โรคอ้วน ไม่ใช่เรื่องตลก!! รู้จักควบคุม ก่อนโรคร้ายมาเยือน
นอกจากความ อ้วน หรือรูปร่างส่วนเกิน จะทำให้เราขาดความมั่นใจในตัวเองแล้ว ยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพของเราอีกด้วย โดยเฉพาะภาวะอ้วนระยะสุดท้าย ไปจนถึงบิ๊กมาม่า ภาวะเหล่านี้จะนำโรคร้ายอย่าง โรคหลอดเลือดหัวใจ-สมอง เบาหวาน ภาวะไขมันอุดตัน ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ และโรคซึมเศร้า มาสู่ตัวคุณได้ หากยังไม่รู้จักควบคุมพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคุณ
นพ.จีรวัส ศิลาสุวรรณ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบทางเดินอาหารและตับ ผู้เชี่ยวชาญด้านการส่องกล้องในระบบทางเดินอาหาร เล่าให้ฟังว่า ภาวะน้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วนในปัจจุบัน จัดเป็นปัญหาทางสาธารณสุข ที่เป็นปัจจัยเสี่ยง และสาเหตุสำคัญของโรคเรื้อรังต่างๆ ที่เป็นปัญหาต่อสุขภาพ แถมยังเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงมาก แต่อัตราเสียชีวิตก็ยังคงสูงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรถึงเรียกว่า “อ้วนแล้วนะเนี่ย”
องค์การอนามัยโลก ให้นิยาม ภาวะน้ำหนักตัวเกิน และโรคอ้วน (Overweight and Obesity) ไว้ว่า ภาวะที่ร่างกายมีการสะสมไขมันในส่วนต่างๆ ของร่างกายเกินปกติ จนเป็นปัจจัยเสี่ยง หรือเป็นสาเหตุให้เกิดโรคต่างๆ ที่ส่งผลถึงสุขภาพ จนอาจเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้ โดยเมื่อมีค่าดัชนีมวลกาย (Body mass index หรือ เรียกย่อว่า BMI/บีเอ็มไอ) ตั้งแต่ 25 ขึ้นไป เรียกว่า “น้ำหนักตัวเกิน” แต่ถ้ามีค่าดัชนีมวลกาย ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป เรียกว่า “เป็นโรคอ้วน” โรคอ้วนแบ่งออกเป็น 3 ระดับ เพื่อบอกความรุนแรงของภาวะ หรือ ของโรค ว่า ปานกลาง รุนแรง และรุนแรงมาก โดยระดับความรุนแรงมาก คือ ค่าดัชนีมวลกายตั้งแต่ 40 ขึ้นไป (มาตรฐานองค์การอนามัยโลก) หรือ ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป (สำหรับเอเชีย)
อ้วนๆๆ คำนวณยังไง คำนวณที่ “ดัชนีมวลกาย” ซึ่งก็คือ ค่าซึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่างน้ำหนักตัวกับส่วนสูง ซึ่งนิยมใช้เป็นตัววินิจฉัยว่า ใครน้ำหนักเกิน หรือใครเป็นโรคอ้วน โดยค่า ดัชนีมวลกายของแต่ละคน จะมีค่าเท่ากับ น้ำหนักของคนๆ นั้น หารด้วยความสูงยกกำลังสอง เช่น น้ำหนัก 50 กก. ความสูง 1.60 ม. (1.60 x 1.60 ม. = 2.56 (50/2.56) ค่าดัชนีมวลกายคือ 19.53
ประมาท! ถ้าคิดว่าอ้วนไม่ถึงตาย ภาวะ “น้ำหนักตัวเกิน” และ “โรคอ้วน” นั้นเป็นการเชื้อเชิญ หรือเดินเข้าไปสู่โรคร้าย ได้แก่ โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง (โรคอัมพาต) โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคนิ่วในถุงน้ำดี เพราะการมีไขมันในเลือดสูง ส่งผลให้น้ำดีจากตับมีไขมันสูงตามไปด้วย ซึ่งไขมันจะตกตะกอนเกิดเป็นนิ่วในถุงน้ำดีได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีปัญหาในการหายใจ มักเป็นโรคนอนหลับแล้วหยุดหายใจ (Sleep apnea) อีกแง่มุมหนึ่ง ภาวะอวบอ้วนส่งผลให้ผู้ป่วยมีปัญหาทางด้านสังคมอย่างช้าๆ ทั้งกับตัวผู้ป่วยเองและครอบครัว และมักเป็นโรคซึมเศร้าในท้ายที่สุด
ไม่อยากอ้วนทำไงดี…? 1. กินให้ดู คิดเป็นระบบ รู้จักควบคุมอาหาร
1.1 ต้องลดปริมาณพลังงานที่บริโภค คนที่กินอาหารมาก ต้องกินให้น้อยลง ต้องทำอย่างเคร่งครัด น้ำหนักที่เกินอยู่จึงจะลดลง และไม่แนะนำให้ลดน้ำหนักโดยวิธีอดอาหาร เพราะจะมีผลเสียมากกว่าผลดี
