การจัดการศึกษาสำหรับคนหูหนวก การผลิตและการบริการล่ามภาษามือ : ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะ

แสดงความคิดเห็น

แบบสะกดนิ้วมือไทย

คอลัมน์ สถานีพัฒนาสังคม : คณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการ เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมาธิการกิจการคนพิการ พิจารณาศึกษา เรื่องการจัดการศึกษาสำหรับคนหูหนวกการผลิตล่ามภาษามือและการให้บริการล่ามภาษามือ

การจัดการเรียนการสอนสำหรับคนหูหนวก การสอนภาษามือควบคู่กับการเขียนการอ่านภาษาไทย เนื่องจากการสื่อสารสำหรับคนหูหนวกถือเป็นเรื่องสำคัญ และมีปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกัน คือ การขาดแคลนล่ามภาษามือ จึงต้องแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยเพิ่มการผลิตล่ามภาษามือ ให้ทุนสำหรับผู้เรียนล่ามภาษามือ รวมถึงสร้างหลักประกันด้านอาชีพให้กับผู้เรียนล่ามภาษามือเช่นเดียวกับอาชีพขาดแคลนอื่นๆ เป็นต้น ทั้งนี้ ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกันเพื่อนำไปสู่เป้าหมายให้คนหูหนวกทุกคนอ่านออกเขียนได้ และระบบการจัดการศึกษาสำหรับคนหูหนวกในประเทศไทยมีประสิทธิภาพ

การพิจารณาศึกษาครั้งนี้ คณะอนุกรรมาธิการกิจการคนพิการได้ติดตามสถานการณ์และปัญหาอุปสรรค รวมถึงนำไปสู่การให้ข้อเสนอแนะหรือกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยการดำเนินงานตามหลักการบูรณาการงานของทุกภาคส่วนในรูปแบบ"ประชารัฐ"และดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว

ปัญหา/อุปสรรคต่อการจัดการศึกษาสำหรับคนหูหนวก

๑ ปัญหา/อุปสรรคด้านครูการศึกษาพิเศษ จำแนกเป็น ๓ ประเด็น ดังนี้

๑) ขาดครูสอนนักเรียนหูหนวก ทั้งครูการศึกษาพิเศษ ครูสอนรายวิชา และครูหูหนวกเพราะสถานศึกษาที่จัดการเรียนการสอนคนหูหนวกไม่ได้รับการจัดสรรอัตราตำแหน่งครูอย่างเหมาะสม และไม่มีการผลิต ทั้งครูการศึกษาพิเศษเฉพาะทางหรือสาขาวิชาหลักหรือรายกลุ่มสาระเพื่อสอนคนหูหนวก นอกจากนั้น มหาวิทยาลัยสวนดุสิตซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาแห่งแรกที่ผลิตครูการศึกษาพิเศษ ได้หยุดการผลิตเมื่อ ๔ ปี ที่ผ่านมา เนื่องจากได้รับเหตุผลว่าครูการศึกษาพิเศษไม่สามารถสอนรายกลุ่มสาระ

จำนวนครู-ระยะเวลา ๑๕ ปี ที่ผ่านมา จากข้อมูลการผลิตบัณฑิต หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาหูหนวกศึกษา (บัณฑิตที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน) วิทยาลัยราชสุดา มหาวิทยาลัยมหิดล ปีการศึกษา ๒๕๔๓- ๒๕๕๘ มีจำนวนครูสอนเด็กหูหนวก จำนวน ๖๙ คน ทำงานบริษัท จำนวน ๑๐๓ คน ประกอบอาชีพอื่น จำนวน ๓๗ คน ไม่มีงานทำจำนวน๒๗คนและรับราชการจำนวน๕คน

๒) ขาดองค์ความรู้ด้านการจัดการศึกษาสำหรับคนหูหนวก ที่เป็นสากล และทันสมัย เป็นเหตุให้ครูการศึกษาพิเศษส่วนใหญ่ทำหน้าที่สอนคนหูหนวกโดยที่ไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษามือทั้งในการสนทนาทั่วไปและในการเรียนการสอนสาขาวิชาต่างๆ จึงต้องจัดให้ครูประจำรายวิชาซึ่งไม่ได้จบครูการศึกษาพิเศษ ไม่มีความรู้ เรื่องนักเรียนหูหนวก ไม่เคยเรียนการสื่อสารด้วยภาษามือ ไม่ได้รับการฝึกสอนกับนักเรียนหูหนวกโดยตรง และส่วนใหญ่จบการศึกษาไม่ตรงตามสาระวิชาที่สอน ทำหน้าที่สอนรายวิชาต่างๆ รวมถึงช่วยนักเรียนหูหนวกให้สามารถเรียนรวมกับนักเรียนปกติได้ในทางตรงกันข้ามมีการจัดให้ครูการศึกษาพิเศษสอนสาระวิชาที่ไม่เคยศึกษาด้วย

