้ เนื่องจากนายอุทิศลูกชายคนที่ 3 ของตนก็ไม่แข็งแรงมีปัญหาที่เบ้าสะโพกทำงานหนักไม่ได้ พ่ออายุ 73 ปี ต้องไปทำงานหาเงินมาซื้อข้าวน้ำเลี้ยงกัน ลูกชายลูกสะใภ้ไปหาเงินตามหมู่บ้านด้วยการร้องเพลงก็ได้เงินพอเลี้ยงปากท้อง 2 คนเท่านั้น หากจะปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้ลูกชายกับภรรยาตนก็ยินดี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าครอบครัวของนายกลมพ่อของนายอุทิศ มีที่ดิน 10 ไร่เศษ แต่ไม่มีแรงงานทำจึงปล่อยให้คนเช่าปลูกอ้อยได้ค่าเช่าปีละ 5,000 บาท บวกกับค่าเบี้ยสงเคราะห์คนชราของพ่อแม่กับเบี้ยคนพิการก็พอให้ครอบครัวพอเลี้ยงชีพสืบไปได้เท่านั้น โชคดีที่นางเกศรินทร์ หรือเหมียว เหมียว สระแก้วและนายอุทิศไม่มีลูกจึงพอเอาตัวรอดไปได้ตามสภาพ