1.2 เมื่อกินอาหารน้อยลง จะต้องระมัดระวังว่าอาหารนั้นมีคุณค่าทางโภชนาการดีพอไหมให้สมดุลกับ ข้อที่ว่ามันยังมีความเอร็ดอร่อยไม่น่าเบื่อด้วย
1.3 ทุกมื้ออาหารควรมีผักและผลไม้เสมอ เพราะอาหารสองประเภทนี้นอกจากให้วิตามินและเกลือแร่ ยังให้ใยอาหารซึ่งทำให้ท้องไม่ผูก และมีความรู้สึกอิ่มไม่หิวบ่อย สำหรับผลไม้ไม่ควรกิน คือ พวกที่มีรสหวานจัด เช่น องุ่น ละมุด ทุเรียน ถ้ากินให้กินเป็นครั้งคราวเท่านั้น
1.4 ไขมัน ให้ดูที่มาจากพืชในการปรุงอาหาร และพิจารณาร่วมกับกรดไขมันจำเป็นในสัดส่วนที่เหมาะสม ส่วนคาร์โบไฮเดรท แป้ง น้ำตาล พิจารณาจากคุณค่าและที่มาเป็นหลัก อย่างขนมหวาน น้ำอัดลม และการปรุงอาหารด้วยน้ำตาล ให้ลด ละ มากที่สุด
2. อยู่ให้เป็น ลุยงาน ออกกำลังกายเสมอ การลดน้ำหนักจะได้ผลดีต่อเมื่อเราออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทุกวัน ถ้าคนที่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน ต้องค่อยๆ เริ่มและทำให้เกิดวินัย นับตั้งแต่เดินก็เป็นวิธีออกกำลังกายอย่างหนึ่ง การออกกำลังกายในแต่ละช่วง ควรใช้เวลา 15-45 นาที โดยทำต่อเนื่องกันไปจนกระทั่งรู้สึกว่าเหนื่อยค่อยพัก ในวันหนึ่งๆ ถ้ามีเวลาออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬาวันละ 1 ชั่วโมงจะดีมาก และต่อเนื่องนานนับปีจึงจะบอกได้ว่าผู้ป่วยประสบความสำเร็จ ในการลดน้ำหนักหรือไม่
3. ทางเลือกใหม่ในการรักษา ลดน้ำหนักอย่างปลอดภัยและได้ผลด้วย Gastric Balloon การใส่บอลลูน ที่บรรจุสารน้ำเข้าไปในกระเพาะอาหาร เพื่อการควบคุมน้ำหนัก โดยบอลลูนจะเข้าไปลดความจุของกระเพาะอาหาร ทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง และอิ่มนานกว่าเดิม ร่างกายจึงนำไขมันส่วนเกินออกมาใช้เป็นพลังงานแทน ส่งผลให้น้ำหนักตัวเปลี่ยนแปลงในที่สุด
การทำ Gastric Balloon เหมาะสำหรับผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 27 ประกอบกับลดน้ำหนักด้วยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล และมีน้ำหนักเกินจนเริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพ นอกจากเหตุผลเรื่องความมั่นใจ ในรูปร่าง และบุคลิกภาพที่ดีแล้ว การลดน้ำหนักอย่างถูกวิธียังช่วยชะลอความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ที่มีผลมาจากความอ้วน
ขั้นตอนดังกล่าวนี้ ไร้แผลผ่าตัด เพราะบอลลูนจะถูกใส่เข้าไปในกระเพาะอาหารทางช่องปาก ด้วยเทคนิค การส่องกล้อง ตัวบอลลูนทำจากซิลิโคนซึ่งเป็นวัสดุทางการแพทย์ที่ไม่เป็นอันตรายต่อกระเพาะอาหาร ภายในบอลลูน จะบรรจุสารน้ำเอาไว้ประมาณ 400-500 ซีซี เมื่อลดน้ำหนักได้ถึงจุดที่พึงพอใจแล้ว สามารถเอาน้ำที่อยู่ในบอลลูนออกได้ ซึ่งคนส่วนใหญ่จะใส่บอลลูนไว้ประมาณ 6-12 เดือน
เห็นไหมล่ะคะ ว่าการที่เรามีน้ำหนักตัวเกิน ไม่ได้ส่งผลดีใดๆ ต่อร่างกายเลย ถึงเวลาที่คุณจะต้องหันมาจริงจังกับการควบคุมพฤติกรรมของคุณแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเลือกรับประทานอาหาร รวมถึงเรื่องออกกำลังกายเองก็ตาม หากไม่เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ ก็จะทำให้คุณเข้าใกล้โรคร้าย และเป็นอันตรายต่อสุขภาพมากขึ้น แบบที่คุณเองก็หลีกเลี่ยงมันไปไม่ได้!!!
ที่มา : นพ.จีรวัส ศิลาสุวรรณ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบทางเดินอาหารและตับ ผู้เชี่ยวชาญด้านการส่องกล้องในระบบทางเดินอาหาร รพ.พญาไท 2