๓) ขาดการใช้อุปกรณ์เครื่องช่วยความพิการต่าง ๆ เช่น เครื่องช่วยฟัง และประสาทหูเทียม เป็นต้น รวมถึง ขาดสื่อ วัสดุ อุปกรณ์ เทคโนโลยี และแหล่งเรียนรู้สำหรับจัดการศึกษาให้นักเรียนหูหนวกอย่างเหมาะสม ทั่วถึง หลากหลาย ทันสมัย และเพียงพอต่อการสนับสนุนการเรียนการสอนสำหรับนักเรียนหูหนวกทั้งในสถานศึกษาเฉพาะคนหูหนวกและสถานศึกษาที่จัดการเรียนรวม

๒.ปัญหา/อุปสรรคด้านระบบการจัดการศึกษา จำแนกเป็น ๓ ประเด็น ดังนี้

๑) ไม่มีหลักสูตรการศึกษาที่เหมาะสมสำหรับสอนนักเรียนหูหนวก เนื่องจากหลักสูตรการศึกษาสำหรับนักเรียนปกติทั่วไปมีสาระการเรียนรู้ที่มีเนื้อหามากยุ่งยากและซับซ้อน

๒) ขาดแคลนล่ามภาษามือ ครูการศึกษาพิเศษ ครูเฉพาะสาขาวิชา และครูหูหนวกที่เป็นผู้สนับสนุนให้ครูและนักเรียนหูหนวกสามารถจัดการเรียนการสอนแบบสองภาษาที่มีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับความต้องการจำเป็นของผู้เรียนแต่ละคน

๓) นักเรียนหูหนวกส่วนใหญ่ไม่ผ่านการวัดความรู้และความคิดวิเคราะห์ ทั้งการสอบ O-NET (Ordinary National Educational Test) ซึ่งเป็นการวัดผลการจัดการศึกษา ขั้นพื้นฐาน และการสอบ A-NET (Advanced National EducationalTest)สำหรับโรงเรียนโสตศึกษาที่ใช้หลักสูตรแกนกลาง

๓.ปัญหา/อุปสรรคด้านการจัดการศึกษาสำหรับ คนหูหนวก จำแนกเป็น ๔ ประเด็น ดังนี้

๑) การจัดการศึกษาสำหรับคนหูหนวกของประเทศไทย ไม่ให้ความสำคัญต่อนักเรียนหูหนวกก่อนวัยเรียน กล่าวคือ ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง ๔ ปี ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดของพัฒนาการทางภาษาและสมอง แต่นักเรียนหูหนวกส่วนใหญ่มักได้เริ่มเรียนภาษามือเมื่อเข้าเรียนระดับอนุบาล ซึ่งมีอายุกว่า ๔ ปี และเริ่มเรียนภาษาไทยในระดับประถมศึกษานักเรียนหูหนวกจึงมีปัญหาด้านอ่านและเขียนภาษาไทย

๒) นักเรียนหูหนวกในโรงเรียนสังกัด สพฐ. ใช้ภาษามือไม่คล่อง เป็นเหตุให้เด็ก เรียนรู้และรับข้อมูลได้ไม่สมบูรณ์ ซึ่งมีผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็กในหลายๆ ด้าน ทั้งด้านการสื่อสาร ความฉลาดทางอารมณ์ ภาวะผู้นำการพัฒนาความเชื่อมั่นและการรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นเป็นต้น

๓) นักเรียนหูหนวกที่ฝังประสาทหูเทียมไม่มีครูฝึกพูด เพราะเป็นเรื่องใหม่

๔) คนหูหนวกที่จบการศึกษาในระดับปริญญามีจำนวนน้อยมาก ทั้งที่หน่วยงานที่จัดการศึกษาสำหรับคนหูหนวกมีทั้งสิ้น ๓๘ หน่วยงาน มีจำนวนผู้จบการศึกษา ตั้งแต่รุ่นที่ ๑-๔ รวม ๒๔๑ คน โดยแบ่งออกเป็น ชาย จำนวน ๑๐๒ คน หญิง จำนวน ๑๓๙ คน ซึ่งในจำนวนผู้จบการศึกษาดังกล่าว มีผู้จบการศึกษาในระดับปริญญาโท ประมาณ ๒๐ คน ส่วนในระดับปริญญาเอกยังไม่มีผู้จบการศึกษา จะเห็นได้ว่า หากเปรียบเทียบเป็นอัตราส่วนแล้ว ผลปรากฏว่าจำนวนผู้จบการศึกษายังมีจำนวนไม่ถึงร้อยละ๑ของจำนวนคนหูหนวกทั้งหมดทั่วประเทศไทย

