ปู่พิการครึ่งท่อนสุดทรหด ใช้ชีวิตในรพ. 36 ปี ชีวิตที่เหลือขออยู่กับลูกเมีย
รักของครอบครัว หล่อหลอมหัวใจ “ปู่สมพงษ์” พิการเหลือครึ่งท่อนบนแต่ใจสู้ ใช้ชีวิตอยู่โรงพยาบาลตลอด 36 ปี วันนี้สุขใจ ได้กลับมาอยู่บ้าน ใช้ชีวิตบั้นปลายกับภรรยาและลูก-หลาน ตามอัตภาพ
เรื่องราวของ “ปู่สมพงษ์” ยอดนักสู้ แม้ร่างกายพิการครึ่งท่อนแต่ไม่เคยสิ้นหวังในชีวิตรายนี้ ถูกเปิดเผยขึ้น เมื่อ นายชินวัฒน์ บุญลาม หลานชาย ไปเป็นทหารเกณฑ์ เข้าประจำการที่กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 25 ค่ายรัตนรังสรรค์ จ.ระนอง เมื่อต้น พ.ย. ที่ผ่านมา
ผู้บังคับบัญชาสอบถามทหารเกณฑ์ทุกนาย ถึงความวิตกกังวลของทหารแต่ละนาย จนทราบว่า พลทหาร ชินวัฒน์ เป็นลูกกำพร้ามาตั้งแต่เด็ก อาศัยอยู่กับปู่ที่พิการครึ่งตัว และย่าที่แก่ชรา การมาเป็นทหารเกณฑ์ จึงมีความห่วงใยปู่กับย่าว่า จะต้องอยู่อย่างลำบาก
พ.อ.สุรศักดิ์ พึ่งแย้ม ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 25 พร้อมด้วยคณะ จึงได้เดินทางไปเยี่ยม “ปู่สมพงษ์” และนำข้าวสารอาหารแห้ง ทั้งเครื่องอุปโภค บริโภค มาให้ ก่อนจะหาแนวทางการช่วยเหลือ เพื่อให้ครอบครัวนี้สามารถช่วยตนเองได้อย่างยั่งยืน และได้เปิดโน้ตบุ๊กให้ปู่ย่า ได้วิดีโอคอลคุยกับหลานชายที่อยู่ในกรมทหาร จะได้เห็นหน้ากันให้หายคิดถึง
ที่บ้านเลขที่ 80/49 ถนนท่าเมือง ต.เขานิเวศน์ อ.เมือง จ.ระนอง ซึ่งเป็นห้องแถวให้เช่าเล็กๆ ภายในเขตเทศบาลเมืองระนอง ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ชาวบ้านที่เดินผ่านไปมา จะเห็นภาพของชายชราผู้พิการ ร่างกายเหลือเพียงครึ่งท่อนบน นอนอยู่บนเตียงริมหน้าต่าง ยิ้มแย้มทักทายกับผู้คนจนชินตา
นายสมพงษ์ รุ่งแจ้ง หรือ “ปู่สมพงษ์” วัย 72 ปี ซึ่งเป็นผู้พิการ มีร่างกายเพียงท่อนบน อาศัยอยู่กับ นางทองคำ รุ่งแจ้ง อายุ 66 ปี ภรรยา และนายคงศักดิ์ รุ่งแจ้ง อายุ 37 ปี ลูกชาย ขณะที่หลานชายสุดรัก นายชินวัฒน์ บุญลาม ต้องไปเป็นทหารเกณฑ์
“ปู่สมพงษ์” แม้จะเป็นผู้พิการครึ่งตัว แต่ขวัญและกำลังใจดี ใบหน้ายังอวบอิ่ม ไม่ได้แสดงอาการท้อหรือสิ้นหวังแต่อย่างใด เผยเรื่องราวชีวิตว่า แม้จะผ่านการผ่าตัดขามานับครั้งไม่ถ้วน สุดท้ายแพทย์ตัดสินใจถอดกระดูกขาทั้งสองข้างออกจากกระดูกเชิงกรานเพื่อรักษาชีวิต ส่วนอวัยวะท่อนบน ให้สามารถดำรงชีพอยู่ได้ด้วยตนเอง
แม้ร่างกายจะพิการเหลือเพียงครึ่งท่อนบน แต่ตนก็ยังช่วยเหลือตัวเองได้ โดยขึ้นรถวีลแชร์อย่างคล่องแคล่ว เข้าห้องน้ำ อาบน้ำ สวมเสื้อผ้า ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้ด้วยตนเอง และใส่แพมเพิสได้เอง แม้จะมีการต่อสายจากท่อปัสสาวะเป็นถุงติดตัวก็ตาม
