“กระดูกคอเสื่อม” ภัยแฝงจากการใช้เทคโนโลยี ปล่อยทิ้งไว้นานอาจพิการได้

“กระดูกคอเสื่อม” ภัยแฝงจากการใช้เทคโนโลยี ปล่อยทิ้งไว้นานอาจพิการได้

ด้วยไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัยและการใช้ชีวิต พบผู้คนที่มีอาการปวดบริเวณต้นคอเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากการใช้คอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนที่เพิ่มขึ้นในชีวิตประจำวัน ผู้คนมักจะก้มคอใช้อุปกรณ์เหล่านี้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานโดยไม่รู้ตัว จึงทำให้เกิดปัญหาปวดเมื่อยบริเวณต้นคอขึ้นมาได้ ซึ่งหากอาการปวดกินเวลานอนจนเกินไป อาจเป็นสัญญาณกระดูกคอเสื่อมก็ได้เช่นกัน

อาการปวดกระดูกต้นคอ เป็นอาการปวดกล้ามเนื้อคอที่หลายคนสามารถเป็นได้บ่อยๆ และสามารถทุเลาลงได้ภายในไม่กี่วัน โดยการรักษาตามอาการทั้งการกินยาและใช้ยานวดบริเวณต้นคอ แต่ถ้าอาการปวดต้นคอนั้นกินเวลานานติดต่อกันมากกว่าหนึ่งสัปดาห์ ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรับการรักษา เพราะอาจจะมีสาเหตุมาจากการที่กระดูกคอเสื่อมก็เป็นได้

ภาวะกระดูกคอเสื่อม จะแสดงอาการมากน้อยแตกต่างไปในแต่ละบุคคล และพบว่าคนไทยที่อายุเลย 45 ปีไปแล้วเกือบทุกคนพบว่าตนเองเป็นโรคกระดูกคอเสื่อม

ซึ่งมีปัจจัยหลายประการมาประกอบ เช่น ขนาดของน้ำหนักตัว ภารกิจประจำวัน ภาวะหลวมคลอนของข้อกระดูกต่างๆ เป็นต้น อาการกระดูกคอเสื่อมนั้นเกิดจากการที่หินปูนที่เกาะบริเวณกระดูกและเอ็นไปกดเส้นประสาททำให้เกิดอาการปวดคอร้าว มักปวดหลังคอบริเวณ 2 ข้างของกระดูกสันหลัง อาจปวดร้าวขึ้นไปถึงท้ายทอย หรือลงมาบริเวณสะบัก และปวดมากขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหวหรือออกแรง

อาการกระดูกคอเสื่อม

อาการเริ่มแรกคือ นอนหลับไม่สนิท บางทีนอนตะแคงไม่ได้ นอนตะแคงแล้วจะเกิดอาการปวดเมื่อย ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ จะใช้หมอนหนาขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นอันหนึ่งที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง และต่อมาจะมีอาการชาหรืออ่อนแรงของมือและแขน บางรายจะมีอาการเหลียวหลังไม่สะดวก ซึ่งหากปล่อยไว้นาน ๆ อาจทำให้ร่างกายพิการได้ ซึ่งเมื่ออายุมากขึ้นและจะมีการงอกของกระดูก ซึ่งหากกระดูกที่งอกมาก ๆ ไปกดทับเส้นประสาทและไขสันหลังก็จะทำให้เกิดอาการปวด ชาตามแขนและมือ และต่อไปจะทำให้มีกล้ามเนื้ออ่อนแรง ใช้แขนและมือไม่ถนัด เดินทรงตัวลำบาก กลั้นอุจจาระปัสสาวะไม่ได้

โดยส่วนใหญ่แล้วอาการปวดต้นคอมักมีสาเหตุมาจากการจัดวางท่าทางไม่ถูกต้อง รวมทั้งภาวะกระดูกเสื่อมเมื่ออายุมากขึ้น ซึ่งวิธีป้องกันอาการดังกล่าวสามารถเริ่มต้นจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันได้ดังนี้

• จัดท่าทางให้ถูกต้อง เมื่อยืนหรือนั่งควรให้ไหล่ตั้งตรงอยู่ในแนวเดียวกับสะโพก เช่นเดียวกับใบหูที่อยู่เหนือไหล่ในแนวเดียวกัน

• ควรเคลื่อนไหวร่างกายบ่อยๆ ไม่ควรนั่งทำงานท่าเดิมนานเกินไป

• จัดโต๊ะทำงาน โดยให้หน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่ในระดับสายตา ปรับเก้าอี้ให้นั่งแล้วหัวเข่าอยู่ต่ำกว่าสะโพกเล็กน้อย และควรใช้เก้าอี้ทำงานที่มีที่พักแขน

• ไม่ควรคุยโทรศัพท์โดยแนบไว้ระหว่างไหล่กับหู ควรเปิดลำโพงหรือใช้หูฟังในการคุยโทรศัพท์แทน

• ไม่ควรแบกหรือสะพายกระเป๋าหนักๆ ไว้บนไหล่ เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง

• ควรนอนให้ศีรษะและคออยู่ในแนวเดียวกับร่างกาย โดยใช้หมอนเล็กๆ รองคอไว้ นอนราบให้หลังติดที่นอนและใช้หมอนรองต้นขาให้สูงขึ้น

การรักษาโรคกระดูกคอเสื่อมนั้น นักกายภาพบำบัดจะแนะนำท่าบริหารดี ๆ ซึ่งสามารถแก้ปัญหาของผู้ป่วยได้อย่างถูกต้อง แต่หากไม่ได้ผลในรายที่มีอาการมาก การผ่าตัดเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยให้หายจากโรค โดยปัจจุบันเทคโนโลยีการรักษาได้พัฒนาการรักษาให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้การมาพบแพทย์ผู้ชำนาญเฉพาะทางด้านโรคกระดูกสันหลังเป็นเรื่องที่ควรทำ เพราะแพทย์สมัยใหม่มีการรักษาที่หลากหลาย ส่วนใหญ่การรักษาในปัจจุบันเน้นทานยากับทำกายภาพบำบัดควบคู่กันไป อาการก็จะดีขึ้นแล้ว ทำให้โอกาสที่จะต้องผ่าตัดมีน้อย ซึ่งหากผู้สนใจตรวจเช็กให้แน่ใจว่าขณะนี้เป็นโรคข้อกระดูกสันหลังคอเสื่อมหรือไม่

• อย่างไรก็ตาม หนทางที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงโรคกระดูกคอเสื่อม คือการป้องกันเสียตั้งแต่ต้น โดยหมั่นบริหารร่างกายให้มีคอที่แข็งแรง เพื่อลดความตึงตัวของเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อบริเวณคอ ขณะเดียวกันก็จำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนอิริยาบถต่างๆ ในชีวิตประจำวันให้เหมาะสมควบคู่ไปด้วย เพราะถึงแม้ว่าโรคกระดูกคอเสื่อมจะเป็นภาวะที่เกิดขึ้นตามวัย แต่เราก็อาจลดความเสี่ยงลงได้ด้วยการดูแลตัวเอง

ขอบคุณ... https://www.pptvhd36.com/health/care/2610

ที่มา: pptvhd36.com/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 4 ม.ค.65
วันที่โพสต์: 4/01/2566 เวลา 10:59:12 ดูภาพสไลด์โชว์ “กระดูกคอเสื่อม” ภัยแฝงจากการใช้เทคโนโลยี ปล่อยทิ้งไว้นานอาจพิการได้