๔.ปัญหา/อุปสรรคด้านครอบครัว/ผู้ปกครอง จำแนกเป็น ๔ ประเด็น ดังนี้

๑) ครอบครัวขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องนักเรียน หูหนวก ภาษามือ การศึกษาพิเศษ การเลี้ยงดูนักเรียนหูหนวก และการสร้างสัมพันธภาพระหว่างลูกกับสังคม เป็นต้น ครอบครัวจึงต้องการให้นักเรียนหูหนวกเรียนรวมกับนักเรียนปกติโดยไม่คำนึงถึงทักษะในการสื่อสารของนักเรียนหูหนวก

๒) ผู้ปกครองไม่สามารถสื่อสารกับนักเรียนหูหนวกได้ ทั้งการใช้ภาษามือ และภาษาไทย

๓) ผู้ปกครองไม่นำนักเรียนหูหนวกไปเรียนที่โรงเรียนโสตศึกษาเพราะโรงเรียนอยู่ไกลจากบ้าน

๔)ผู้ปกครองไม่ยอมให้คนหูหนวกที่จบการศึกษาสาขาวิชาหูหนวกศึกษาไปทำงานโดยเฉพาะการทำงานในโรงเรียนที่ไม่มีตำแหน่งครู

๕. ปัญหา/อุปสรรคด้านสังคม/คนทั่วไป จำแนกเป็น ๒ ประเด็น ดังนี้

๑) คนทั่วไปขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องคนหูหนวก รวมถึงผลกระทบจากการสูญเสียการได้ยินแต่กำเนิดที่มีผลต่อการสื่อสารการเรียนรู้และการคิดวิเคราะห์

๒) คนทั่วไปมีเจตคติที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับความสามารถของคนหูหนวก จึงปิดกั้น คนหูหนวกไม่ให้แสดงศักยภาพและเข้าถึงสิทธิในทุกด้าน

๖.ปัญหา/อุปสรรคด้านบทบาทของหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง จำแนกเป็น ๔ ประเด็น ดังนี้ ๑) โรงเรียนระดับมัธยมศึกษาที่รับนักเรียนหูหนวก เรียนรวมมีจำนวนน้อย ๒) การจัดการศึกษาของอาชีวศึกษายังขาดแคลนครูการศึกษาพิเศษ และล่ามภาษามือ ๓) ส่งเสริมการเพิ่มจำนวนและพัฒนา ๔) สำนักงานการศึกษานอกโรงเรียน ( กศน.) ยังไม่เปิดหลักสูตรระยะสั้นสำหรับให้คนหูหนวกที่จบการศึกษาเพียงระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษาตอนต้นได้ศึกษาต่อเพิ่มเติมตามนโยบาย"การศึกษาตลอดชีวิต"

ข้อเสนอแนะต่อการพัฒนาการดำเนินงาน ดังนี้

๑.การพัฒนางานจัดการศึกษาสำหรับคนหูหนวก ควรดำเนินการ ดังต่อไปนี้

๑.๑ ประกาศให้ภาษามือไทยเป็นภาษาแม่ของคนหูหนวก และภาษามือไทย เป็นภาษาประจำชาติไทยตามหลักสากลในประเทศต่างๆ

๑.๒ ปรับแก้ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง เกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับปริญญาตรี พ.ศ.๒๕๕๘ เพื่อให้สถานศึกษามีความคล่องตัวในการจัดการเรียนการสอนเกี่ยวกับคนหูหนวก และล่ามภาษามือ

๑.๓ ส่งเสริมให้มีภาษามือไทยมาตรฐาน โดยกำหนดนโยบาย ระบบ และกลไกในการดำเนินงานจัดทำภาษามือไทยมาตรฐานอย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ

๑.๔ เร่งคัดกรองความพิการทางการได้ยินตั้งแต่แรกเกิดหรือแรกพบความบกพร่องทางการได้ยิน รวมทั้งสนับสนุนให้คนหูหนวกได้รับบริการฟื้นฟูสมรรถภาพการได้ยิน รวมถึงได้ใช้อุปกรณ์เครื่องช่วยความพิการ และเทคโนโลยีเพื่อการสื่อสาร เช่น เครื่องช่วยฟัง การผ่าตัดประสาทหูเทียม เป็นต้น ตลอดจนการจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับความต้องการจำเป็นของคนหูหนวกแต่ละคน

๑.๕ จัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (คน หูหนวก) และแผนช่วยเหลือครอบครัว/ผู้ปกครองของเด็กหูหนวกเป็นรายครอบครัว ตั้งแต่เด็กวัยแรกเกิดหรือแรกพบความพิการ สิ่งสำคัญ คือจะต้องมีผู้รับผิดชอบปฏิบัติตามแผนฯ อย่างรวดเร็ว เป็นรูปธรรม ต่อเนื่อง และมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการสอนพ่อแม่คนหูหนวกให้เรียนรู้เรื่องลูกหูหนวก การเรียนรวม การใช้ภาษามือและภาษาไทยในการสื่อสารกับลูก รวมถึงคนอื่นๆ ที่สื่อสารด้วยภาษามือเช่นเดียวกัน