ปู่สมพงษ์ เล่าว่า เหตุเกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 ตนเป็นลม ตกจากศาลาการเปรียญวัด ขณะกำลังจะเดินทางกลับบ้านหลังไปทำบุญงานศพ ตอนเดินผ่านนอกชานศาลาใหญ่ ไม่ได้มีลูกกรงไว้จับ ซึ่งสร้างมาตั้งแต่สมัยไหนแล้วก็ไม่รู้ โดยหัวฟาดลงกับพื้น และลุกขึ้นมานั่งได้โดยที่ไม่มีบาดแผลแต่อย่างใด
หมอวินิจฉัยพบเลือดคั่งในสมองและหลังหัก ช่วงล่างไม่รู้สึกตัว ถูกส่งตัวมารักษาต่อที่โรงพยาบาลระนอง เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 31 ขณะนั้นตนเองอายุ 36 ปี ปัจจุบันอายุ 72 ปี และเป็นผู้พิการนอนรักษาอยู่ในโรงพยาบาลระนอง มา 36 ปี หมอบอกว่า ตนเป็นคนโชคดีที่ไม่มีโรคอะไรแทรกซ้อน จึงสามารถอยู่ได้
“ตลอดเวลา 36 ปี ไม่เคยได้อยู่บ้านเลย อยู่โรงพยาบาลจนเหมือนกับอยู่บ้าน และตนเพิ่งจะกลับมาอยู่บ้านได้เพียง 1 เดือน บางวันตื่นมายังนึกว่าอยู่โรงพยาบาล จนภรรยากับลูกมาบอก ตอนอยู่โรงพยาบาลก็ดีไปอย่าง ไม่เหงา คือมีเพื่อน เห็นคนนั้นคนนี้ ได้คุยกันบ้าง”
“การได้อยู่มาถึงทุกวันนี้ และได้ใช้ชีวิตบั้นปลายกับครอบครัว ถือว่าโชคดีแล้ว ผมใช้ข้อคิดในหลักธรรมเข้าหลอมหัวใจ และนึกถึงคำที่ครูบาอาจารย์สอนให้ตอนบวชเรียน ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง อยู่กับความเป็นจริง ถนอมน้ำใจกัน ต้องขอบคุณภรรยาและลูกหลาน ที่ห่วงใยไม่เคยทิ้งกัน”
ด้าน นายคงศักดิ์ ลูกชาย กล่าวว่า ตอนพ่อเกิดอุบัติเหตุ ตนอายุ 2-3 ขวบ ยังจำความไม่ได้ มีพี่น้องเป็นชาย 3 คน ตนเป็นคนรอง พ่อกลับจากโรงพยาบาลมาอยู่บ้าน ความทรงจำพ่อยังติดอยู่ที่โรงพยาบาล พ่อจะมีสองโลกที่สร้างขึ้นมาเอง ส่วนตนกลับมาจากกรุงเทพฯ มาเป็นช่างซ่อมเครื่องไฟฟ้า หารายได้พอเลี้ยงตัวและจะได้ดูแลพ่อด้วย
ขณะที่ นางทองคำ เล่าว่า ครอบครัวลำบาก แต่เราก็มีความรักให้กัน เป็นกำลังใจกัน ที่ผ่านมา ลูกชายไปทำงานเป็นช่างซ่อมเครื่องไฟฟ้าที่กรุงเทพฯ หาเงินได้ก็จะส่งมาให้พ่อแม่ได้กินได้ใช้ ส่วนหลานชายก็จะทำงานรับจ้างจุนเจือครอบครัว แต่ตอนนี้หลานชายต้องไปเป็นทหาร ลูกชายจึงตัดสินใจกลับมาหางานทำที่บ้าน เพื่อจะได้ดูแลพ่อแม่ไปด้วย
“นอกจากนี้ ย่ากับปู่ก็มีรายได้จากเบี้ยผู้สูงอายุและเบี้ยคนพิการ เดือนละ 2,100 บาท และมีเพื่อนบ้านที่ดี ที่คอยห่วงใยช่วยเหลือ จัดหาเตียง แพมเพิสมาให้ เราก็อยู่กินกันอย่างประหยัด ให้ชีวิตมันไปต่อได้ และขอบคุณทุกหน่วยงานที่เข้ามาช่วยเหลือครอบครัว เราจะดูแลกันให้ดีสุดเท่าที่จะทำได้ต่อไป” นางทองคำ กล่าว