เติมพลังความคิดบวก ขับเคลื่อนชีวิตกับ ‘น้องธันย์’
ย้อนกลับไปเมื่อ ปี 2554 ห้วงชีวิตของ “น้องธันย์” ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์ นักพูดสร้างแรงบันดาลใจและนักสื่อสารองค์กร ต้องพบกับเหตุการณ์ตกรางรถไฟที่สิงคโปร์ จนทำให้เธอต้องสูญเสียขาทั้ง 2 ข้างไป แม้ว่าร่างกายไม่มีครบเหมือนเดิม ไม่ใช่เหตุผลที่เหนี่ยวรั้งชีวิตเธอให้หยุดทุกอย่างไว้
วันนี้ทุกก้าวย่างแห่งชีวิตของน้องธันย์ ดำเนินเหมือนคนร่างกายปกติทั่วไป และเปี่ยมด้วยรอยยิ้มแห่งสุขที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ซึ่งเคล็ดลับที่ทำให้เธอมีความแกร่งกล้าในการก้าวเดินเช่นนี้ เจ้าตัวเล่าว่า “วิธีการของธันย์คือ ธันย์มีการมองไปข้างหน้ามากกว่าอยู่กับปัจจุบันที่เราเจอกับปัญหาและแก้กับปัจจุบัน ความรู้สึกในอดีตคงอยู่ ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอดีตได้ แต่มองแค่ว่าจะทำอย่างไรให้อดีตถูกเล่าขานในปัจจุบันและอนาคตดีกว่าที่เป็นอยู่มากกว่า เราแค่ทำปัจจุบันกับอนาคตให้เต็มที่ที่สุด เท่าที่เราจะทำได้ แม้ว่าอดีตเราจะผ่านอะไรมา วันเกิดเหตุปี 2554 ถึงตอนนี้เข้าปีที่ 12 ส่วนพลังแรงใจสำคัญ ธันย์มองว่ามาจาก 2 องค์ประกอบหลักองค์ประกอบแรกมาจากคนรอบข้าง ไม่ใช่แค่เฉพาะครอบครัวเรา หมายถึง เพื่อน คนทุกคนที่เจอะเจอเราที่ผ่านมา องค์ประกอบที่สองคือ ความฝัน กับเป้าหมายเราที่ยังคงอยากประสบความสำเร็จ เราไม่อยากเป็นคนพิการที่ถูกพาไปอยู่ที่ที่เขาจัดสรรไว้ หรือสังคมคิดว่า เราควรต้องอยู่ที่นั่น
“ธันย์คิดว่า โชคดีที่เคยเป็นคนปกติมาก่อน ฉะนั้นมองว่า ยังมีโอกาสอีกเยอะที่เราสามารถทำได้ ถ้าสมมุติว่าเราทำตามที่สังคมบอก หรือไปทำตามสิ่งที่คนอื่นเขาไม่ได้เป็นเรา แต่เขาคิดว่าอันนี้เหมาะสมกับเรา ทั้งที่เราอาจจะไม่ได้มีความสุขบางทีอาจทำให้เราไม่สามารถต่อยอดได้ หรือไม่สามารถช่วยเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างได้ ไหน ๆ เราก็เกิดอุบัติเหตุ เราพิการ เราอาจถูกสร้างมา หรือถูกกำหนดมาแบบนี้ ทำไมเราไม่ทำให้ดีกว่าที่ควรจะเป็น” น้องธันย์ ย้ำถึงมุมมองชีวิตที่เปลี่ยน
ทุกวันนี้น้องธันย์ทำงานเป็นนักพูด วิทยากร ควบคู่ไปกับการทำหน้าที่นักสื่อสารองค์กร ซึ่งเจ้าตัวบอกถึงความสุขสัมผัสของชีวิตยามนี้ว่า “ความสุขตอนนี้ คือ ธันย์บาลานซ์ ออกแบบชีวิตของตัวเองเปรียบเสมือนดีไซเนอร์ที่ออกแบบชุดให้คนมีความสุข ธันย์มองว่า ธันย์ออกแบบตัดเย็บชีวิตตัวเอง ในแบบที่ตัวเองมีความสุขและเราได้รับผลลัพธ์ที่เราต้องการ น่าพึงพอใจ เราไม่ได้เป็นดีไซเนอร์ที่ออกแบบชีวิตเพื่อไปขายให้กับใคร แต่เราเป็นดีไซเนอร์คนหนึ่งที่ออกแบบชีวิตให้ตัวเองมีความสุขที่สุดหรืออาจเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นในส่วนใดส่วนหนึ่งก็อาจเป็นผลพลอยได้จากการออกแบบชีวิตของตัวเอง”
“พลังบวกเหมือนเชื้อเพลิง แรงใจ ในการขับเคลื่อนไปข้างหน้า ถ้าเราไม่คิดบวกกับสิ่งที่เราจะทำ นั่นหมายถึงว่าเรารู้สึกว่าสิ่งที่เราทำไม่มีคุณค่า หรือไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไร ถ้าเรามีความคิดเชิงบวกหรือมีเชื้อเพลิงตรงนี้ จะทำให้เรารู้ว่าสิ่งที่อยู่ข้างหน้า แม้จะได้เงินน้อย แม้จะไม่ได้เป็นที่น่ายอมรับมาก หรือไม่ได้ทำให้โลกเปลี่ยนได้ทั้งโลก เราจะรู้สึกภูมิใจกับมัน และมันมีคุณค่าที่เราอยากทำต่อไป ซึ่งทำให้เรามองเห็นโอกาสอื่น ๆ ที่เราอาจมองไม่เห็นมาก่อน ถ้าเราไม่มีทัศนคติเชิงบวก เราจะไม่มองว่ารอบ ๆ ตัวเราคือโอกาส เราจะมองว่ารอบตัวคืออยู่นิ่ง เมื่อไหร่ก็ตามถ้าเรามีทัศนคติเชิงบวก เราจะมีโอกาส ชีวิตเราจะเดินหน้าต่อได้” น้องธันย์ถ่ายทอดมุมมองที่มีต่อความคิดพลังบวกที่มีต่อการเปลี่ยนชีวิตได้ ทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มแววตาเป็นประกาย