๑.๖ พัฒนาระบบการจัดการศึกษาสำหรับคนหูหนวกให้เป็นสากลและทันสมัย โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาการเรียนรู้หรือการจัดการศึกษาให้เด็กหูหนวกก่อนวัยเรียน ตลอดจนเปิดกว้างให้นักเรียนหูหนวกมีอิสระทางการจัดการศึกษาทั้งในและนอกระบบการศึกษา บนพื้นฐานของความรู้ตามนโยบาย "การศึกษาตลอดชีวิต" โดยใช้ระบบการเรียนที่เน้นให้เด็กได้คิด วิเคราะห์ หาคำตอบ และอธิบายเหตุผล พร้อมทั้งเปลี่ยนผ่านระบบการเรียนในโรงเรียนเฉพาะนักเรียนหูหนวกไปสู่การเรียนรวมในโรงเรียนกับนักเรียนปกติทั่วไป โดยเน้นพัฒนาทักษะวิชาชีพในโรงเรียน และส่งเสริมนักเรียนหูหนวกให้สามารถศึกษาต่อในระดับอาชีวศึกษา และอุดมศึกษา ทั้งนี้ การเข้าสู่ระบบการเรียนใดควรให้คนหูหนวกเป็นผู้ใช้สิทธิเลือกตามความต้องการ

๑.๗ พัฒนาระบบการสื่อสาร ๒ ภาษา (ภาษามือไทยและภาษาไทย) โดยจัดให้นักเรียน หูหนวกได้เริ่มเรียนภาษามือมาตรฐานซึ่งเป็นภาษาแม่ของคนหูหนวก และเริ่มเรียนภาษาไทย ซึ่งเป็นฐานการเรียนรู้วิชาอื่นๆ ตั้งแต่ก่อนวัยเรียน ตลอดจนกำหนดเกณฑ์และวิธีจัดการประเมินในการสอบวิชาชีพครูเฉพาะทางด้านคนหูหนวกด้วยการเน้นทักษะการใช้ภาษามือไทยเพื่อการสื่อสาร

๑.๘ กำหนดให้จัดการเรียนการสอนวิชาภาษามือ โดยเป็นวิชาบังคับในโรงเรียนและสถานศึกษาเฉพาะคนหูหนวก พร้อมกับกำหนดให้วิชาภาษามือเป็นวิชาเลือกในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายของโรงเรียนเด็กปกติ เพื่อสร้าง และเผยแผ่ความรู้ความเข้าใจเรื่อง คนหูหนวก ล่ามภาษามือ และการเป็นอาสาสมัครล่ามภาษามือแก่บุคลากรด้านคนหูหนวกประชาชนทั่วไปและผู้สนใจ

๑.๙ กำหนดให้ครูผู้สอนนักเรียนหูหนวกทั้งครูที่มีการได้ยิน และครูหูหนวกใช้เวลาสอนนักเรียนหูหนวกอย่างเต็มที่และมีคุณภาพโดยไม่ต้องทำงานด้านธุรการ หรือการบริหารจัดการ พร้อมทั้งให้ทุนศึกษาต่อ และดูงานต่างประเทศเพื่อพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับล่ามภาษามือให้ทันสมัยและเป็นสากล

๑.๑๐ พัฒนาหลักสูตรการศึกษาของนักเรียนหูหนวก โดยปรับหลักสูตรกลางสำหรับเด็กทั่วไปของกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมทั้งจัดกลไกสนับสนุนการเรียนการสอนให้นักเรียนหูหนวกสามารถเข้าสู่มาตรฐานการศึกษาทั้งด้านความรู้ ทักษะและประสบการณ์ต่าง ๆ ในระดับเดียวกับเด็กทั่วไปมากที่สุด

๑.๑๑ พัฒนาสื่อการเรียนการสอน โดยสนับสนุนการผลิตสื่อการเรียนการสอนในรูปแบบที่สอดคล้องกับความต้องการจำเป็นของคนหูหนวกแต่ละคนซึ่งสื่อสารโดยการใช้ภาษามือไทย เช่น ใช้เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก ใช้วีดีทัศน์ที่มีคำบรรยายแทนเสียงซึ่งสามารถเข้าใจได้ มีจอล่ามภาษามือและคำบรรยายแทนเสียงในทุกสื่อที่ใช้ในการเรียนการสอนคนหูหนวกเป็นต้น

๑.๑๒ ส่งเสริมการเพิ่มจำนวนและพัฒนาครูสอนนักเรียนหูหนวก (ครูหูหนวก ครูการศึกษาพิเศษ ครูสอนรายวิชา ครูสอนคนหูหนวก ครูสอนภาษาศาสตร์ เป็นต้น โดยให้ทุนอย่างเหมาะสมและต่อเนื่องจนจบการศึกษาอย่างน้อยจังหวัดละ๒คน

๑.๑๓ ส่งเสริมการเพิ่มจำนวนและพัฒนาครูฝึกพูดหรือนักแก้ไขการพูดสำหรับนักเรียนหูหนวกที่ใส่ประสาทหูเทียม

๑.๑๔ สนับสนุนการปฏิบัติงานศูนย์บริการนักศึกษาพิการ (Disability Support Service : DSS) โดยเพิ่มจำนวนรวมทั้งกำหนดระเบียบและแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน

๒.การพัฒนางานผลิตล่ามภาษามือควรดำเนินการดังต่อไปนี้

๒.๑ สร้างหลักประกันการมีงานทำ การบรรจุทำงาน ในหน่วยงานภาครัฐ สวัสดิการ และอัตราเงินตอบแทนล่ามภาษามืออย่างเหมาะสมและเป็นธรรมเป็นต้น

๒.๒ สนับสนุนงบประมาณให้สถาบันการศึกษา และสมาคมล่ามภาษามือแห่งประเทศไทยผลิตล่ามภาษามือให้เพียงพอทั้งล่ามภาษามือที่ปฏิบัติหน้าที่ในสถานศึกษา และล่ามภาษามือเฉพาะทางตามระเบียบมาตรฐานล่ามภาษามือที่คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติกำหนด

๒.๓ สนับสนุนการจัดทำหลักสูตรผลิตล่ามภาษามือระดับต่างๆ ทั้งล่ามในสถานการณ์ทั่วไป และล่ามเฉพาะทาง

๒.๔ สนับสนุนการให้ทุนผลิตล่ามภาษามืออย่างเหมาะสม และต่อเนื่องจนจบการศึกษาระดับปริญญาตรีอย่างน้อยจังหวัดละ๒คน

๒.๕สนับสนุนการจัดระบบประเมินความรู้และทักษะการเป็นล่ามภาษามือ

๒.๖ พัฒนาองค์ความรู้ด้านการผลิตล่ามภาษามือ โดยให้ทุนสนับสนุนการศึกษาเพื่อเป็นล่ามภาษามือ การผลิตและการบริการล่ามภาษามือทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ รวมทั้งเชิญผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาช่วยฝึกอบรมผู้เกี่ยวข้องกับการผลิตล่ามภาษามือในประเทศไทย

๒.๗ พัฒนา CODA-Children of Deaf Adults ให้เป็นล่ามภาษามือ เพื่อให้การผลิต และบริการล่ามภาษามือมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

๒.๘ ส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนา เกี่ยวกับคนหูหนวก และล่ามภาษามืออย่างกว้างขวาง ต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ พร้อมทั้งสนับสนุนคนหูหนวก ล่ามภาษามือ และผู้เกี่ยวข้องให้ร่วมเป็นผู้วิจัยด้วย

๓.การพัฒนางานบริการล่ามภาษามือควรดำเนินการดังต่อไปนี้

๓.๑ จัดทำยุทธศาสตร์ล่ามภาษามือระยะที่ ๒ เพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนล่ามภาษามือ การให้ทุนการศึกษาสาขาล่ามภาษามือ และการบรรจุตำแหน่งล่ามภาษามือในส่วนราชการเป็นต้น

๓.๒ สร้างความรู้ความเข้าใจ และเจตคติเชิงสร้างสรรค์แก่สังคมโดยรวมและหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนเรื่องคนหูหนวกล่ามภาษามือตลอดจนประเด็นต่างๆที่เกี่ยวข้อง

๓.๓สนับสนุนการพัฒนาบริการของศูนย์บริการถ่ายทอดการสื่อสารแห่งประเทศไทย (Thai Telecommunication Relay Service : TTRS ให้ครอบคลุมทั้งการสื่อสารเบื้องต้น ในชีวิตประจำวันของคนหูหนวก พร้อมทั้งส่งเสริมให้นำเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ให้บริการอย่างทันสมัย

๓.๔ สนับสนุนการจัดตั้งและเสริมสร้างความเข้มแข็งขององค์กรเครือข่ายล่ามภาษามือในจังหวัดต่างๆของสมาคมล่ามภาษามือแห่งประเทศไทยในการให้บริการล่ามภาษามือ

๓.๕ สนับสนุนการจัดตั้ง "สภาวิชาชีพล่ามภาษามือ" เพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิของล่ามภาษามือ

๓.๖ ปรับปรุง ระเบียบคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ว่าด้วยบริการล่ามภาษามือ พ.ศ.๒๕๕๒ เพื่อพัฒนาล่ามภาษามือให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลและทันสมัยอยู่เสมอ เช่น การกำหนดประเภทและมาตรฐานของล่ามภาษามือแต่ละด้าน การประเมินศักยภาพ และการจดแจ้งล่ามภาษามือเป็นต้น

ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ที่คณะกรรมาธิการ การพัฒนาสังคม กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และ ผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ โทร.๐๒-๘๓๑๙๒๒๕-๖ โทรสาร ๐๒-๘๓๑๙๒๒๖ สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ถนนอู่ทองใน ดุสิต กทม. 10300 email : dek_senate@hotmail.co.th หรือ Facebook: กมธ.พัฒนาสังคม

ขอบคุณ... http://www.ryt9.com/s/nnd/2539117

ที่มา: ryt9.comออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 29 ต.ค.59
วันที่โพสต์: 3/11/2559 เวลา 11:15:10 ดูภาพสไลด์โชว์ การจัดการศึกษาสำหรับคนหูหนวก การผลิตและการบริการล่ามภาษามือ : ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะ

แสดงความคิดเห็น

รอตรวจสอบ
จัดฟอร์แม็ต ดูการแสดงผล

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

ยกเลิก

รายละเอียดกระทู้

แบบสะกดนิ้วมือไทย คอลัมน์ สถานีพัฒนาสังคม : คณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการ เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมาธิการกิจการคนพิการ พิจารณาศึกษา เรื่องการจัดการศึกษาสำหรับคนหูหนวกการผลิตล่ามภาษามือและการให้บริการล่ามภาษามือ การจัดการเรียนการสอนสำหรับคนหูหนวก การสอนภาษามือควบคู่กับการเขียนการอ่านภาษาไทย เนื่องจากการสื่อสารสำหรับคนหูหนวกถือเป็นเรื่องสำคัญ และมีปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกัน คือ การขาดแคลนล่ามภาษามือ จึงต้องแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยเพิ่มการผลิตล่ามภาษามือ ให้ทุนสำหรับผู้เรียนล่ามภาษามือ รวมถึงสร้างหลักประกันด้านอาชีพให้กับผู้เรียนล่ามภาษามือเช่นเดียวกับอาชีพขาดแคลนอื่นๆ เป็นต้น ทั้งนี้ ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกันเพื่อนำไปสู่เป้าหมายให้คนหูหนวกทุกคนอ่านออกเขียนได้ และระบบการจัดการศึกษาสำหรับคนหูหนวกในประเทศไทยมีประสิทธิภาพ การพิจารณาศึกษาครั้งนี้ คณะอนุกรรมาธิการกิจการคนพิการได้ติดตามสถานการณ์และปัญหาอุปสรรค รวมถึงนำไปสู่การให้ข้อเสนอแนะหรือกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยการดำเนินงานตามหลักการบูรณาการงานของทุกภาคส่วนในรูปแบบ"ประชารัฐ"และดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ปัญหา/อุปสรรคต่อการจัดการศึกษาสำหรับคนหูหนวก ๑ ปัญหา/อุปสรรคด้านครูการศึกษาพิเศษ จำแนกเป็น ๓ ประเด็น ดังนี้ ๑) ขาดครูสอนนักเรียนหูหนวก ทั้งครูการศึกษาพิเศษ ครูสอนรายวิชา และครูหูหนวกเพราะสถานศึกษาที่จัดการเรียนการสอนคนหูหนวกไม่ได้รับการจัดสรรอัตราตำแหน่งครูอย่างเหมาะสม และไม่มีการผลิต ทั้งครูการศึกษาพิเศษเฉพาะทางหรือสาขาวิชาหลักหรือรายกลุ่มสาระเพื่อสอนคนหูหนวก นอกจากนั้น มหาวิทยาลัยสวนดุสิตซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาแห่งแรกที่ผลิตครูการศึกษาพิเศษ ได้หยุดการผลิตเมื่อ ๔ ปี ที่ผ่านมา เนื่องจากได้รับเหตุผลว่าครูการศึกษาพิเศษไม่สามารถสอนรายกลุ่มสาระ จำนวนครู-ระยะเวลา ๑๕ ปี ที่ผ่านมา จากข้อมูลการผลิตบัณฑิต หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาหูหนวกศึกษา (บัณฑิตที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน) วิทยาลัยราชสุดา มหาวิทยาลัยมหิดล ปีการศึกษา ๒๕๔๓- ๒๕๕๘ มีจำนวนครูสอนเด็กหูหนวก จำนวน ๖๙ คน ทำงานบริษัท จำนวน ๑๐๓ คน ประกอบอาชีพอื่น จำนวน ๓๗ คน ไม่มีงานทำจำนวน๒๗คนและรับราชการจำนวน๕คน ๒) ขาดองค์ความรู้ด้านการจัดการศึกษาสำหรับคนหูหนวก ที่เป็นสากล และทันสมัย เป็นเหตุให้ครูการศึกษาพิเศษส่วนใหญ่ทำหน้าที่สอนคนหูหนวกโดยที่ไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษามือทั้งในการสนทนาทั่วไปและในการเรียนการสอนสาขาวิชาต่างๆ จึงต้องจัดให้ครูประจำรายวิชาซึ่งไม่ได้จบครูการศึกษาพิเศษ ไม่มีความรู้ เรื่องนักเรียนหูหนวก ไม่เคยเรียนการสื่อสารด้วยภาษามือ ไม่ได้รับการฝึกสอนกับนักเรียนหูหนวกโดยตรง และส่วนใหญ่จบการศึกษาไม่ตรงตามสาระวิชาที่สอน ทำหน้าที่สอนรายวิชาต่างๆ รวมถึงช่วยนักเรียนหูหนวกให้สามารถเรียนรวมกับนักเรียนปกติได้ในทางตรงกันข้ามมีการจัดให้ครูการศึกษาพิเศษสอนสาระวิชาที่ไม่เคยศึกษาด้วย ๓) ขาดการใช้อุปกรณ์เครื่องช่วยความพิการต่าง ๆ เช่น เครื่องช่วยฟัง และประสาทหูเทียม เป็นต้น รวมถึง ขาดสื่อ วัสดุ อุปกรณ์ เทคโนโลยี และแหล่งเรียนรู้สำหรับจัดการศึกษาให้นักเรียนหูหนวกอย่างเหมาะสม ทั่วถึง หลากหลาย ทันสมัย และเพียงพอต่อการสนับสนุนการเรียนการสอนสำหรับนักเรียนหูหนวกทั้งในสถานศึกษาเฉพาะคนหูหนวกและสถานศึกษาที่จัดการเรียนรวม ๒.ปัญหา/อุปสรรคด้านระบบการจัดการศึกษา จำแนกเป็น ๓ ประเด็น ดังนี้ ๑) ไม่มีหลักสูตรการศึกษาที่เหมาะสมสำหรับสอนนักเรียนหูหนวก เนื่องจากหลักสูตรการศึกษาสำหรับนักเรียนปกติทั่วไปมีสาระการเรียนรู้ที่มีเนื้อหามากยุ่งยากและซับซ้อน ๒) ขาดแคลนล่ามภาษามือ ครูการศึกษาพิเศษ ครูเฉพาะสาขาวิชา และครูหูหนวกที่เป็นผู้สนับสนุนให้ครูและนักเรียนหูหนวกสามารถจัดการเรียนการสอนแบบสองภาษาที่มีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับความต้องการจำเป็นของผู้เรียนแต่ละคน ๓) นักเรียนหูหนวกส่วนใหญ่ไม่ผ่านการวัดความรู้และความคิดวิเคราะห์ ทั้งการสอบ O-NET (Ordinary National Educational Test) ซึ่งเป็นการวัดผลการจัดการศึกษา ขั้นพื้นฐาน และการสอบ A-NET (Advanced National EducationalTest)สำหรับโรงเรียนโสตศึกษาที่ใช้หลักสูตรแกนกลาง ๓.ปัญหา/อุปสรรคด้านการจัดการศึกษาสำหรับ คนหูหนวก จำแนกเป็น ๔ ประเด็น ดังนี้ ๑) การจัดการศึกษาสำหรับคนหูหนวกของประเทศไทย ไม่ให้ความสำคัญต่อนักเรียนหูหนวกก่อนวัยเรียน กล่าวคือ ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง ๔ ปี ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดของพัฒนาการทางภาษาและสมอง แต่นักเรียนหูหนวกส่วนใหญ่มักได้เริ่มเรียนภาษามือเมื่อเข้าเรียนระดับอนุบาล ซึ่งมีอายุกว่า ๔ ปี และเริ่มเรียนภาษาไทยในระดับประถมศึกษานักเรียนหูหนวกจึงมีปัญหาด้านอ่านและเขียนภาษาไทย ๒) นักเรียนหูหนวกในโรงเรียนสังกัด สพฐ. ใช้ภาษามือไม่คล่อง เป็นเหตุให้เด็ก เรียนรู้และรับข้อมูลได้ไม่สมบูรณ์ ซึ่งมีผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็กในหลายๆ ด้าน ทั้งด้านการสื่อสาร ความฉลาดทางอารมณ์ ภาวะผู้นำการพัฒนาความเชื่อมั่นและการรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นเป็นต้น ๓) นักเรียนหูหนวกที่ฝังประสาทหูเทียมไม่มีครูฝึกพูด เพราะเป็นเรื่องใหม่ ๔) คนหูหนวกที่จบการศึกษาในระดับปริญญามีจำนวนน้อยมาก ทั้งที่หน่วยงานที่จัดการศึกษาสำหรับคนหูหนวกมีทั้งสิ้น ๓๘ หน่วยงาน มีจำนวนผู้จบการศึกษา ตั้งแต่รุ่นที่ ๑-๔ รวม ๒๔๑ คน โดยแบ่งออกเป็น ชาย จำนวน ๑๐๒ คน หญิง จำนวน ๑๓๙ คน ซึ่งในจำนวนผู้จบการศึกษาดังกล่าว มีผู้จบการศึกษาในระดับปริญญาโท ประมาณ ๒๐ คน ส่วนในระดับปริญญาเอกยังไม่มีผู้จบการศึกษา จะเห็นได้ว่า หากเปรียบเทียบเป็นอัตราส่วนแล้ว ผลปรากฏว่าจำนวนผู้จบการศึกษายังมีจำนวนไม่ถึงร้อยละ๑ของจำนวนคนหูหนวกทั้งหมดทั่วประเทศไทย ๔.ปัญหา/อุปสรรคด้านครอบครัว/ผู้ปกครอง จำแนกเป็น ๔ ประเด็น ดังนี้ ๑) ครอบครัวขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องนักเรียน หูหนวก ภาษามือ การศึกษาพิเศษ การเลี้ยงดูนักเรียนหูหนวก และการสร้างสัมพันธภาพระหว่างลูกกับสังคม เป็นต้น ครอบครัวจึงต้องการให้นักเรียนหูหนวกเรียนรวมกับนักเรียนปกติโดยไม่คำนึงถึงทักษะในการสื่อสารของนักเรียนหูหนวก ๒) ผู้ปกครองไม่สามารถสื่อสารกับนักเรียนหูหนวกได้ ทั้งการใช้ภาษามือ และภาษาไทย ๓) ผู้ปกครองไม่นำนักเรียนหูหนวกไปเรียนที่โรงเรียนโสตศึกษาเพราะโรงเรียนอยู่ไกลจากบ้าน ๔)ผู้ปกครองไม่ยอมให้คนหูหนวกที่จบการศึกษาสาขาวิชาหูหนวกศึกษาไปทำงานโดยเฉพาะการทำงานในโรงเรียนที่ไม่มีตำแหน่งครู ๕. ปัญหา/อุปสรรคด้านสังคม/คนทั่วไป จำแนกเป็น ๒ ประเด็น ดังนี้ ๑) คนทั่วไปขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องคนหูหนวก รวมถึงผลกระทบจากการสูญเสียการได้ยินแต่กำเนิดที่มีผลต่อการสื่อสารการเรียนรู้และการคิดวิเคราะห์ ๒) คนทั่วไปมีเจตคติที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับความสามารถของคนหูหนวก จึงปิดกั้น คนหูหนวกไม่ให้แสดงศักยภาพและเข้าถึงสิทธิในทุกด้าน ๖.ปัญหา/อุปสรรคด้านบทบาทของหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง จำแนกเป็น ๔ ประเด็น ดังนี้ ๑) โรงเรียนระดับมัธยมศึกษาที่รับนักเรียนหูหนวก เรียนรวมมีจำนวนน้อย ๒) การจัดการศึกษาของอาชีวศึกษายังขาดแคลนครูการศึกษาพิเศษ และล่ามภาษามือ ๓) ส่งเสริมการเพิ่มจำนวนและพัฒนา ๔) สำนักงานการศึกษานอกโรงเรียน ( กศน.) ยังไม่เปิดหลักสูตรระยะสั้นสำหรับให้คนหูหนวกที่จบการศึกษาเพียงระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษาตอนต้นได้ศึกษาต่อเพิ่มเติมตามนโยบาย"การศึกษาตลอดชีวิต" ข้อเสนอแนะต่อการพัฒนาการดำเนินงาน ดังนี้ ๑.การพัฒนางานจัดการศึกษาสำหรับคนหูหนวก ควรดำเนินการ ดังต่อไปนี้ ๑.๑ ประกาศให้ภาษามือไทยเป็นภาษาแม่ของคนหูหนวก และภาษามือไทย เป็นภาษาประจำชาติไทยตามหลักสากลในประเทศต่างๆ ๑.๒ ปรับแก้ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง เกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับปริญญาตรี พ.ศ.๒๕๕๘ เพื่อให้สถานศึกษามีความคล่องตัวในการจัดการเรียนการสอนเกี่ยวกับคนหูหนวก และล่ามภาษามือ ๑.๓ ส่งเสริมให้มีภาษามือไทยมาตรฐาน โดยกำหนดนโยบาย ระบบ และกลไกในการดำเนินงานจัดทำภาษามือไทยมาตรฐานอย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ ๑.๔ เร่งคัดกรองความพิการทางการได้ยินตั้งแต่แรกเกิดหรือแรกพบความบกพร่องทางการได้ยิน รวมทั้งสนับสนุนให้คนหูหนวกได้รับบริการฟื้นฟูสมรรถภาพการได้ยิน รวมถึงได้ใช้อุปกรณ์เครื่องช่วยความพิการ และเทคโนโลยีเพื่อการสื่อสาร เช่น เครื่องช่วยฟัง การผ่าตัดประสาทหูเทียม เป็นต้น

จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย

  1. เพิ่ม
  2. เพิ่ม ลบ
  3. เพิ่ม ลบ
  4. เพิ่ม ลบ
  5. เพิ่ม ลบ
  6. เพิ่ม ลบ
  7. เพิ่ม ลบ
  8. เพิ่ม ลบ
  9. เพิ่ม ลบ
  10. ลบ
เลือกการตกแต่งที่ต้องการ

ตกลง ยกเลิก

รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)

Waiting...

ค้นหาข้อมูลในห้องสมุด